ที่ประทับในประเทศอังกฤษตามลำดับและพระราชกรณียกิจ
ผู้เรียบเรียง : รองศาสตราจารย์ ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้เสด็จประพาส ๙ ประเทศในทวีปยุโรปเสร็จแล้วทั้งสองพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปประทับอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ แล้วเสด็จฯ ข้ามไปที่ประเทศอังกฤษเมื่อประมาณปลายเดือนกันยายนศกเดียวกัน และเข้าประทับ ณ พระตำหนักโนล (Knowle) ซึ่งทรงเช่าจากลอร์ดและเลดี้แซกวิลล์ (Lord and Lady Sackville) ทั้งนี้ได้เสด็จฯ ทรงสำรวจสถานที่นี้และคฤหาสน์อื่นๆ แล้ว เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๗[1]
ณ พระตำหนักโนล (Knowle House)
พระตำหนักนี้ตั้งอยู่ที่ตำบลแครนลี (Cranleigh) จังหวัดเซอร์เร่ย์ (Surrey) ใกล้เมืองกิลด์เฟิร์ด(Guildford) ห่างจากกรุงลอนดอนไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ๓๕ ไมล์ และนับว่าใกล้กับสถานที่ซึ่งเคยประทับสมัยที่ทรงเป็นนายทหารอังกฤษ คือเมืองออลเดอร์ชอต (Aldershot) คฤหาสน์ขนาดใหญ่สีเทาๆ นี้มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบบาโร้ค (Baroque) มีปล่องไฟสูงต่ำเป็นจำนวนมาก หน้าต่างทรงสูงแบบฝรั่งเศสและหน้าจั่วรูปทรงชดช้อยแทนที่จะเป็นรูปสามเหลี่ยม มีบริเวณโดยรอบกว้างขวางพร้อมพฤกษานานาพันธุ์จึงเหมาะที่จะเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์และข้าราชบริพารในกระบวนเสด็จ แต่เมื่อทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ (พ.ศ. ๒๔๗๘ นับตามปฏิทินปัจจุบัน) แล้ว ข้าราชบริพารที่เป็นข้าราชการก็ได้รับคำสั่งให้กลับเมืองไทยเพราะหมดหน้าที่แล้ว เหลือแต่พระประยูรญาติไม่กี่พระองค์และข้าราชบริพารในพระองค์ไม่กี่คน ประกอบกับพระตำหนักโนลเป็นตึกที่มีลักษณะทึบ ไม่ค่อยเหมาะกับพระอนามัย อีกทั่งค่าเช่าค่อนข้างสูง ดังนั้น ในเมื่อจะประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษต่อไปไม่มีกำหนด โดยรัฐบาลอังกฤษอนุญาต จึงทรงเสาะแสวงหาซื้อที่ประทับที่อื่นแทน
ปัจจุบันบ้านโนลได้รับการดัดแปลงเป็นสถานพักฟื้นจากอาการป่วย เรียกว่า โนล พาร์ค เนอร์สซิ่งโฮม (Knowle Park Nursing Home) มีสวนเขียวชอุ่มพร้อมพุ่มไม้ดอกไม้นานาชนิด สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเขาลูกย่อมๆ ของเซอร์เร่ย์ได้โดยรอบ ผู้จัดการสถานพักฟื้นยินยันว่าชาวบ้านในแถบนั้นยังคงเล่าขานถึงล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์สืบต่อมา สถานพักฟื้นจึงได้ตั้งชื่อห้องชุดๆ หนึ่งว่า “The Siam Suite”เป็นการเทิดพระเกียรติ
ณ พระตำหนักเกลน แพ็มเมิ่นต์ (Glen Pammant)
พระตำหนักที่ทรงซื้อเป็นที่ประทับแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่ในตำบลเวอร์จิเนีย วอเตอร์ ทางตอนเหนือของจังหวัดเซอร์เร่ย์เช่นกันแต่ใกล้เมืองสเตนส์ (Staines) ที่อยู่ในจังหวัดมิดเดิลเซกซ์ (Middlesex) องค์พระตำหนักขนาดมีขนาดย่อมลง แต่ก็ใหญ่โตและมีเนื้อที่กว้าง ด้วยทรงพระราชดำริว่า ยังต้องทรงดำรงพระเกียรติยศในฐานะอดีตพระมหากษัตริย์แห่งสยามต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง แต่ก็ได้ทรงอนุโลมตามประเพณีท้องถิ่นแถบนั้นซึ่งมักตั้งชื่อบ้านโดยมีคำว่า Glen นำหน้า ตามลักษณะภูมิประเทศ โดย Glen หมายถึงหุบเขา จึงพระราชทานนามพระตำหนักนี้ว่า เกลน แพ็มเมิ่นต์ (Glen Pammant) ซึ่งทรงสลับตัวอักษรมาจากวลีที่ว่า“ตามเพลงมัน”ซึ่งสะกดเป็นภาษาอังกฤษว่า Tam Pleng Man อันหมายถึงว่า “แล้วแต่บุญแต่กรรม”หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงชุบเลี้ยงมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์และทรงได้เสด็จจากฝรั่งเศสไปถวายงานที่อังกฤษทรงเล่าว่า การที่ไม่ทรงใช้นามอย่างดีหรู เช่นไม่มีกังวล ภาษาฝรั่งเศสว่า ซองส์ซูซีส์ (Sans Soucis) อย่างวังไกลกังวล นั้น รับสั่งว่า “พอเกิดเรื่องขึ้นมา เดี่ยวก็ถูกยึด”[2]
ม.ร.ว. ปิ่มสาย อมระนันท์ พระนัดดาในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ซึ่งโปรดกล้าฯ ให้ไปอยู่ที่เวอร์จิเนียวอเตอร์กับหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท ท่านพ่อ ซึ่งทรงทำหน้าที่ราชเลขานุการส่วนพระองค์อยู่ในขณะนั้น บรรยายภาพพระตำหนักและบริเวณโดยรวมไว้อย่างละเอียดละออว่า
