พระบำราศนราดูร
ผู้เรียบเรียง : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
พระบำราศนราดูร : หมอดีรัฐมนตรีเด่น
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้เป็นหัวหน้าคณะทหารยึดอำนาจรัฐ 2 ครั้ง ในครั้งแรกนั้นท่านขอให้พลโทถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ครั้งที่สองนั้นท่านได้เข้ามาเป็นเองเมื่อต้นปี 2502 ท่านบอกว่าท่านจะ “ปฏิวัติ” การปกครองประเทศ และในการตั้งรัฐบาลที่ท่านเป็นหัวหน้านั้นจะเป็นรัฐบาลที่ไม่เอานักการเมืองหน้าเดิมในวันนั้นเข้ามาร่วมเลย จึงเป็นรัฐบาลที่มีคนกล่าวกันว่าประกอบด้วยข้าราชการเก่ากับนักวิชาการที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ในบรรดา “รัฐมนตรีข้าราชการ” ทั้งหลายนั้นมีอดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุขท่านหนึ่งได้รับเชิญจากจอมพล สฤษดิ์ให้ไปพบที่บ้านพักรับรองสี่เสา ท่านผู้นี้ไม่เคยพบจอมพล สฤษดิ์เป็นการส่วนตัวมาก่อนเลย เมื่อพบตัวกันจอมพล สฤษดิ์ก็ได้เชื้อเชิญนายแพทย์ผู้นี้ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแต่ท่านมิได้ตอบรับ หากได้เรียนหัวหน้าคณะปฏิวัติไปว่ายังมีนายแพทย์ท่านอื่นที่มีความรู้มากกว่าท่านและตัวท่านเองนั้นภาษาอังกฤษไม่ดี ซึ่งน่าจะหมายความว่าให้เลือกท่านอื่นเป็นรัฐมนตรี อย่างไรก็ตามในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ปี 2502 ก็ได้มีประกาศแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี อดีตปลัดกระทรวงท่านนี้ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ท่านผู้นี้ก็คือ คุณพระบำราศนราดูร ชื่อเดียวกันกับโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี หรือชื่อเดิมคือ นายหลง นามสกุลนั้นวันนี้คอการเมืองรู้จักดี ได้แก่ “เวชชาชีวะ”
นายหลงเป็นคนเมืองจันทบุรี แต่ท่านเล่าเอาไว้เองว่าท่านไปเกิดที่เมืองระยอง เพราะพ่อกับแม่เดินทางไปซื้อเรือ โดยเกิดในวันที่ 28 พฤษภาคม ปี 2439 มีพ่อชื่อจิ้นเสง หรือ แสง และแม่ชื่อพร เดิมตัวท่านเองชื่อ ฮกหลง แล้วต่อมาจนโตเป็นผู้ใหญ่แล้วได้ตัดชื่อต้นออกให้ฟังเป็นไทยว่า "หลง" ตัวเดียวในปี 2485 ก็สมัยนายกรัฐมนตรีหลวงพิบูลสงคราม นายกฯ ท่านนี้มีนโยบายด้านวัฒนธรรมเข้าไปถึงครอบครัวให้เปลี่ยนชื่อให้ฟังเป็นไทยบ้าง ให้ฟังดูเข้าตามเพศหญิงหรือเพศชายบ้างนั่นเอง ส่วนนามสกุล เวชชาชีวะ นั้นถือได้ว่าท่านเป็นต้นสกุลด้วย เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 พระราชทานให้แก่ปู่กับพ่อและตัวท่านเอง การศึกษานั้นในเบื้องต้นเรียนที่โรงเรียนประชาบาลครูดำ แล้วย้ายเข้ามาเรียนที่โรงเรียนวัดจันทนารามโดยบวชเป็นเณร จนสอบได้ชั้นมัธยมปีที่ 3 ลาสึกจากเณรเข้ากรุงเทพฯ มาสอบเข้าเรียนแพทย์ที่โรงเรียนราชแพทยาลัย กระทรวงธรรมการ ในเดือนมิถุนายน ปี 2453 อายุยังไม่ถึง 15ปีดีจึงมีอายุน้อยที่สุดในชั้น เรียนด้วยความยากแต่ก็มีมานะจนเรียนจบแพทย์ได้ รับประกาศนียบัตรในปี 2457 และเริ่มเข้ารับราชการที่กรมพยาบาล กระทรวงมหาดไทยเมื่อเดือนพฤษภาคมของปีเดียวกัน ทำงานได้สักเจ็ดปีนายคืออธิบดีกรมสาธารณสุขเรียกไปพบที่กรุงเทพฯ คัดเลือกจะให้ไปเรียนวิชาสาธารณสุขที่มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกิ้นส์ สหรัฐอเมริกา แต่ภาษาอังกฤษยังไม่ดี กรมฯจึงส่งคนอื่นไปก่อน ในปีถัดมาแม้จะเปลี่ยนตัวอธิบดี ทางกรมฯก็จะส่งหมอหลงไปเรียนอีกแต่ท่านก็ไม่พร้อมในด้านภาษา