พระยาศรยุทธเสนีย์
ผู้เรียบเรียง : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
พระยาศรยุทธเสนีย์ : ประธานสภาคนที่ 3
การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 โดยคณะราษฎรนั้นทำให้มีการเปลี่ยนแปลงด้านการเมืองในการเมืองไทยหลายอย่าง อย่างหนึ่งที่สำคัญ คือ มีสถาบันนิติบัญญัติที่เรียกว่า “สภาผู้แทนราษฎร” เกิดขึ้น แต่ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประมุขของอำนาจนิติบัญญัติที่มีสืบมาในระยะเวลา 14 ปีแรกนั้น ล้วนแต่เป็นคนนอกคณะราษฎรทั้งสิ้น โดย 2 คนแรกเป็นอดีตข้าราชการพลเรือน คนหนึ่งเป็นนักการศึกษา อีกคนหนึ่งเป็นนักกฎหมาย ครั้นมาถึงคนที่ 3 จึงได้นายทหารที่เป็นทหารเรือ คือ นายพลเรือตรีพระยาศรยุทธเสนีย์ ท่านผู้นี้แม้จะเป็นทหารแต่ก็ไม่ได้อยู่ในคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองท่านเป็น “เจ้ากรมกรมเจ้าท่า” ซึ่งเป็นกรมสำคัญแต่ก็ไม่ได้คุมกำลังทหาร กระนั้นท่านก็เป็นหนึ่งในจำนวนทหารเรือระดับนายพลเพียง2 คนที่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อีกท่านหนึ่ง คือ นายพลเรือตรีพระยาปรีชาชลยุทธ (วัน จารุภา) ซึ่งหลังวันเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียง 12 วันก็ได้เป็นผู้บัญชาการทหารเรือ ดังนั้น จึงเชื่อกันว่าท่านน่าจะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผู้ก่อการฝ่ายทหารเรือที่เข้าสภาฯ ชีวิตทางการเมืองของท่านเมื่อเข้ามาเกี่ยวกับการเมืองจึงน่าสนใจทีเดียว
พระยาศรยุทธเสนีย์ เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายนปี 2431 มีชื่อเดิมว่า กระแส การศึกษานั้นเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ดังปรากฏในรายชื่อนักเรียนที่มีชื่อเสียงของโรงเรียนและท่านได้ไปเรียนต่อที่โรงเรียนนายเรือ จบการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือ เข้ารับราชการเป็นนายเรือตรี เมื่อปี 2452 อายุประมาณ 21 ปี ในการทำงานรับราชการทหารเรือนั้น ท่านได้รับความก้าวหน้ามาด้วยดี เล่ากันว่าตอนที่ท่านเป็นนายเรือเอกอยู่กรมสรรพาวุธได้มีโอกาสได้เป็นราชองครักษ์เวร ท่านได้รับพระราชทานนามสกุล “ประวาหะนาวิน” จากพระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สำหรับงานสำคัญก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ ท่านได้เป็นเจ้ากรมสรรพาวุธทหารเรือในปี 2467 ขณะที่ท่านมีอายุเพียง 37 ปี ตอนที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองท่านมีอายุได้ 45 ปีโดยประมาณ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ 4 วันท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราวในจำนวน 70 คน เพื่อทำหน้าที่นิติบัญญัติของชาติ
แต่เข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่ถึง 3 เดือนท่านก็ได้รับเลือกให้เป็นรองประธานสภาฯ ในวันที่ 22 กันยายนปี 2475 ตอนนั้นประธานสภาฯ คือ พระยาพิชัยญาติ และในวันที่ 10 ธันวาคมปีเดียวกัน เมื่อมีพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรก พระยาศรยุทธเสนีย์ก็ได้เข้ารับพระราชทานรัฐธรรมนูญพร้อมกับเจ้าพระยาพิชัยญาติผู้เป็นประธานสภาฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ด้วย ครั้นต่อมาภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกแล้วในปี 2476 จึงมีการแต่งตั้งสมาชิกประเภทที่ 2 ของสภาฯ พระยาศรยุทธฯ ได้รับการแต่งตั้งกลับเข้าสภาฯ อีก เมื่อมีการเลือกประธานและรองประธานสภาฯ พระยาศรยุทธฯ ก็ได้รับเลือกให้เป็นรองประธานสภาฯ เหมือนเดิม โดยตำแหน่งประธานสภาฯ เป็นของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีอดีตประธานสภาฯ คนแรกที่พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว สมัยนั้นเป็นรัฐบาลของนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา
ครั้นถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ปีเดียวกัน เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีประธานสภาฯ มีความขัดแย้งกับสมาชิกและไม่มาประชุม ท้ายที่สุดได้ลาออกจากตำแหน่งประธานสภาฯ จึงต้องเลือกประธานคนใหม่ ซึ่งได้แก่ พระยาศรยุทธฯ ท่านจึงขึ้นเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ นับว่าเป็นประธานคนที่ 3 ช่วงนั้นการเมืองไทยทั้งในสภาและนอกสภาค่อนข้างจะราบเรียบ พระยาศรยุทธฯเป็นประธานสภาอยู่จนถึงวันที่ 22 กันยายนปี 2477 ท่านจึงขอลาออกไปรับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลของพระยาพหลฯ ผู้ที่ได้รับตำแหน่งประธานสภาฯ สืบต่อมาคือ เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ พระยาศรยุทธฯ ร่วมรัฐบาลของพระยาพหลฯ จนพ้นสมัยของรัฐบาล แต่ท่านก็ยังเป็นสมาชิกสภาฯ ในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม ปี 2481 มีการเปลี่ยนตัวประธานสภาฯ มาเป็นพระยามานวราชเสวี และเริ่มสมัยรัฐบาลของหลวงพิบูลสงครามการเมืองดุเดือด เข้มข้นมีการกล่าวหากันเป็นคดีกบฏจับกุมคุมตัวตั้งศาลพิเศษพิจารณาตัดสินประหารบ้างจำคุกบ้างตลอดจนต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศและช่วงหลังของรัฐบาลนั้นประเทศไทยก็เข้าสู่ภาวะสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรจนถึงวันที่ 6 กรกฎาคมปี 2486 ได้มีการเปลี่ยนประธานสภาฯ เพราะพระยามานวราชเสวีลาออก สภาฯจึงได้เลือกพระยาศรยุทธฯ กลับมาเป็นประธานสภาฯ อีกครั้ง แต่คราวนี้การเมืองดูจะเข้มข้นมาก เชื่อกันว่าท่านถูกทางหลวงพิบูลฯ สนับสนุนให้เข้ามา ดังนั้น เมื่อแรงหนุนรัฐบาลของหลวงพิบูลฯ อ่อนลงในวันที่ 24 มิถุนายนปี 2477 สภาฯ จึงเลือกพระยามานวราชเสวีกลับมาเป็นประธานสภาฯ อีกครั้งและครั้งนี้ในเวลาอีกเดือนต่อมารัฐบาลก็แพ้เสียงในสภาฯ จนนายกรัฐมนตรีต้องลาออกนายควง อภัยวงศ์ ได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาเป็นนายกฯ จากนั้นบทบาททางการเมืองของท่านค่อนข้างเรียบแต่การเมืองได้มีการเปลี่ยนแปลงนายกฯ ตามมาอีก 2 คนคือนายทวี บุณยเกตุ และ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ครั้นถึงเดือนตุลาคมปี 2488 นายกฯ ม.ร.ว. เสนีย์ ก็ประกาศยุบสภาเพื่อมีการเลือกตั้งในเดือนมกราคม 2489 หลังการเลือกตั้งนายควง อภัยวงศ์ ได้กลับเข้ามาเป็นนายกฯ แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะแพ้เสียงในสภาฯ จนต้องลาออก และนายปรีดี พนมยงค์ ได้เข้ามาเป็นนายกฯ จนถึงเดือนสิงหาคมปีเดียวกันจึงได้ลาออกให้หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เข้ามาเป็นนายกฯ จนถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน ปี 2490 คณะรัฐประหารนำโดยพลโท ผิน ชุณหะวัน ได้เข้ายึดอำนาจล้มรัฐบาล ในปี 2490 นี้เองพระยาศรยุทธฯ ได้มีชื่อเข้ามาในวงการเมืองอีกครั้ง ที่น่าสนใจมาก คือ ท่านตั้งพรรคการเมืองชื่อ “พรรคกสิกร” แต่พรรคการเมืองนี้ก็ยังไม่ปรากฏบทบาทการเมืองแต่อย่างใด กระนั้นก็แสดงว่าท่านคิดจะลงเล่นการเมืองผ่านการเลือกตั้งด้วย เพราะช่วงเวลาปี 2489 - 90 นั้นเป็นเวลาที่คนคิดเล่นการเมืองได้รวมกลุ่มจับมือกันตั้งพรรคการเมืองหลายพรรค เช่น พรรคแนวรัฐธรรมนูญ และพรรคประชาธิปัตย์ทั้งๆ ที่ตอนนั้นยังไม่ได้มีกฎหมายพรรคการเมืองเลย แต่ในที่สุดพรรคกสิกรของพระยาศรยุทธฯ ก็ถูกยกเลิกไปภายหลังที่คณะรัฐประหารได้ยึดอำนาจซ้ำในปี 2494 และให้ยกเลิกพรรคการเมือง พระยาศรยุทธฯ มีชื่อปรากฏอีกในฐานะพยานในคดีสวรรคต จากนั้นจึงไม่มีบทบาททางการเมืองอีกเลยพระยาศรยุทธเสนีย์ได้มีชีวิตอยู่ต่อมาจนถึงวันที่ 11 มิถุนายนปี 2505 จึงได้ถึงแก่อนิจกรรม