“ประตูรั้วเหล็กดัดด้านหน้าของพระตำหนักอยู่ที่ตีนเนินเขา มีถนนโรยกรวดคดเคี้ยวขึ้นเนินไป ผ่านต้นอเซเลีย (azalea) นับร้อยต้นทางด้านซ้ายและต้นโรโดเดนดรอน (rhododendron) ดอกม่วงใหญ่ทางด้านขวา หลังต้นอเซเลียมีต้นสนยูว์ (yew trees) มหึมา ทำให้ไม่อาจและเห็นองค์พระตำหนักหรือสนามหญ้าจนกว่าจะเลี้ยวโค้งสุดท้าย ด้านขวาของบริเวณที่จอดรถหน้าพระตำหนักมีสวนหินขนาดใหญ่สวยงามครบถ้วนด้วยสระน้อยใหญ่และน้ำตก ถนนเลี้ยวคดอ้อมพระตำหนักไปยังที่โรงจอดรถขนาด ๗ คันด้านหลังและมีที่ให้คนขับรถ หัวหน้าคนรับใช้ชายหนึ่งคนกับลูกน้อง ๒ คน ได้พักอาศัย อีกทั้งมีกระท่อมหลังหนึ่งสำหรับหัวหน้าคนสวนด้วย พระตำหนักเป็นแบบวิกตอเรียน (Victorian) มี ๓ ชั้น และห้องหับจำนวนมาก เช่น ห้องโถง ห้องสมุด ห้องรับแขก ห้องอาหาร และห้องนั่งเล่น... ห้องเหล่านี้เต็มไปด้วยเครื่องเรือนแบบอังกฤษ แต่ก็มีสิ่งของต่างๆ ของไทยอยู่ประปราย เช่นพระแสงประดับเพชรพลอย หีบพระโอสถมวนถมทอง และฉากสีแดงภาพตัวละครไทย ๒ ตัว[3] ภาพบนฉากนั้นเข้าใจว่าเป็นนางรจนากับเจ้าเงาะ ภายหลังตั้งอยู่ที่ทางไปห้องพระบรรทมของสมเด็จฯ ที่พระตำหนักใหญ่ วังศุโขทัย[4]
กว่า ม.ร.ว. ปิ่มสาย และม.ร.ว. สมานสนิท น้องสาวซึ่งขณะนั้นยังเป็นเด็ก จะได้เฝ้าฯ ก็ต้องเดินไปตามห้องต่างๆ และชื่นชมในความงดงามไปด้วย จนกระทั่งได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในห้องทรงพระสำราญซึ่งมีไฟจุดอยู่ในเตาผิง ในห้องมีม่านหนาสีน้ำเงินแขวนอยู่ ซึ่งใช้กั้นส่วนที่ย่อมกว่าของห้องให้เป็นเวทีการแสดงได้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ประทับยืนอยู่เคียงกับม่านผืนใหญ่นี้ ทำให้พระวรกายยิ่งดูเล็ก ซูบแต่กระนั้นก็ยืดตรงสง่าผ่าเผย พระโอษฐ์แย้ม แต่พระเนตรมีแววเศร้า พระมัสสุ (หนวด) พระขนง (คิ้ว) เข้ม ทรงฉลองพระองค์สูทสักหลาดแบบทวีด (Tweed jacket แบบคหบดีชาวชนบทอังกฤษ -ผู้เขียน) แม้พระชนมพรรษาเพียง ๔๓ พรรษา แต่เราเด็กๆ คิดว่าทรงพระชรามาก แม้ว่าเส้นพระเจ้า (เส้นผม) จะยังคงเป็นสีดำอยู่...[5]
ในส่วนของสวนนั้นกว้างใหญ่มาก จากองค์พระตำหนักเป็นเนินลาดลงไปยังสนามหญ้าใหญ่ที่ปลายสุดมีสนามเทนนิสแบบแข็ง และจากนั้นเป็นสวนกุหลาบอันเป็นระเบียบ ส่วนทางด้านซ้ายมีทางเดินไปสู่บังกะโลไม้หลังหนึ่ง ทางด้านขวาของสนามหญ้า มีสวนผักกำแพงล้อมรอบและเรือนกระจกหลายหลังซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลไม้ต่างๆ หลากชนิด อีกทั้งดอกไม้สำหรับตัดปักแจกันตกแต่งพระตำหนัก แสดงว่าทรงถือหลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” ตามสมควร ส่วนด้านหลังพระตำหนักเป็นสวนสนและป่าละเมาะเป็นทางระหว่างเนิน ปกคลุมไปด้วยดอกไม้คลุมดินต่างๆ เช่น บลูเบลล์ (bluebell) แดฟโฟด์ล (daffodil) และ พริมโรส (primrose) ในช่วงฤดูใบได้ผลิ แลดูเป็นสีฟ้าสีเหลืองพลิ้วอยู่ในสายลม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ โปรดที่จะเสด็จลงมาทรงพระดำเนินกับสุนัขซึ่งทรงเลี้ยงไว้ในช่วงบ่ายๆ[6]
สำหรับพระราชานุกิจนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เสวยพระกระยาหารเช้าในห้องพระบรรทม โดยมหาดเล็กคนไทยเชิญเครื่องไปตั้งถวายเช่นเดียวกับที่เคยทรงปฏิบัติในประเทศไทย ส่วนสมเด็จฯ เสวยในห้องแต่งพระองค์ ซึ่ง ม.ร.ว. ปิ่มสาย เล่าว่า “สวยน่ารัก สมกับที่เป็นของสุภาพสตรี ทั้งยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเย็นๆ ของดอกสวีทพี (sweet peas) พืชตระกูลถั่วที่ปลูกไว้ตัดดอกสีอ่อนๆ ต่างๆ มาปักแจกัน แต่ที่เด็กๆ ติดใจมากคือ “ตู้กระจกหลายใบที่เต็มไปด้วยสัตว์และรูปปั้นเล็กๆ ตรึงตาและน่าจับต้องยิ่งนัก” ส่วนพระญาติจะเสวยและรับประทานอาหารเช้าตอนสองโมงเช้าที่ห้องเสวยอาหารที่จัดไว้ให้แบบบุฟเฟต์ (buffet) ให้ตักเอง เป็นอาหารเช้าแบบอังกฤษ บางครั้งเสด็จลงมาเสวยด้วย[7] สำหรับอาหารกลางวันตอนบ่ายโมงและอาหารค่ำตอนสองทุ่มนั้น ก็เป็นอาหารฝรั่งเช่นกัน ตามด้วยปลาแล้วก็เนื้อ จบด้วยของหวาน ขนม ผลไม้ โดยทุกคนต้องเข้านั่งโต๊ะเสวยให้เป็นระเบียบและตรงต่อเวลา โดยหัวหน้าบริกร (butler) ตีฆ้องเป็นสัญญาณ และต้องแต่งชุดราตรีอย่างโก้ตอนมื้อค่ำด้วย การที่ต้องทรงจ้างฝรั่งมาเป็นคนรับใช้และคนขับรถและการที่ทุกคนต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยตามธรรมเนียมฝรั่ง ตลอดจนรักษามารยาทในการกินอยู่เช่นนี้ ก็เพื่อดำรงพระเกียรติยศ เพื่อไม่ให้ฝรั่งดูถูกเอาว่าไทยเราไม่รู้จักความเป็น “อารยะ” มีแต่ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งเป็นวันหยุดพักผ่อนของคนรับใช้เท่านั้นที่บางครั้งทรงพระคำนึงถึงพระกระยาหารไทย แต่ก็มิได้โปรดเกล้าฯ ให้ทำในครัวฝรั่งบนพระตำหนัก เพราะจะมีกลิ่นแรงติดอยู่ จึงรับสั่งให้ไปทำกันที่บังกะโล สมเด็จฯ โปรดทรงตำน้ำพริก ส่วนพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ นั้นแม้จะไม่ทรงปรุงเอง แต่จะทรงทราบว่าอาหารชนิดใดต้องปรุงอย่างไร ผู้ที่ทำถวายเสนอคือ หลวงศักดิ์นายเวร (แจ่ม เงินยอง) มหาดเล็กข้าหลวงเดิมและนางศักดิ์นายเวร (เชย เงินยอง) ข้าหลวงสมเด็จฯ[8] ผู้จงรักภักดีอย่างที่เรียกได้ว่า “ถวายชีวิต”
