การเสด็จขึ้นครองราชย์ของสองพระมหากษัตริย์ในสมัยรัตนโกสินทร์

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

มหาชนนิกรสมมุติ/อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ : การเสด็จขึ้นครองราชย์ของสองพระมหากษัตริย์ในสมัยรัตนโกสินทร์

เรียบเรียง : ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร

มหาชนนิกรสมมุติ และ อเนกนิกรสโมสรสมมติ มีความหมายคล้ายคลึงกัน มหาชนนิกรสมมุติ หมายถึง การยอมรับหรือการถือเอาของคนหมู่มาก ส่วนอเนกนิกรสโมสรสมมุติ คำว่า สโมสร หมายถึงการมาประชุมกัน

มหาชนนิกรสมมุติปรากฏครั้งแรกในจารึกพระสุพรรณบัฏ  [1] ในพิธีบรมราชาภิเษกเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2394 และ อเนกนิกรสโมสรสมมติปรากฏในจารึกพระสุพรรณบัฏในพิธีบรมราชาภิเษกเสด็จขึ้นครองราชย์ทั้งสองครั้งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2411 และพ.ศ. 2416 [2]          

คำว่า มหาชนสมมุติ มีที่มาจาก อัคคัญญสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรหนึ่งในพระไตรปิฎก [3] กล่าวถึงที่มาของการกำเนิดผู้ปกครอง  สาระสำคัญของ มหาชนสมมุติ คือ ผู้ที่เป็นกษัตริย์หรือราชามาจากการบุคคลที่เป็นมนุษย์ด้วยกันคนหนึ่งที่ได้รับการยอมรับหรือสมมุติถือเอาของคนหมู่มาก [4]

การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่ให้มีการจารึกคำว่า มหาชนสมมติ ในพระสุพรรณบัฏในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเสด็จขึ้นครองราชย์จึงถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในคติการสืบราชสมบัติของพระมหากษัตริย์ไทย เพราะในการสืบราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นมาจากการได้รับเลือกจากบรรดาพระเถรานุเถระ พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาอำมาตย์ ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายทหารพลเรือน ทั้งพุทธจักรและอาณาจักร [5]

อันที่จริง การสืบราชสมบัติโดย มหาชนสมมุติ มิได้เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่สี่ แต่ได้เกิดขึ้นมาก่อนเป็นครั้งแรกในครั้งที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2367 เพียงแต่มิได้มีการจารึกไว้ในพระสุพรรณบัฏ แต่เป็นเพราะในช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอยู่เป็นเวลา 27 พรรษา ได้ทรงศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังและน่าจะทรงเห็นว่าการสืบราชสมบัติของพระองค์นั้นสอดคล้องกับคำอธิบายการกำเนิดผู้ปกครองในพระไตรปิฎก [6] พระองค์จึงนำคติการเกิดผู้ปกครองในพระพุทธศาสนามาอธิบายการสืบราชสมบัติในกรณีของพระองค์                                                                                                             

อันที่จริง ก่อนหน้าการสืบราชสมบัติในคติ มหาชนสมมุติ ที่เริ่มขึ้นทางปฏิบัติในครั้งแรกในกรณีของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว การเสด็จขึ้นครองราชย์จะดำเนินไปตามจารีตประเพณีที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยาที่ผู้ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลหรือ “วังหน้า” จะสืบราชสมบัติต่อจากพระมหากษัตริย์ที่สวรรคต และหลังขึ้นครองราชย์แล้ว พระมหากษัตริย์มักจะยกตำแหน่งวังหน้าให้พระอนุชาเป็นการตอบแทนความช่วยเหลือสนับสนุนในการขึ้นครองราชย์ของพระองค์ ซึ่งโดยปกติ ในช่วงที่พระมหากษัตริย์องค์นั้นๆขึ้นครองราชย์ อาจจะยังไม่มีโอรสหรือไม่ก็พระชนมายุยังน้อยไม่อยู่ในสถานะที่จะมีอำนาจอิทธิพลทางการเมืองใดๆ แต่เมื่อทรงพระชันษาขึ้นและผู้ที่ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลยังมีพระชนม์ชีพอยู่ มักจะเกิดความขัดแย้งหรือวิกฤตการณ์ทางการเมืองขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวพระราชโอรสเองที่ต้องการสืบราชสมบัติหรือพระมหากษัตริย์ต้องการให้พระราชโอรสของพระองค์สืบราชสมบัติ ในขณะที่โดยตำแหน่งแล้ว กรมพระราชวังบวรสถานมงคลคือผู้ที่อยู่ในสถานที่จะสืบราชสมบัติ อันไปสู่การปกป้องหรือแย่งชิงราชบัลลังก์กวาดล้างฝ่ายตรงข้าม  [7]  ทำให้ตลอดระยะเวลา 417 ปีของการเมืองในสมัยอยุธยาได้เกิดการทำรัฐประหารแย่งชิงราชบัลลังก์ทั้งสิ้น 16 ครั้งใน 32 รัชกาล [8]