ท่านจึงทำงานในไทยโดยไม่ได้ไปเรียนตามที่ถูกกำหนด และการทำงานทางด้านสาธารณสุขของท่านก็เจริญก้าวหน้ามาด้วยดี ทำงานมาได้ประมาณสามปีท่านก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนบำราศนราดูร ถัดจากนั้นมาอีกห้าปีท่านก็ได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นคุณหลวงในชื่อเดิมเป็นหลวงบำราศนราดูร ชีวิตสมรสของท่านนั้น ท่านได้สมรสกับนางสาวสุภาพ สัจวานิช เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ปี 2459 ตอนที่ท่านเป็นแพทย์ประจำที่จังหวัดลพบุรี
ต่อมาก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียงปีเดียว ในปี 2474 ขณะที่ท่านมีอายุได้ 35 ปี ท่านก็ได้รับการเลือนบรรดาศักดิ์เป็นพระบำราชนราดูร ครั้นหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ มีการปรับปรุงการบริหารราชการแผ่นดินโดยออกกฎหมายใหม่ในปี 2476 พระบำราชนราดูร ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการกรมสาธารณสุข ถึงปี 2485 ได้มีการแยกเอากรมสาธารณสุขออกจากกระทรวงมหาดไทย ตั้งเป็นกระทรวงสาธารณสุข พระบำราศนราดูรได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้ากองกลางของกระทรวง ทั้งให้ทำหน้าที่ช่วยปลัดกระทรวง และได้เป็นรองปลัดกระทรวงในปี 2493 อีกสี่ปีต่อมาในปี 2497 ท่านจึงได้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวง ตอนนั้นท่านอายุได้ 58 ปี ท่านเป็นปลัดกระทรวงที่ได้รับการต่ออายุมาจนอายุได้ 62 ปี ในปี 2501 จึงได้พ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวง แต่ก็ยังได้รับเชิญไปช่วยงานพิเศษของกระทรวงสาธารณสุข ตอนที่จอมพล สฤษดิ์ ยึดอำนาจในวันที่ 20 ตุลาคม ปี 2501 นั้นแม้จะยังไม่เคยพบปะคุ้นเคยกันมาก่อน แต่จอมพล สฤษดิ์ก็คงได้ยินชื่อเสียงในทางดีของหมอท่านนี้มาก่อน ตอนนั้นขุนนางเก่าที่มีชื่อเสียงซึ่งได้รับการชวนไปเป็นรัฐมนตรีก็มีพระยาอรรถการีย์นิพนธ์ พระประกาศสหกรณ์ และก็พระบำราศนราดูรผู้นี้เอง ประกาศชื่อออกไปก็ดูจะได้รับการต้อนรับดี
พระบำราศนราดูรเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะสุข เมื่อตอนที่มีอายุได้ 63 ปี จึงอาจมีคนคิดว่าท่านคงจะไม่บุกทำงานได้อย่างคนหนุ่ม ที่ไหนได้ท่านกลับทำงานอย่างเต็มที่ รับตำแหน่งได้ไม่นานมีโรคอหิวาห์ระบาด รัฐมนตรีผู้เป็นแพทย์ด้วยท่านนี้ลงไปตรวจงานดูแลคนป่วยอย่างจริงจัง จนเป็นที่ชอบใจของจอมพล สฤษดิ์ นายกรัฐมนตรี จึงเป็นรัฐมนตรีอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข ตลอดมาจนถึงวันที่ 8 ธันวาคม ปี 2506 ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะหัวหน้ารัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ถึงแก่อสัญกรรม แต่ในวันรุ่งขึ้นเมื่อจอมพล ถนอม กิตติขจร เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนนรีและมีการตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่ ด้วยชื่อเสียงที่ดี และเป็นที่ยอมรับของผู้คนโดยทั่วไป ทั้งยังเป็นงานทางด้านวิชาชีพเฉพาะด้วย ท่านจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสืบต่อมา และเป็นต่อมาอีกเกือบ 6 ปี จนมีรัฐธรรมนูญใหม่ในปี 2511 กับมีการเลือกตั้งใหม่และรัฐบาลใหม่ท่านจึงพ้นตำแหน่งไปในวันที่ 11 มีนาคม ปี 2512
พระบำราศนราดูร พ้นจากวงการเมืองแล้วก็ยังอยู่ดูการเมือง มาจนถึงอนิจกรรมในวันที่ 12 พฤศจิกายน ปี 2527