ในช่วงบ่าย มักจะทรงพระดำเนินเล่นที่ป่าละเมาะ ในช่วงฤดูร้อน สมเด็จฯ ทรงกอล์ฟหรือเทนนิส บางครั้งนายบันนี่ ออสติน (Bunny Austin) นักเทนนิสชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงระดับโลกในเวลานั้นได้ไปเฝ้าและเล่นคู่กับสมเด็จฯ สิ่งหนึ่งที่ทรงปฏิบัติตามแบบฉบับของคนอังกฤษคือ เสวยพระสุธารสชาในช่วงบ่าย ประมาณ ๑๗.๐๐ ที่สนามหญ้า ซึ่งบางครั้งเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์ไปเสวยตามร้านธรรมดาทั่วไป เช่น ริมแม่น้ำเทมส์ เป็นการที่ได้ทรงพักผ่อนคลายพระอารมณ์อย่างหนึ่ง
หลังพระกระยาหารค่ำ จะประทับอยู่กับพระประยูรญาติเหมือนพ่อแม่ในครอบครัวที่อบอุ่น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงพระอักษรซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังสือประเภทประวัติศาสตร์ ชีวประวัติ ตำราการทำสวน และนวนิยายของซัมเมอร์เซท มอห์ม (Sommerset Maugham) อีเวอร์ลิน วอห์ (Evelyn Waugh) หรือแม้แต่แบบขำขันของพี.จี. วูดเฮาส์ (P.G. Wodehouse) ส่วนพระประยูรญาติจะเล่นแผ่นเสียงและคุยกันซึ่งดูเหมือนว่าทรงรักษาพระสมาธิในการทรงพระอักษรได้ดี แต่ก็ทรงสามารถรับส่งแทรกเข้าไปในวงสนทนาได้ดังที่ ม.ร.ว. ปิ่มสาย เล่าว่า เมื่อเนื้อร้องของเพลง The Very Thought of you ถึงตอนที่ว่า “ฉันมีความสุขราวกับพระราชา” ก็รับสั่งพ้อว่า “ฉันไม่มีความสุขเลยต่างหาก เจ้าโง่” (I’m not happy, you fool)[9]
พึงเข้าในว่า ในช่วงนั้น ประทับอยู่ก็แต่กับพระประยูรญาติและข้าราชบริพารที่ใกล้ชิดจริงๆ เพราะเป็นช่วงที่ทรงสละราชสมบัติใหม่ๆ คนไทยในอังกฤษยังวางตัวไม่ถูก เช่น หากบังเอิญอยู่ในร้านอาหารเดียวกัน ก็จะไม่เข้าไปเฝ้าฯ หรือแม้แต่ถวายคำนับ เกรงว่าจะมีภัยมาถึงตน หรือครอบครัวในเมืองไทย ไม่กล้าถวายความเคารพหรือเข้าไปเฝ้าฯ แต่ก็มีบางคนที่กล้าลุกขึ้นยืนถวายคำนับ ในขณะที่เพื่อนๆ นั่งก้มหน้าทำเป็นมองไม่เห็น[10]
ตลอดระยะเวลานี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ไม่ค่อยทรงสบาย ทรงแพ้อากาศหนาวชื้น ดังนั้นในช่วงฤดูหนาวจึงมักจะเสด็จไปยังที่ซึ่งอากาศอุ่นกว่าทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ครั้นเมื่อประทับอยู่ที่เกล็นแพ็มเมิ่นต์ได้ประมาณ ๒ ปี คือระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๘-๒๔๘๐ พระอาการประชวรหนักขึ้น ประกอบกับไม่ต้องทรงรักษาพระเกียรติยศมากเท่าเดิมแล้ว จึงทรงตัดสินพระราชหฤทัยขายพระตำหนัก “ตามเพลงมัน” และทรงซื้อพระตำหนักใหม่ที่มีขนาดเล็กเหมาะแก่การดูแลรักษามากกว่า ที่หมู่บ้านบิ้ดเด็นเด็น (Biddenden) ใกล้เมืองแอชเฟิร์ด (Ashford) ในจังหวัดเค้นท์ (Kent) ประมาณ ๒๐๐ ไมล์จากกรุงลอนดอนไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ที่สำคัญมีภูมิอากาศดีกว่าที่เวอร์จิเนีย วอร์เตอร์ เพราะใกล้ทะเลกว่าแต่ความที่ไม่ห่างจากช่องแคบโดเวอร์ (Strait of Dover) มากเช่นนี้ กลับกลายเป็นเหตุให้ทรงเดือดร้อนอีกดังจะได้กล่าวต่อไป
ส่วนพระตำหนักเกล็นแพ็มเมิ่นต์นั้น ปัจจุบันแบ่งเป็น ๒ ส่วน และใช้ชื่อว่าเกรย์เว็ล คอร์ต (Greywell Court) และเกรย์เว็ล เฮาส์ (Greywell House) เป็นบ้านส่วนบุคคล
ณ พระตำหนักเวนคอร์ต (Vane Court)
นับเป็นความบังเอิญที่หมู่บ้านบิ้ดเด็นเด็น ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีผู้ตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่สมัยกวีเอกเชคสเปียร์ (Shakespeare) คือต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗นี้ มีสัญญลักษณ์ของหมู่บ้านปรากฏรูปผู้หญิงสาวฝาแฝดตัวติดกันที่บั้นเอว (The Bidden Sisters) คล้ายฝาแฝดสยาม (Siamese twins) อินกับจัน
องค์พระตำหนักเวนคอร์ต (Vane Court) ซึ่งเสด็จเข้าประทับเมื่อเดือนกันยายน ๒๔๘๐ เป็นตึกผนังถือปูนสีขาวประกบด้วยท่อนไม้โอ๊ค (Oak beamed) ทาสีดำแบบทิวดอร์ คานค้ำพื้นชั้นบนที่เพดานเป็นท่อนซุงใหญ่ เช่นกัน ความเก่าแก่ทำให้พื้นมีความลาดเอียงถึงขนาดที่สิ่งใดอยู่บนพื้นกลิ้งไปถึงอีกห้องหนึ่งได้[11]