เมื่อเข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์ การเสด็จขึ้นครองราชย์ของรัชกาลที่สองไม่เกิดปัญหาแย่งชิงราชบัลลังก์ เนื่องจากผู้ดำรงตำแหน่งวังหน้าคือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทสวรรคตไปก่อนที่จะสิ้นรัชกาลที่หนึ่งและพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงแต่งตั้งพระราชโอรส พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรให้ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อพระชนมายุได้ 38 พรรษาและเมื่อสิ้นรัชกาลที่หนึ่ง พระราชโอรสผู้ดำรงวังหน้าก็ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ในพระนามพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระองค์ได้ทรงตั้งทรงแต่งตั้งพระอนุชา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์ให้ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล มีพระชนมายุได้ 27 พรรษา ขณะนั้น พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าชายทับต่อมาดำรงตำแหน่งกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3) มีพระชนมายุได้ 21 พรรษา ส่วนทูลกระหม่อมฟ้าใหญ่หรือเจ้าฟ้ามงกุฎที่เป็นพระราชโอรสที่ประสูติในเศวตฉัตร (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4) มีพระชนมายุเพียง 5 พรรษา [9]  แต่หลังจากที่เจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์ให้ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. ในปี พ.ศ. 2360  พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็มิได้ทรงแต่งตั้งกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (พระชนมายุ 29 พรรษา)หรือผู้ใดให้ดำรงตำแหน่งวังหน้า และเจ้าฟ้ามงกุฎยังทรงมีพระชนมายุเพียง 13 พรรษาเท่านั้น ซึ่งตีความได้ว่าพระองค์ทรงปรารถนาจะให้เจ้าฟ้ามงกุฎเป็นผู้สืบราชสมบัติต่อจากพระองค์  ในปี พ.ศ. 2367 เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต มีพระชนมายุ 56 พรรษา เจ้าฟ้ามงกุฎมีพระชนมายุ 20 พรรษา และกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์มีพระชนมายุ 36 พรรษา และจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมิได้ทรงมีรับสั่งใดๆ เกี่ยวกับผู้สืบราชสันตติวงศ์ [10] “พระสังฆราชพระราชาคณะผู้ใหญ่ พระบรมราชวงศานุวงศ์ต่างกรม และข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ซึ่งเป็นประธานในราชการแผ่นดินเห็นว่า พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงพระสติปัญญาเฉลียวฉลาด ได้ว่าราชการต่างพระเนตรพระกรรณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาช้านาน ทั้งข้าทูลละอองธุลีพระบาทต่างมีความจงรักภาดีต่อพระองค์ท่านมาก สมควรจะครอบครองสิริราชสมบัติรักษาแผ่นดินสืบพระบรมราชตระกูลต่อไป จึ่งพากันเข้าเฝ้าพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติ ดำรงราชอาณาจักรสยามพิภพต่อไป...” [11] 

