ประชาธิปไตยแบบไทย

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

เรียบเรียง : ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ประชาธิปไตยแบบไทย

              ที่มาของคำว่า ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ปรากฏในหนังสือ ประชาธิปไตยแบบไทยและข้อคิดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ  ในคำนำของผู้จัดพิมพ์ (สำนักพิมพ์โชคชัยเทเวศร์) กล่าวว่า บทความเรื่อง “ประชาธิปไตยแบบไทย ฯ และข้อคิดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ”นี้ สำนักพิมพ์เห็นว่าเป็นบทความที่ดีมีสาระ และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับประชาชน เพราะในระหว่างนี้ (พ.ศ. 2508) คนไทยกำลังรอรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ซึ่งสภาร่างรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณาแปรญัตติอยู่และคาดว่าจะออกใช้ได้ในเร็ววันนี้แน่นอน……ทางสำนักพิมพ์จึงได้ติดต่อขอลิขสิทธิ์ในการจัดพิมพ์...จากสถานีวิทยุ ‘สองศูนย์’ ผ่านทางตู้ ป.ณ. 2129 พระนคร และทางสถานี้วิทยุ…ได้กรุณาอนุมัติให้จัดพิมพ์ได้....” [1]   ในหนังสือเล่มดังกล่าวข้างต้น ในบทความชื่อ “ประชาธิปไตยแบบไทย” (ออกอากาศทางสถานีวิทยุ “สองศูนย์” วันที่  25 ก.ค. 08, เวลา 1930 และ 26 ก.ค. 08, เวลา 0730) โดยกล่าวว่า คำว่า ประชาธิปไตยแบบไทย มาจากคำสัมภาษณ์ของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี จอมพล ถนอม กิตติขจร วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 โดยมีข้อความสำคัญดังนี้                                          

“ในระยะนี้ ข่าวเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ซึ่งคณะปฏิวัติกำลังร่างอยู่ ได้กลับมีชีวิตชีวา โดยได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันออกไปอย่างกว้างขวางอีกครั้งหนึ่ง นับได้ว่าเป็นนิมิตดีอย่างยิ่งสำหรับระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเรากำลังพัฒนาไปสู่จุดหมายปลายทางอย่างแท้จริง ทัศนะต่างๆ ที่แสดงออกโดยบุคคลชั้นนำของประเทศก็ดี ทัศนะของหนังสือพิมพ์ก็ดี หรือทัศนะของบุคคลทั่วไปก็ดี นับได้ว่าเป็นทัศนะที่พุ่งตรงไปยังระบอบประชาธิปไตยของคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น ทำให้เกิดประเด็นถกเถียงกันขึ้น

ซึ่งวันนี้ เราจะได้ยกประเด็นที่ว่า ‘ประชาธิปไตยแบบไทย’ ตามคำให้สัมภาษณ์ของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี จอมพล ถนอม กิตติขจร นั้นมาพิจารณากันว่า คืออย่างไรกัน และรัฐบาลคณะปฏิวัติมีเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายในการวางรากฐานประชาธิปไตยให้แก่รัฐธรรมนูญฉบับถาวรนี้เป็นอย่างไร เสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญฉบับที่คณะปฏิวัติกำลังร่างอยู่นี้ ได้มีมานานพอสมควร แต่ก็น่าแปลกใจว่า เสียงวิพากษ์วิจารณ์นั้นก็ยังไม่ลงเอยกันได้ว่า ส่วนใหญ่ต้องการแบบใดและดูเหมือนว่าความต้องการนั้นก็มีแต่เพียงว่า ขอให้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรออกมาซิ !  แล้วฉันจึงจะเป็นประชาธิปไตยได้ ขอให้รัฐธรรมนูญออกมาเถิด…ถ้าประกาศใช้รัฐธรรมนูญเมื่อใด เมื่อนั้นประเทศชาติก็จะเจริญก้าวหน้า…และเสียงเหล่านั้นก็ยังสับสนอยู่อีกเช่นกันว่า เราต้องการประชาธิปไตยแบบไหนกันแน่ แบบสหรัฐอเมริกา แบบอังกฤษ แบบอินโดนีเซีย แบบลาว แบบเขมร แบบโซเวียต หรือแบบเวียตนามใต้กันแน่ เราปรารถนาเช่นนั้นกันหรือ ? เราเป็นคนไทย และที่นี่เป็นประเทศไทย เป็นประเทศเอกราช ไม่ใช่ประเทศเกิดใหม่แบบลาว เขมร หรือเวียตนาม ซึ่งมีอายุเป็นเอกราชได้เพียง 10 กว่าปีมานี้เอง และประเทศไทยไม่ใช่สหรัฐอเมริกา หรืออังกฤษ ซึ่งเจริญก้าวหน้ากว่าเรามานาน