ที่พระตำหนักเวนคอร์ตนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงพระสำราญมาก เสด็จลงสวนทรงรดน้ำพรวนดิน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงวางผังปลูกต้นไม้และไม้ดอกด้วยพระองค์เอง ทรงดูแลดอกคาร์เนชั่น (Carnation) ทุกๆ วัน ในเรือนกระจกที่มีไฟฟ้าทำให้อุณหภูมิพอเหมาะ สมเด็จฯ ทรงตัดมาปักแจกันไว้ตามห้องต่างๆ ในพระตำหนักทุกวัน ในสวนมีสะพานหินเล็กๆ ข้ามบ่อน้ำที่ทรงเลี้ยงเป็ดเทศและปลาไว้หลายพันธุ์ “ทรงเพลิดเพลินในการทอดพระเนตรพวกเป็ดน้ำเทศสีสวยงามเหล่านี้ ซึ่งว่ายวนอยู่ระหว่างกอไม้ในบ่อเล็กกลางสวนดอกไม้ บางตัวก็เดินขึ้นไปบนบกเข้าไปในบ้านเล็กๆ ที่สร้างไว้บนเนินเขาเตี้ยๆริมบ่อให้เป็นที่พักและฟักไข่ได้”[12]
ที่พระตำหนักนี้ มีสนามเทนนิสเช่นเดียวกับที่พระตำหนักเกล็นแพ็มเมิ่นต์และถึงเวลานั้นบรรดาคนไทยและนักเรียนไทยในอังกฤษมีความกล้าขึ้นที่จะมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตแข่งขันเทนนิสที่สนามส่วนพระองค์ ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นกันองมากกับนักเรียนไทยและประทับที่พื้นสนามพระตำหนักกับพวกเขาขณะเสวยพระสุธารสชาในช่วงฤดูร้อน แวดล้อมไปด้วยพฤกษานานาพันธุ์ ต่อมาจึงเสด็จฯ ไปทรงร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ (meeting) ที่นักเรียนไทยจัดขึ้นปีละครั้งและสมเด็จฯ ได้ทรงเทนนิสกับพวกเขาด้วย โดยครั้งหนึ่งทรงครองตำแหน่ง รองชนะเลิศ[13]
ในช่วงที่ประทับอยู่ที่เวนคอร์ตนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้ทรงเริ่มพระราชนิพนธ์พระราชประวัติของพระองค์เอง โดยทรงวางแผนว่าจะทรงเล่าตั้งแต่สมัยยังทรงพระเยาว์ถึงทรงสละราชสมบัติด้วยต้องพระประสงค์จะให้อนุชนรุ่นหลังได้ทราบ น่าเสียดายที่พระโรคทำให้พระนิพนธิ์ได้ถึงเมื่อทรงมีพระชนมพรรษา ๒๕ พรรษา เท่านั้น[14]
ครั้นถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ สงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ตั้งเค้า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ แน่พระทัยว่า สงครามจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน จึงทรงเตรียมพร้อมด้วยการประหยัดทุกทาง ทรงเลิกเช่าห้องชุดที่ลอนดอนและทรงหาที่ประทับใหม่ให้ใกล้กับตำหนักดอนฮิลล์ (Dawn Hill) ซึ่งพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต พระราชโอรสบุญธรรม และหม่อมมณี ภานุพันธ์ ณ อยุธยา (ภายหลังเป็นคุณหญิงมณี สิริวรสาร) เช่าอยู่ ณ สถานที่จัดสรรชั้นดีชื่อว่าเวนท์เวอร์ธ เอสเตท (Wentworth Estate) ในแถบเวอร์จิเนีย วอเตอร์ ไม่ไกลจากพระตำหนักเกล็นแพ็มเมิ่นต์ ทั้งนี้เพราะหากสงครามเกิดขึ้นจริง จังหวัดเค้นท์ ซึ่งอยู่ใกล้ช่องแคบอังกฤษ อาจถูกเยอรมันบุก จึงจะถูกประกาศเป็นเขตทหาร[15]
หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์ Sunday Despatch เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๓๙ (พ.ศ. ๒๔๘๑) ได้รายงานจากหมู่บ้านบิ้ดเด็นเด็นว่า หมู่บ้านนี้กำลังตื่นเต้นที่เจ้าชายประชาธิปก (Prince Prajadhipok) อดีตพระมหากษัตริย์สยามกำลังจะเสด็จฯ กลับมาที่นั่นหลังจากที่ได้เสด็จฯ ประพาสประเทศอียิปต์ ทั้งนี้เพราะบรรดาชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ต่างรักและเทิดทูนพระองค์ด้วยทรงพระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตาคุณ (generosity and kindness) พวกเขาได้เฝ้าฯ บ่อยๆ เพราะแทนที่จะทรงสั่งซื้อของและให้ร้านในเมืองส่งไปที่พระตำหนัก กลับทรงจักรยานตามถนนเล็กๆ ของหมู่บ้าน เพื่อทรงจับจ่ายร้านในหมู่บ้าน โดยทรงคำนึงถึงความเป็นธรรมมาก เพราะสัปดาห์หนึ่งจะทรงซื้อของที่ร้านหนึ่ง อีกสัปดาห์หนึ่งที่อีกร้านหนึ่ง โปรดที่จะทรงซื้อช็อคโกแล็ตที่ร้านกาแฟประจำหมู่บ้านทำเองและบางครั้งเสวยพระกระยาหารมื้อย่อมๆ ที่ร้านนั้นด้วย ในช่วงฤดูร้อน ทรงพระกรุณาทำหน้าที่ “มูลนาย” (Squire) ประจำหมู่บ้าน โดยทรงเป็นองค์ประธานพระราชทานถ้วยรางวัลในงานประกวดดอกไม้ และงานแข่งม้ากระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง “มูลนาย” พระองค์นี้ทรงรถยนต์แทนที่จะทรงม้าล่าสัตว์อย่างมูลนายอังกฤษดั้งเดิมทั้งหลาย นอกจากนั้นยังทรงเป็นขวัญใจของพวกเด็กๆ ในหมู่บ้าน แม่หนูโอล์เวน โจนส์ (Olwen Jones) วัย ๔ ขวบ อวดตุ๊กตาใหญ่ซึ่งเธอได้รับพระราชทาน เธอจะถวายบังคม (Salaam) ทุกครั้งที่ได้เข้าเฝ้าฯ เธอพูดภาษาไทยที่ทรงสอนให้เธอได้หลายคำ เช่น “มือเปื้อน” หรือ “น้ำชา” และชื่อวันต่างๆ ในสัปดาห์ แม่หนูบอกกับผู้สื่อข่าวว่า “อยากให้เสด็จฯ กลับมาเร็วๆ จังเลย” ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้มีความมั่นใจว่า ไม่มีวันที่จะเสด็จฯ กลับสู่ประเทศสยาม เพราะทุกครั้งที่เขาเห็นพระองค์ทรงพระดำเนินไปตามถนนใหญ่ในหมู่บ้านกับสุนัขพันธ์ แอร์เดล (Airedale) มากกว่า[16]