เบื้องหลังการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ คือ “ด้วยเหตุที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ประสูติแต่เจ้าจอมและมิได้เป็นรัชทายาท พระองค์จำต้องระดมพลังสนับสนุนอย่างเต็มกำลังเพื่อขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา และเพื่อให้การสืบราชบัลลังก์เป็นที่ยอมรับ อิทธิพลของพระองค์มาจากการกำกับดูแลการค้าและการผลิต จึงได้รับการสนับสนุนจากบรรดาขุนนางผู้ใหญ่และสามารถสืบราชสันตติวงศ์โดยข้ามเจ้าฟ้ามงกุฎผู้เป็นรัชทายาทไป เจ้าฟ้ามงกุฎ...มิได้ตอบโต้ประการใด” [12]                                             

การสร้างฐานอำนาจดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าการแข่งขันแย่งชิงราชบัลลังก์จากการใช้กำลังความรุนแรงมาเป็นการสะสมอำนาจบารมีผ่านการประสบความสำเร็จในการค้าและการสะสมความมั่งคั่ง จากการที่ได้ทรงรับราชการในหน้าที่กรมท่า และทรงสามารถหาเงินจากการแต่งสำเภาค้าขาย และเก็บภาษีขาเข้า มีรายได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ใช้จ่ายในราชการแผ่นดินทุกอย่างทุกประการ [13] อีกทั้งการใช้กำลังความรุนแรงในบริบทขณะนั้นอาจจะไม่เป็นคุณต่อทั้งตัวพระองค์เองและต่อบ้านเมือง เพราะขณะนั้นเพิ่งเริ่มตั้งกรุงใหม่ได้ไม่ถึง 42 ปี ยังมีศึกกับพม่าและญวนอยู่ หากพระองค์ใช้กำลังความรุนแรงในการช่วงชิงราชสมบัติ  ย่อมเสี่ยงต่อการเกิดศึกกลางเมืองขึ้นได้ [14] อีกทั้งการค้าเป็นเรื่องสำคัญหลักตั้งแต่เริ่มตั้งกรุงใหม่ด้วย [15] การเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ มาจากความเห็นพ้องต้องกันของที่ประชุมพระราชวงศ์และขุนนางเสนาบดี จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของข้อความ “มหาชนนิกรสโมสรสมมุติ” [16]

หลังจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เสด็จขึ้นครองราชย์พระองค์ทรงตั้งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นศักดิพลเสพที่มีศักดิ์เป็นพระปิตุลาของพระองค์ให้ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล  พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นศักดิพลเสพเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หลังจากวังหน้าสิ้นพระชนม์ลง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯก็มิได้ทรงแต่งตั้งผู้ใด [17] และแม้ว่าในช่วงสุดท้ายก่อนที่พระองค์จะสวรรคต พระองค์ได้ทรงเสนอชื่อของพระราชโอรสต่อบรรดาเสนาบดีผู้ใหญ่และพระมหาเถระ แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบ เพราะเหล่าเสนาบดีผู้ใหญ่เห็นสมควรให้เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ โดยปัจจัยในการกำหนดตัวผู้สืบสันตติวงศ์สัมพันธ์กับบริบทางการเมืองของสยามขณะนั้น [18] และในการขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในปี พ.ศ. 2411 ก็ดำเนินไปภายใต้คติ มหาชนสมมุติ (อเนกนิกรสโมสรสมมุติ) เช่นกัน ภายใต้ความเห็นพ้องของตระกูลบุนนาค กลุ่มเสนาบดีผู้ใหญ่ที่ทรงอำนาจอิทธิพลมาตั้งแต่ในครั้งที่ มหาชนสมมุติ ได้เกิดขึ้นในทางปฏิบัติเป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่สาม [19]  และสิ้นสุดลงเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ยกเลิกตำแหน่งวังหน้าในปี พ.ศ. 2428 และสถาปนาตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารขึ้นและดำเนินสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน [20]