ดังนั้น ความอยากมีอยากเป็นจึงเปรียบเสมือนเป็นเรื่องของนามธรรม ซึ่งถ้าไม่มองดูตัวเองตามความเป็นจริงก็อาจจะทำให้หลงผิดคิดไปไปได้ว่า ‘เราไม่เป็นประชาธิปไตยแท้จริง’ และคำถามสุดท้ายก็คงมาอยู่ที่ว่า ‘ประชาธิปไตยแท้จริง’ ที่เราต้องการนั้นคืออะไร และอะไรเรียกได้ว่าประชาธิปไตยแท้จริง ใครเป็นผู้ตัดสิน และใครจะเป็นผู้นำไปสู่จุดหมายปลายทางนั้น  มีผู้ให้ทัศนะว่า ‘ประชาธิปไตยแบบไทย’ ตามคำให้สัมภาษณ์ของ ฯฯพณฯ จอมพล ถนอม กิตติขจร เมื่อวันที่ 22 เดือนนี้ เป็นประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับประเทศไทย ถ้าจะถามว่าเพราะอะไร ก็อาจตอบได้ง่ายๆว่า ที่นี่เป็นประเทศไทย ที่นี่ไม่ใช่สหรัฐอเมริกา ไม่ใช่อังกฤษ ไม่ใช่ลาว ไม่ใช่เขมร และไม่ใช่อินโดนีเซีย หรือเวียตนามใต้ ถ้าจะเปรียบกันไป ก็เหมือนกับว่า เราจะไม่เอาเสื้อตามขนาดของฝรั่งซึ่งใหญ่เกินไปมาสวม และจะไม่ใส่เสื้อและรองเท้าแบบทหารลาวและเวียตนามใต้ ซึ่งอยู่ในสภาพที่มอมแมมเกินไปมาใช้…ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าจะหลงละเมอเพ้อว่า ประเทศไทยจะมีอะไรดีแล้วทุกอย่าง แล้วจะหยุดนิ่งอยู่เพียงแค่นี้เท่านั้น….ขณะนี้ประเทศไทยเรา ภายใต้การบริหารของคณะปฏิวัติกำลังดำเนินการไปสู่เนื้อแท้ของประชาธิปไตย นั่นคือ การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ในขั้นดำเนินการนี้เราอาจเรียกได้ว่า ‘เป็นการเริ่มต้นสร้างประชาธิปไตย’ และเราก็ใคร่จะชี้ให้ชัดลงไปอีกด้วยว่า การสร้างประชาธิปไตยนั้น  ไม่ใช่การสร้างรัฐธรรมนูญหรือสร้างแต่กฎหมายอย่างเดียว การสร้างรัฐธรรมนูญและการสร้างกฎหมาย แต่เพียงส่วนหนึ่งของการสร้างประชาธิปไตยไทยของไทยเท่านั้น ที่เราพูดถึงการสร้างประชาธิปไตยนี้หมายถึงการสร้างประชาธิปไตยโดยนัยอันกว้างขวาง คือ สร้างสังคมทั้งระบบ ได้แก่ การพัฒนาเศรษฐกิจ พัฒนาการเมือง และอื่นๆ อย่างรอบด้าน กล่าวโดยสรุปก็คือว่า ประชาธิปไตยแบบไทย ซึ่งคณะปฏิวัติกำลังสร้างจะให้มีขึ้นนี้ ก็คือประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับสภาวการณ์และลักษณะพิเศษของประเทศไทย ซึ่งในทางปฏิบัติสามารถทำได้ และบรรลุเป้าหมายได้ดียิ่ง นี่คือการไม่หลอกลวงตัวเองและประเทศชาติไม่ล่มจม ไม่ถอยหลังไปใช้วิธีการที่เคยพิสูจน์ตัวเองว่าล้มเหลวมาแล้วในอดีต แต่กำลังก้าวไปข้างหน้าทีละขั้น ด้วยความมั่นใจและไม่มีวันที่จะใช้วิธีการก้าวกระโดดไกลเช่นเดียวกับจีนแดง ซึ่งมีแต่จะนำความหายนะและความวิปโยคมาสู่ประชาชนเท่านั้น นี่แหละครับ ท่านผู้ฟังที่เคารพเป็นทัศนะหนึ่งของเราที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยแบบไทย”  

หลังจากบทความดังกล่าวนี้ซึ่งเผยแพร่ในปี พ.ศ. 2508 อีกสามปีต่อมา ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 เป็นวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 8 ของประเทศไทยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้เวลาร่างนานที่สุดตั้งแต่เคยร่างรัฐธรรมนูญกันมาในประเทศไทย นับจากวันที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และคณะทหาร ได้ทำการยึดอำนาจล้มรัฐบาล ล้มรัฐธรรมนูญ และประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2502 แต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 ที่ร่างกันนานมาก ก็ใช้ได้ถึงวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 เท่านั้น เพราะเกิดการขัดแย้งภายในพรรครัฐบาล คือพรรคสหประชาไทย จอมพล ถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีจึงเป็นหัวหน้าคณะยึดอำนาจล้มทั้งรัฐธรรมนูญและรัฐบาล [2]  

ส่วนนโยบายก้าวกระโดดไกลของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เริ่มใช้ระหว่าง พ.ศ. 2501-2505 ที่มุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างรวดเร็วจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่ความเป็นชาติอุตสาหกรรมได้นำไปสู่ความอดหยากที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวางและมีผู้เสียชีวิตประมาณ 55 ล้านคน นโยบายก้าวกระโดดไกลถือเป็นบทเรียนสำคัญในประวัติศาสตร์จีน ที่ชี้ให้เห็นถึงอันตรายของนโยบายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วภายใต้อิทธิพลของอุดมการณ์โดยไม่คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงของประเทศ [3]

เชิงอรรถ


[1] ไม่ปรากฏชื่อผู้เขียนหรือบรรณาธิการ ประชาธิปไตยแบบไทยและข้อคิดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ, สำนักพิมพ์โชคชัยเทเวศร์ พระนคร ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์ แต่คาดว่าน่าจะเป็นปี พ.ศ. 2508

[2] รัฐธรรมนูญ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 ฐานข้อมูลสถาบันพระปกเกล้า

[3] Great Leap Forward, https://www.britannica.com/event/Great-Leap-Forward