หนังสือพิมพ์อังกฤษฉบับหนึ่ง ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๓๙ (พ.ศ. ๒๔๘๒) รายงานข่าวสำคัญเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ขณะเสด็จฯ จากบิ้ดเด็นเด็นไปประทับแรมที่ตำหนักดอนฮิลล์เพื่อทรงคอยการเกิดของโอรสพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาตว่าทรงได้รับโทรเลขแจ้งว่ารัฐบาลไทยได้ยื่นฟ้องพระองค์และสมเด็จฯ โดยกล่าวหาว่าทรงยักยอกเงินแผ่นดิน[17] [18] [19] ไม่กี่วันหลังจากนั้น ได้เสด็จพระราชดำเนินไปเมืองโรยาต์ (Royat) ที่ประเทศฝรั่งเศส เพื่อประทับรักษาพระองค์โดยทรงสรงน้ำแร่แล้วเสด็จประพาสอียิปต์ เสด็จกลับไปอังกฤษได้ไม่กี่วัน ประเทศอังกฤษก็ได้ประกาศสงครามกับประเทศเยอรมนีในวันที่ ๓ กันยายน ค.ศ. ๑๙๓๙ (พ.ศ. ๒๔๘๒) ดังนั้นการเตรียมการของพระองค์ที่จะเสด็จไปประทับอยู่ที่อินเดียเพื่อที่นายเครก (Mr. R.D. Craig) ทนายความของพระองค์ซึ่งจะไปดูแลการสู้คดีที่กรุงเทพฯ จะได้เดินทางนำเอกสารถวายให้ทรงลงพระนามได้ทันกาล จึงต้องเป็นล้มเลิก กลับต้องทรงเตรียมพระองค์ที่จะรับกับสถานการณ์สงครามในประเทศอังกฤษ[20] [21] ทรงปิดตำหนักเวนคอร์ตไว้และทรงย้ายไปประทับที่พระตำหนักใหม่ ชื่อว่าคอมพ์ตัน เฮาส์ (Compton House)
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ประทับอยู่ที่เวนคอร์ตระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ ถึงประมาณเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ครั้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จะเสด็จสวรรคตในวันที่ ๓๐ เดือนนั้น พระตำหนักนี้ถูกยึดครองโดยฝ่ายทหารอังกฤษเพื่อใช้เป็นกองบัญชาการแห่งหนึ่ง[22] จากนั้นได้เปลี่ยนเจ้าของหลายครั้งโดยครั้งหนึ่งเคยอยู่ในมือเจ้าของบริษัทขายเมล็ดพันธุ์ดอกไม้และพืชผัก ปัจจุบันเป็นบ้านส่วนบุคคล
อีตัน เฮาส์
ด้วยเหตุที่การเดินทางจากบิ้ดเด็นเด็นไปกรุงลอนดอน ไปกลับในวันเดียวกันทำได้ไม่สะดวกรวดเร็วเท่าจากพระตำหนักเดิม จึงทรงเช่าห้องชุด (flat) ชุดหนึ่งไว้ในกรุงลอนดอนที่อีตัน เฮาส์ (Eaton House) เลขที่ ๖๑ ถนนอัพเพ่อร์ โกรฟเวินเน่อร์ (Upper Grosvenor Street) ในย่านเมย์แฟร์ (Mayfair) ใกล้กับสถานทูตสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้เพื่อจะประทับแรมเมื่อทรงมีพระราชกิจธุระหรือเสด็จทอดพระเนตรภาพยนตร์ละครเวที หรือภาพเขียนตามหอศิลป์ หรือทรงจับจ่ายซื้อของ ทรงเช่าห้องชุดนี้ไว้ประมาณ ๒ ปี คือระหว่าง พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๒ ขณะประทับอยู่ที่พระตำหนักเวนคอร์ต (Vane Court) จึงทรงเลิกเช่าเพื่อลดพระราชภาระใช้จ่ายเนื่องจากห้องชุดนี้ตั้งอยู่ในย่านสำคัญค่าเช่าจึงแพงมาก[23]
พระตำหนักคอมพ์ตัน เฮาส์
พระตำหนักคอมพ์ตัน เฮาส์ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านเว้นท์เวอร์ธ (Wentworth) ในตำบลเวอร์จิเนีย วอเตอร์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเช่าระยะยาว ๒๐ ปี[24] มีเนื้อที่ประมาณ ๖ ไร่ และนับว่ามีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาพระตำหนักที่เคยประทับมาก่อนหน้านี้ จึงเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายและดูแลง่าย[25] องค์พระตำหนักเป็นสถาปัตยกรรมแบบจอร์เจียน (Georgian) ทาสีขาวมีสองปีก ปีกละประมาณ ๓-๔ ห้องในแต่ละชั้น ชั้นล่างของปีกหน้ามุข มีห้องประทับรับแขก ห้องเสวย ห้องพักอาหาร (pantry) ห้องเครื่อง (ครัว)โดยพระ วรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาตและหม่อมมณี พร้อมบุตร ได้ย้ายเข้ามาร่วมพระตำหนักด้วยในภายหลัง[26]
ช่วงนี้เป็นภาวะสงคราม ซึ่งมีเครื่องบินของเยอรมันไปทิ้งระเบิดที่อังกฤษ รัฐบาลจึงให้ทุกบ้านเย็บผ้าดำติดม่านหน้าต่างทุกบาน เพื่อมีให้แสงสว่างเล็ดลอดออกไปในตอนกลางคืนให้เครื่องบินของศัตรูเห็นได้ว่าเป็นที่ซึ่งมีอาคาร แจกหน้ากากป้องกันก๊าซให้ประชาชนทุกคน รวมทั้งแจกจ่ายคูปองแบ่งปันอาหารและน้ำมัน(rations) ด้วย[27] นับว่าเป็นภาวะที่ต้องทรงลำบากเช่นเดียวกับชาวบ้านอังกฤษทั้งหลาย
ที่ใดในจังหวัดเดวอน? สแตดดอน?