มีข้อน่าสังเกตว่า ในช่วงเวลาเดียวกันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯจะเข้าพิธีบรมราชาภิเษกและมีการจารึกคำว่า มหาชนสมมุติ หรือผู้ปกครองที่มาจากการยอมรับและถือเอาของคนหมู่มากแล้ว  พระองค์ทรงมีพระราชหัตถเลขาพระราชทานไปยังพันโทดับบลิว. เจ. บัตเตอร์วอร์ท (W. J. Butterworth) ผู้ว่าการเกาะปีนังหรือเกาะปรินซ์ ออฟ เวล (Prince of Wales Island) ในปี พ.ศ. 2394 [21]  ทรงใช้คำลงท้ายพระปรมาภิไธยดังกล่าวว่า “newly elect President or Acting King of Siam” [22] การใช้คำลงท้ายดังกล่าวนี้ นอกจากจะแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีความรู้เกี่ยวกับการปกครองของสหรัฐอเมริกาที่ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งแล้ว [23] ยังตีความได้ว่า พระองค์ทรงพยายามเชื่อมโยงคติการกำเนิดผู้ปกครองในพระพุทธศาสนากับคติการปกครองสมัยใหม่ของตะวันตกด้วย

อ้างอิง


[1] นนทพร อยู่มั่งมี, “ธรรมเนียมการพระราชทานพระสุพรรณบัฏสมัยกรุงรัตนโกสินทร์”  ศิลปวัฒนธรรม https://www.silpa-mag.com/history/article_32264  

[2] พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1-4 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) เล่ม 2, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศรีปัญญา: 2555), หน้า 1521-1522; พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 5, สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ตอนที่ 5 บรมราชาภิเษก, ห้องสมุดดิจิทัลวชัรญาณ, https://vajirayana.orgพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์-รัชกาลที่-๕/ตอนที่-๕/

[3] https://www.tripitaka91.com/15-145-5.html Tripitaka91.com คือ เว็บไซต์ที่รวบรวมและเผยแพร่พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย ซึ่งเป็นพระไตรปิฎกฉบับพิมพ์ครั้งแรกของโลกที่จัดพิมพ์โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เว็บไซต์นี้เป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาและพระไตรปิฎก

[4] เพิ่งอ้าง.

[5] รายพระนามและรายนามและจำนวนโดยประมาณของผู้ที่มาประชุมตกลงยอมรับให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้สืบราชสมบัติ ดู “กราบทูลอัญเชิญสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ขึ้นเสวรราชย์” ใน  พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1-4 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) เล่ม 2, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศรีปัญญา: 2555), หน้า 1507-1511.

[6] ดู พระราชนิพนธ์ที่สะท้อนให้เห็นการศึกษาพระไตรปิฎก โดยเฉพาะพระราชนิพนธ์เรื่อง “นานาธรรมวิจารินี”  ใน ประชุมพระราชนิพนธ์ภาษาไทยในรัชกาลที่ 4 ภาค 2 พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ แจ่ม วิชาสอน (ผิน นิยมเหตุ) ณ เมรุวัดสังข์กระจาย ธนบุรี วันที่ 20 กรกฎาคม พุทธศักราช 2512.

[7]  นันทนา กปิลกาญจน์, “การวิเคราะห์ในเชิงประวัติศาสตร์เรื่อง บทบาทของวังหน้าในสมัยรัตนโกสินทร์: พ.ศ. 2325-2428,” วารสารเกษตรศาสตร์ (สังคม), ปีที่ 17, 2539, หน้า 29.

[8] ดู พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๑ (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์คลังวิทยา: พิมพ์ครั้งที่เจ็ด 2516), หน้า 113, 115, 118, 119, 127, 129, 381  และ  พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๒ (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์คลังวิทยา: พิมพ์ครั้งที่เจ็ด 2516), หน้า 4, 8, 25, 29, 122, 168, 209, 243-246, 451.

[9] พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1-4 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) เล่ม 1, (นนทบุรี: สำนักพิมพ์ศรีปัญญา: 2555),  หน้า 395.

[10] พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ เล่ม ๑ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์, พิมพ์ครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. ๒๕๐๔ องค์การค้าของคุรุสภา,  หน้า 640-641.

[11] พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ เล่ม ๒ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์, พิมพ์ครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. ๒๕๐๔ องค์การค้าของคุรุสภา,  หน้า 983.

[12] กุลลดา เกษบุญชู มี้ด เขียน, อาทิตย์ เจียมรัตตัญญู แปล, ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ วิวัฒนาการรัฐไทย, (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน: 2562), หน้า 44.

