พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2517

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง อลงกรณ์ อรรคแสง


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2517

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2517 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด พ.ศ. 2482 และ พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2498 อยู่หลายประการ ได้แก่

1. การกำหนดให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในกฎหมาย [1] โดย

1.1 ให้ใช้คำว่า “หน่วยเลือกตั้ง” แทนที่ “หน่วยลงคะแนน”
1.2 ให้ใช้คำว่า “ที่เลือกตั้ง” แทนที่ “ที่ลงคะแนน”
1.3 ให้ใช้คำว่า “หน่วยเลือกตั้งและที่เลือกตั้ง” แทนที่ “หน่วยลงคะแนนและที่ลงคะแนน”

2. การแก้ไขคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง[2] ได้แก่

ลำดับ พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2498 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2517
1 ผู้ที่มีสัญชาติไทยคนใด ถ้าบิดาเป็นคนต่างด้าว ต้องเป็นผู้ที่ได้เรียนภาษาไทยจนได้รับประกาศนียบัตรไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาปีที่หกตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ หรือได้รับราชการตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร หรือเป็นครูประชาบาล พนักงานเทศบาล หรือ พนักงานสุขาภิบาล โดยมีเงินเดือนประจำมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี ยกเลิก
2 ถ้าบุคคลได้สัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ต้องมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในข้อ 1 ข้างต้น และได้มีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรไทยติดต่อกันนับแต่วันที่ได้แปลงสัญชาติมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปี ถ้าบุคคลได้สัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ จะเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ ต้องมีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรไทยติดต่อกันนับแต่ได้สัญชาติไทยมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปี และต้องมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้

2.1 สอบไล่ได้ไม่ต่ำกว่าชันมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามหลักสูตรของกระทรวง ศึกษาธิการหรือความรู้ที่กระทรวงศึกษาธิการเทียบเท่า

2.2 รับหรือเคยรับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร

2.3 เป็นหรือเคยเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี

2.4 เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกสภาเทศบาล กรรมการสุขาภิบาล กรรมการตำบล หรือผู้ใหญ่บ้าน

3 ไม่เป็นบุคคลหูหนวก หรือเป็นใบ้ หรือบุคคลซึ่งตาบอดทั้งสองข้าง ไม่เป็นบุคคลหูหนวกและเป็นใบ้ซึ่งไม่สามารถอ่านและเขียนหนังสือได้ (กลับไปเหมือนกฎหมาย พ.ศ.2482)

3. การแก้ไขคุณสมบัติผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง [3] ได้แก่

ลำดับ พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2498 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2517
1 มีอายุ 30 ปี บริบูรณ์ มีอายุ 23 ปี บริบูรณ์ (กลับไปเหมือนกฎหมาย พ.ศ.2482)
2 -ไม่มี- บุคคลผู้มีสัญชาติไทยและมีสัญชาติอื่นด้วยในขณะเดียวกัน เว้นแต่บุคคลผู้มีสัญชาติไทย โดยการเกิดในต่างประเทศ จะเป็นผู้สมัครได้ต้องมีคุณสมบัติเป็นผู้สอบไล่ได้ไม่ต่ำกว่าชั้นมัธยมปีที่หกหรือมัธยมศึกษาปีที่สาม ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ หรือมีความรู้ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเทียบเท่าหรือรับรองได้ไม่ต่ำกว่านั้น และมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

1. รับหรือเคยรับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร

2. เคยเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี

3. เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกสภาเทศบาล กรรมการสุขาภิบาล กรรมการตำบล กำนัน หรือผู้ใหญ่บ้าน

3 -ไม่มี- บุคคลผู้ได้สัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ จะเป็นผู้สมัครได้ต้องมีคุณสมบัติตามข้อ 2 ด้านบน และได้มีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรไทยติดต่อกันนับแต่ได้สัญชาติไทยมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปี
4 ไม่เป็นบุคคลที่เป็นโรคติดต่อตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง หรือเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ไม่เป็นโรคเรื้อน วัณโรคระยะอันตรายหรือโรคพิษสุราเรื้อรัง
5 ไม่เป็นผู้รับโทษหรือเคยรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่มีกำหนดโทษชั้นลหุโทษ หรือความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป โดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีในวันเลือกตั้ง เว้นแต่ความผิดอันได้กระทำโดยประมาท
6 -ไม่มี- ไม่เคยเป็นข้าราชการซึ่งถูกไล่ออกหรือปลดออกเพราะทุจริตต่อหน้าที่ราชการ หรือเคยเป็นพนักงานเทศบาล พนักงานสุขาภิบาล หรือ พนักงานองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งถูกไล่ออกหรือปลดออกหรือเลิกจ้างเพราะทุจริตต่อหน้าที่ยังไม่ครบเจ็ดปีนับแต่วันที่ถูกไล่ออก ปลดออก หรือเลิกจ้างแล้วแต่กรณี จนถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง
7 -ไม่มี- ไม่เป็นสมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาเทศบาล หรือ กรรมการสุขาภิบาล

ข้อสังเกตประการหนึ่งเกี่ยวกับการกำหนดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาจังหวัด ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2517 คือการห้ามสมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาเทศบาล หรือ กรรมการสุขาภิบาล สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาจังหวัด ประการนี้นับเป็นครั้งแรกที่กฎหมายได้มีบทบัญญัติห้ามบุคคลดังกล่าวสมัครรับเลือกตั้ง เพราะก่อนหน้านั้น บุคคลที่ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาเทศบาล หรือ กรรมการสุขาภิบาล ก็สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาจังหวัดได้ เพราะกฎหมายไม่ได้ห้ามบุคคลดังกล่าวดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาจังหวัดในเวลาเดียวกัน กล่าวคือบุคคลหนึ่งๆ สามารถที่จะสวมหมวกได้หลายใบ เช่น สามารถดำรงตำแหน่งสมาชิกผู้แทนราษฎรและสมาชิกสภาจังหวัดได้ในเวลาเดียวกัน หรือ สามารถดำรงตำแหน่งสมาชิกผู้แทนราษฎรและสมาชิกสภาเทศบาลได้ในเวลาเดียวกัน กรณีดังกล่าวนี้ได้แก่ นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปางและสมาชิกสภาเทศบาลเมืองลำปางในเวลาเดียวกัน

หลักการและแนวปฏิบัติดังกล่าวนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับในประเทศฝรั่งเศส ที่นักการเมืองสามารถสวมหมวกได้หลายใบ แต่กรณีดังนี้ในประเทศไทยได้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2517

ที่มา

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น พุทธศักราช 2482, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 56 วันที่ 10 พฤศจิกายน 2482. น.1604-1636.

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2498, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 72 ตอนที่ 11 วันที่ 8 กุมภาพันธ์, น.200-207.

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2517, ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ 91 ตอนที่ 215 วันที่ 17 ธันวาคม 2517, น.32-40.

อ้างอิง

  1. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2517, ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ 91 ตอนที่ 215 วันที่ 17 ธันวาคม 2517, น.33. มาตรา 3.
  2. เพิ่งอ้าง, มาตรา 5, 6 และ 7. และ พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2498, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 72 ตอนที่ 11 วันที่ 8 กุมภาพันธ์, น.202-203. มาตรา 4, 5, และ 6.
  3. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2517 (อ้างแล้ว), มาตรา 5, 6, 7, 8 และ 9 และ การเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2498 (อ้างแล้ว), มาตรา 4, 5, 6, 7 และ 8.