ครั้นถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๓ สงครามได้ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นภัยต่ออังกฤษมากขึ้น เพราะเยอรมันบุกฝรั่งเศสได้สำเร็จ ฝรั่งเศสยอมจำนน จึงคาดกันว่าอังกฤษเป็นเป้าหมายต่อไปของฮิตเลอร์ จอมเผด็จการเยอรมันโดยจะมีการทิ้งระเบิดอย่างหนักมากในแถบลอนดอนและเขตอุตสาหกรรม จึงทรงอพยพครอบครัวของพระองค์ ไปประทับที่ตอนเหนือของจังหวัดเดฟเว่น (Devon) ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะอังกฤษ แต่จะเป็นที่เมืองบิ้ดดิฟอร์ด (Bideford) ตามที่หนังสือของ ม.ร.ว. ปิ่มสายว่าหรือไม่ ไม่แน่ชัด ที่แน่ๆ คือเป็นบ้านหลังใหญ่และเห็นอ่าวบิ้ดดิฟอร์ดได้จากที่นั่น ทรงเช่าเป็นการชั่วคราว ทรงอพยพไปที่นั่นในช่วงฤดูร้อนคือประมาณเดือนมิถุนายนของปี ๒๔๘๓ หม่อมมณีในพระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯ เขียนไว้ว่าพระตำหนักนี้ “สวยงานน่าอยู่มาก มีสวนดอกไม้และสนามหญ้ากว้างขวาง ตั้งอยู่ในเมืองชาวประมงเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งเป็นบ้านนอกจริงๆ ห่างไกลจากเมืองใหญ่ๆ มาก[28] ส่วน ม.ร.ว. ปิ่มสาย เล่าว่าพระตำหนักอยู่ริมอ่าว และมีสนามเทนนิส แต่ไม่มากพอหากจะเล่นกันทุกคน ตัวเธออยู่ที่สโมสรชนบท (country club) ใกล้ๆ ซึ่งมีสระและเกาะแก่งพร้อมด้วยต้นวีปปิ่งวิลโล่ (weeping willow) ย้อยกิ่งลงมา ล้อมรอบด้วยทุ่งดอกไม้ป่า[29]
จากการสืบค้นของนายบริสโตว์ (Mr. M.J. Bristow) นักประพันธ์ชาวอังกฤษผู้สนใจพระราชประวัติช่วงนี้มากเป็นพิเศษผู้ซึ่งได้สอบถามไปที่นักจดหมายเหตุประจำจังหวัดเดฟเว่นและสตรีท้องถิ่นผู้หนึ่งเชื่อได้ว่า บ้านที่ทรงเช่านี้มีชื่อว่า สแตนดอน (Staddon) อยู่ที่เมืองแอปเปิ้ลดอร์ (Appledore) ซึ่งอยู่ใกล้อ่าวมากกว่าบิ้ดดิฟอร์ด โดยนางคล้าก (Sheila Mary Clarke) ซึ่งเคยอยู่ที่บ้านนั้นแจ้งว่านายแพทย์ผู้หนึ่งเล่ากับเธอว่าเคยรักษาอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ขณะประทับอยู่ที่บ้านนี้ เพราะทรงแพ้เกสรดอกไม้ต้นมิโมซ่า (Mimosa tree) ซึ่งอยู่ในสวน บ้านนี้มีสนามเทนนิสและป่าละเมาะซึ่งบริบูรณ์ไปด้วยดอกแดฟโฟดิลและดอกบลูเบลล์ ห้องนอนใหญ่ในตัวบ้านเคยมีลิ้นชักลับสำหรับซ่อนของมีค่า ส่วนสโมสรชนบทนั้นคงจะเป็นปราสาทเคนวิธ (Kenwith Castle) ซึ่งมีสระและต้นวิลโล่ ปัจจุบันเป็นโรงแรม ส่วนนักจดหมายเหตุอ้างแหล่งข้อมูลบุคคลเพียงคนเดียวว่าประทับที่ โอลด์ แมนเนอร์ เฮาส์ (Old Manor House) หมู่บ้านดิ้ดดิเวล (Diddywell) เมือง นอร์แฮม (Northam)[30] ปัจจุบันแสตดดอนแบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ แสตดดอน และลิตเติ้ลแสตดดอน ปัจจุบันเป็นบ้านส่วนบุคคล
เลค เวอร์นี่โฮเตล
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และสมเด็จฯ ประทับอยู่ที่จังหวัดเดฟเว่นเพียงไม่กี่เดือน ก็ได้ตัดสินพระราชหฤทัยย้ายที่ประทับอักครั้งหนึ่งเพื่อให้ปลอดภัยจริงๆ โดยเสด็จไปประทับที่โรงแรมเลค เวอร์นี่(Lake Vyrwny Hotel) ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาสูง มีทะเลสวยงาม ใจกลางแคว้นเวลส์ตอนเหนือ (North Wales) ที่ซึ่งเป็นที่พักตากอากาศ ไม่มีเมืองใหญ่อยู่ใกล้เลย จึงปลอดภัยจากลูกระเบิดแน่ๆ ทรงเช่าห้องชุดสำหรับสองพระองค์และครอบครัวพระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯ เท่านั้น ส่วนพระประยูรญาติและข้าราชบริพารต่างอยู่กันที่เวอร์จิเนีย วอเตอร์ ในระหว่างนั้นทรงหนังสือพิมพ์และทรงฟังข่าววิทยุเกี่ยวกับความเป็นไปของสงคราม ซึ่งมีการทิ้งลูกระเบิดที่อังกฤษตลอดเวลา บางครั้งทรงพระดำเนินและทรงฉายภาพทิวทัศน์ไปพลาง บางครั้งทรงพระราชนิพนธ์พระราชประวัติ สมเด็จฯ ทรงถักเสื้อไหมพรมพระราชทาน ม.ร.ว เดชนศักดิ์ ภานุพันธ์ โอรสคนโตของพระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯ ประทับอยู่ที่โรงแรมนี้จนกระทั่งถึงฤดูหนาว อากาศที่นั่นหนาว ชื้นมาก พระโรคพระหทัยกำเริบหนัก ทรงมีพระอาการหอบมาก และเจ็บพระหทัย ทรงอ่อนเพลียมาก ดังนั้น จึงตัดสินพระราชหฤทัยเสด็จกลับไปประทับที่คอมพ์ตัน เฮาส์ อีกครั้งหนึ่ง หม่อมมณีฯ เขียนไว้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รับสั่งว่า “ถ้าฉันจะตาย ก็ขอให้ตายสบายๆ ในบ้านช่องของเราเองดีกว่าที่จะมาตายในโรงแรม...” และแพทย์ประจำพระองค์จะได้ถวายการรักษาพยาบาลได้ง่ายขึ้นด้วย[31]
หลังจากเสด็จกลับไปประทับที่คอมพ์ตันเฮาส์ พระอาการของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ดีขึ้น มีหมอเวลเลิ่น (Lewellan) ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ๆ พระตำหนักถวายการรักษาและฉีดพระโอสถ พระอาการเจ็บพระหทัยเบาบางลงเมื่อฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาถึง อากาศปลอดโปร่ง ท้องฟ้าแจ่มใส ดอกไม้บานสะพรั่ง มีเสียงนกร้องชวนให้พระอารมณ์แจ่มใส รับสั่งคุยกับผู้เข้าเฝ้าฯ ได้[32] เช่นเคย ดังที่หม่อมราชวงศ์ปิ่มสาย เล่าว่า เมื่อทรงทราบว่าเธอได้รับรางวัลประกวดเรียงความเรื่องเซนต์ฟรานซิสแห่งอซีซี (St. Francis of Assissi) ที่โรงเรียน ก็ทรงพระปิติยินดีมาก ด้วยโปรดประวัติศาสตร์อยู่แล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้เธอเล่าถวาย ยังความตื่นเต้นเวทีแก่เธอมาก เพราะเด็กเล็กๆ อย่างเธอ “ไม่คาดคิดว่าผู้ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินจะมีความสนพระราชหฤทัยในเรื่องราวต่างๆ เหมือนคนธรรมดาสามัญ”[33]