[13] ๒๐๐ ปีในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว, พิมพ์ครั้งแรกในวารสารข่าวช่าง ฉบับเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๓๐, หน้า 13. http://202.44.135.15/html_sunewsletter/su_pdf/17755.pdf

[14] ๒๐๐ ปีในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว, พิมพ์ครั้งแรกในวารสารข่าวช่าง ฉบับเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๓๐, หน้า 15.

[15] กุลลดา เกษบุญชู มี้ด เขียน, อาทิตย์ เจียมรัตตัญญู แปล, ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ วิวัฒนาการรัฐไทย, (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน: 2562), หน้า 36.

[16] ศาสตราจารย์ น.อ. สมภพ ภิรมย์ ร.น กล่าวว่า “พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าชายทับ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระบรมราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้รับกราบบังคมทูลอัญเชิญเป็นพระมหากษัตริย์ โดยพิธี ‘อเนกชนนิกรสโมสรสมบัติ’ ทั้งนี้เพราะพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมชนกนาถเสด็จสวรรคต โดยมิได้พระราชทานสิริราชสมบัติราชบัลลังก์ให้แก่ผู้ใด”  ดู ๒๐๐ ปีในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว, พิมพ์ครั้งแรกในวารสารข่าวช่าง ฉบับเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๓๐, หน้า 12. http://202.44.135.15/html_sunewsletter/su_pdf/17755.pdf

[17] พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1-4 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) เล่ม 2, (นนทบุรี: สำนักพิมพ์ศรีปัญญา: 2555),  หน้า 1112-1113.

[18] Abbot Low Moffat, Mongkut the King of Siam, (Ithaca, New York: Cornell University Press: 1961, 1968),  pp. 21; ไชยันต์ ไชยพร, “หน่วยที่ 2 พัฒนาการของรัฐ พระมหากษัตริย์และรัฐแบบจารีต” ใน ประมวลสาระชุดวิชา การเมืองการปกครองไทย ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช บัณฑิตศึกษา สาขาวิชารัฐศาสตร์, สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พ.ศ. 2564, หน้า 2-41 – 2-44.

[19] ไชยันต์ ไชยพร, “หน่วยที่ 2 พัฒนาการของรัฐ พระมหากษัตริย์และรัฐแบบจารีต” ใน ประมวลสาระชุดวิชา การเมืองการปกครองไทย ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช บัณฑิตศึกษา สาขาวิชารัฐศาสตร์, สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พ.ศ. 2564, หน้า 2-33 – 2-58.

[20] ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศเฉลิมพระปรมาภิไธย สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าราชกุมารพระองค์ใหญ่ เป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ, เล่ม ๓, ตอน ๔๔, วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๙, หน้า ๓๖๘. การสถาปนาตำแหน่งดังกล่าวนี้คือตำแหน่งมกุฎราชกุมาร (Crown Prince) ตามแบบตะวันตก แต่ยังไม่ได้มีการตราเป็นกฎหมายที่เรียกว่ากฎมณเฑียรบาลขึ้น

[21] พระราชหัตถเลขาถึงผู้ว่าการเกาะปรินซ์ ออฟ เวล (Prince of Wales Island) หรือเกาะปีนัง วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2394 เพื่อแจ้งข่าวพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระองค์ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 พฤษภาคมปีเดียวกัน “English Correspondence of King Mongkut,” p. 3. https://thesiamsociety.org/wp-content/uploads/2020/02/JSS_021_1b_EnglishCorrespondenceOfKingMongkut.pdf

[22] “English Correspondence of King Mongkut,” p. 6. https://thesiamsociety.org/wp-content/uploads/2020/02/JSS_021_1b_EnglishCorrespondenceOfKingMongkut.pdf

[23] “พระราชสาส์นถึงประธานาธิบดีอเมริกา เมื่อปีวอก พ.ศ. 2403”  ใน รวมพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในโอกาสที่วันพระบรมราชสมภพครบ 200 ปี วันที่ 18 ตุลาคม พุทธศักราช 2547, (กรุงเทพฯ: องค์การค้าคุรุสภา: 2548), หน้า 401.