พระชตาชีวิตโหมกระหน่ำอีกครั้งหนึ่ง เมื่อในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้ทรงทราบว่า พระตำหนักเวนคอร์ตที่ทรงปิดไว้จะถูกยึดครองเป็นที่ทำการของฝ่ายทหารอังกฤษแล้ว ควรที่จะทรงส่งคนไปเก็บสิ่งของมีค่าในพระตำหนักก่อนที่จะส่งมอบเป็นทางการต่อไป สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงอาลัยพระตำหนักนี้มาก จึงทรงมีพระราชดำริจะเสด็จพระราชดำเนินไปด้วยพระองค์เอง แต่พระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรุดหนักลง พระบาทบวมอยู่สองสามวัน[34] ซึ่งเป็นอาการอันเนื่องมาจากที่ประชวรพระหทัย ก่อนที่จะเสด็จสวรรคตในเวลา ๒-๓ วันหลังจากนั้น
กิตติกรรมประกาศ:ขอขอบคุณ Mr. Michael Bristow ผู้ประพันธ์เพลง King Prajadhipok March อุทิศถวาย สำหรับข้อมูลบางประการเกี่ยวกับที่ประทับและช่วงเวลาของการประทับ ณ สถานที่ต่างๆ ในประเทศอังกฤษ ซึ่งเขาได้ค้นคว้ามาจากเจ้าของปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ และห้องสมุดที่เกี่ยวข้องในช่วง ค.ศ. ๑๙๗๙-๑๙๙๑
อ้างอิง
- ↑ วิชิตวงศ์วุฒิไกร, พระยา. ๒๕๒๖. จดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๗๗ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. อนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ พลตรีปชา สิริวรสาร ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๖. (มปท.), หน้า๑๖๐-๑๖๑.
- ↑ “นรุตม์” (นามแฝง). ๒๕๓๙. ใต้ร่มฉัตร: หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์.(กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์) , หน้า ๑๒.
- ↑ PimsaiAmranand, M.R. 2520. My Family, My Friends and I. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ยูไนเต็ตโปรดักชั่น) ซึ่งต่อมาได้รับการตีพิมพ์ใหม่รวมกับบทความแทรกของปิงคลสวัสดิ์ อัมระนันทน์ บุตรชายคนเล็ก เป็นหนังสือ PimsaiSvasti and Ping Amranand. 2011. Siamese Memoirs: The Life and Times of PimsaiSvasti. (Bangkok: Amulet Production) หน้า 15-20.
- ↑ พฤทธิสาณ ชุมพล, ม.ร.ว.. ๒๕๔๕. “บ้าน” ไกลบ้าน: ประชาธิปกราชนิเวศน์ในอังกฤษ. รายงานกิจการของมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี.(กรุงเทพฯ: มูลนิธิฯ) , หน้า ๕.
- ↑ PimsaiAmranand, M.R. 2520. My Family, My Friends and I. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ยูไนเต็ตโปรดักชั่น) ซึ่งต่อมาได้รับการตีพิมพ์ใหม่รวมกับบทความแทรกของปิงคลสวัสดิ์ อัมระนันทน์ บุตรชายคนเล็ก เป็นหนังสือ PimsaiSvasti and Ping Amranand. 2011. Siamese Memoirs: The Life and Times of PimsaiSvasti. (Bangkok: Amulet Production) หน้า 15-20.
- ↑ PimsaiAmranand, M.R. 2520. My Family, My Friends and I. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ยูไนเต็ตโปรดักชั่น) ซึ่งต่อมาได้รับการตีพิมพ์ใหม่รวมกับบทความแทรกของปิงคลสวัสดิ์ อัมระนันทน์ บุตรชายคนเล็ก เป็นหนังสือ PimsaiSvasti and Ping Amranand. 2011. Siamese Memoirs: The Life and Times of PimsaiSvasti. (Bangkok: Amulet Production) หน้า 15-20.
- ↑ PimsaiAmranand, M.R. 2520. My Family, My Friends and I. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ยูไนเต็ตโปรดักชั่น) ซึ่งต่อมาได้รับการตีพิมพ์ใหม่รวมกับบทความแทรกของปิงคลสวัสดิ์ อัมระนันทน์ บุตรชายคนเล็ก เป็นหนังสือ PimsaiSvasti and Ping Amranand. 2011. Siamese Memoirs: The Life and Times of PimsaiSvasti. (Bangkok: Amulet Production) หน้า 15-20.
- ↑ “นรุตม์” (นามแฝง). ๒๕๓๙. ใต้ร่มฉัตร: หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์. (กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์) , หน้า ๘๒.
- ↑ PimsaiAmranand, M.R. 2520. My Family, My Friends and I. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ยูไนเต็ตโปรดักชั่น) ซึ่งต่อมาได้รับการตีพิมพ์ใหม่รวมกับบทความแทรกของปิงคลสวัสดิ์ อัมระนันทน์ บุตรชายคนเล็ก เป็นหนังสือ PimsaiSvasti and Ping Amranand. 2011. Siamese Memoirs: The Life and Times of PimsaiSvasti. (Bangkok: Amulet Production) หน้า 20.
- ↑ “นรุตม์” (นามแฝง). ๒๕๓๙. ใต้ร่มฉัตร: หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์. (กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์) , หน้า ๘๖-๘๗.
- ↑ ราชเลขาธิการ, สำนัก. ๒๕๓๑. พระราชประวัติสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานในงานพระบรมศพ ๙ เมษายน ๒๕๔๘. (กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ้พ) , หน้า ๙๙.
- ↑ มณี สิริวรสาร. มปป. ชีวิตเหมือนฝัน. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพฯ (๑๙๘๔).) , หน้า ๒๖๒.
- ↑ ราชเลขาธิการ, สำนัก. ๒๕๓๑. พระราชประวัติสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานในงานพระบรมศพ ๙ เมษายน ๒๕๔๘. (กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ้พ) , หน้า ๑๐๑.
- ↑ มณี สิริวรสาร. มปป. ชีวิตเหมือนฝัน. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพฯ (๑๙๘๔).) , หน้า๒๖๒.
- ↑ มณี สิริวรสาร. มปป. ชีวิตเหมือนฝัน.(กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพฯ (๑๙๘๔).) , หน้า ๒๖๔.
- ↑ Goldthorp, Joan. 1939, Royal Squire is Returning. Sunday Despatch.February.
- ↑ Daily Mail. 1939. As Son is Born to Princess-Ex-King is sued by His Country. Daily Mail.July.
- ↑ ศึกษาเพิ่มเติมจาก “นายหนหวย” (นามแฝง). ๒๕๓๐. เจ้าฟ้าประชาธิปก: ราชันผู้นิราศ.(กรุงเทพฯ: ศิลปะชัย ชาญเฉลิม) , หน้า ๖๕๘-๖๗๐
- ↑ ศึกษาเพิ่มเติมจากปรีดา วัชรางกูร. ๒๕๒๐. พระปกเกล้าฯ กับระบอบประชาธิปไตย.(กรุงเทพฯ: หจก. การพิมพ์พระนคร) , หน้า ๓๔๘-๓๕๓.
- ↑ มณี สิริวรสาร. มปป. ชีวิตเหมือนฝัน. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพฯ (๑๙๘๔).) , หน้า ๒๘๔-๒๘๙.
- ↑ นรุตม์” (นามแฝง). ๒๕๓๙. ใต้ร่มฉัตร: หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์. (กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์) , หน้า ๑๐๐-๑๐๑.
- ↑ “นรุตม์” (นามแฝง). ๒๕๓๙. ใต้ร่มฉัตร: หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์. (กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์) , หน้า ๘๖-๘๗.
- ↑ “นรุตม์” (นามแฝง). ๒๕๓๙. ใต้ร่มฉัตร: หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์. (กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์) , หน้า ๘๗.
- ↑ มณี สิริวรสาร. มปป. ชีวิตเหมือนฝัน. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพฯ (๑๙๘๔), หน้า ๒๘๑.
- ↑ ราชเลขาธิการ, สำนัก. ๒๕๓๑. พระราชประวัติสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานในงานพระบรมศพ ๙ เมษายน ๒๕๔๘. (กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ้พ) , หน้า ๑๐๒.
- ↑ มณี สิริวรสาร. มปป. ชีวิตเหมือนฝัน. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพฯ (๑๙๘๔).) , หน้า ๒๙๖.
- ↑ มณี สิริวรสาร. มปป. ชีวิตเหมือนฝัน. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพฯ (๑๙๘๔).) , หน้า ๓๐๐.
- ↑ มณี สิริวรสาร. มปป. ชีวิตเหมือนฝัน. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพฯ (๑๙๘๔).) , หน้า ๓๐๑.
- ↑ PimsaiAmranand, M.R. 2520. My Family, My Friends and I. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ยูไนเต็ตโปรดักชั่น. ซึ่งต่อมาได้รับการตีพิมพ์ใหม่รวมกับบทความแทรกของปิงคลสวัสดิ์ อัมระนันทน์ บุตรชายคนเล็ก เป็นหนังสือ PimsaiSvasti and Ping Amranand. 2011. Siamese Memoirs: The Life and Times of PimsaiSvasti. Bangkok: Amulet Production, p. 24.
- ↑ พฤทธิสาณ ชุมพล, ม.ร.ว.. ๒๕๔๕. “บ้าน” ไกลบ้าน: ประชาธิปกราชนิเวศน์ในอังกฤษ. รายงานกิจการของมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี.(กรุงเทพฯ: มูลนิธิฯ) , หน้า ๑๗ , เชิงอรรถที่ ๔๒.
- ↑ มณี สิริวรสาร. มปป. ชีวิตเหมือนฝัน. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพฯ (๑๙๘๔).) , หน้า ๓๐๒-๓๐๘.
- ↑ มณี สิริวรสาร. มปป. ชีวิตเหมือนฝัน. (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพฯ (๑๙๘๔).) , หน้า ๓๑๒.
- ↑ PimsaiAmranand, M.R. 2520. My Family, My Friends and I. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ยูไนเต็ตโปรดักชั่น. ซึ่งต่อมาได้รับการตีพิมพ์ใหม่รวมกับบทความแทรกของปิงคลสวัสดิ์ อัมระนันทน์ บุตรชายคนเล็ก เป็นหนังสือ PimsaiSvasti and Ping Amranand. 2011. Siamese Memoirs: The Life and Times of PimsaiSvasti. Bangkok: Amulet Production. , p.24.
- ↑ “นรุตม์” (นามแฝง). ๒๕๓๙. ใต้ร่มฉัตร: หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์.(กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์) , หน้า ๑๐๕.
บรรณานุกรม
“นรุตม์” (นามแฝง). ๒๕๓๙. ใต้ร่มฉัตร: หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์. กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์.
“นายหนหวย” (นามแฝง). ๒๕๓๐. เจ้าฟ้าประชาธิปก: ราชันผู้นิราศ. กรุงเทพฯ: ศิลปะชัย ชาญเฉลิม.
ปรีดา วัชรางกูร. ๒๕๒๐. พระปกเกล้าฯ กับระบอบประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ: หจก. การพิมพ์พระนคร.
พฤทธิสาณ ชุมพล, ม.ร.ว.. ๒๕๔๕. “บ้าน” ไกลบ้าน: ประชาธิปกราชนิเวศน์ในอังกฤษ. รายงานกิจการของมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี. กรุงเทพฯ: มูลนิธิฯ
มณี สิริวรสาร. มปป. ชีวิตเหมือนฝัน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพฯ (๑๙๘๔).
ราชเลขาธิการ, สำนัก. ๒๕๓๑. พระราชประวัติสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานในงานพระบรมศพ ๙ เมษายน ๒๕๔๘. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ้พ.
วิชิตวงศ์วุฒิไกร, พระยา. ๒๕๒๖. จดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๗๗ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. อนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ พลตรีปชา สิริวรสาร ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๖. มปท.
Daily Mail. 1939. As Son is Born to Princess-Ex-King is sued by His Country. Daily Mail.July.
Goldthorp, Joan. 1939, Royal Squire is Returning. Sunday Despatch.February.
PimsaiAmranand, M.R. 2520. My Family, My Friends and I. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ยูไนเต็ตโปรดักชั่น. ซึ่งต่อมาได้รับการตีพิมพ์ใหม่รวมกับบทความแทรกของปิงคลสวัสดิ์ อัมระนันทน์ บุตรชายคนเล็ก เป็นหนังสือ PimsaiSvasti and Ping Amranand. 2011. Siamese Memoirs: The Life and Times of PimsaiSvasti. Bangkok:
Amulet Production.