การยุบสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 11 กันยายน 2481

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง สิวาพร สุขเอียด


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง


การยุบสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 11 กันยายน 2481

ความหมายของการยุบสภา

“การยุบสภา” (Dissolution of Parliament) เป็นศัพท์ทางกฎหมาย หมายถึง การที่ประมุขของรัฐในระบบรัฐสภา ประกาศให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาสิ้นสุดพร้อมกันทุกคนก่อนครบวาระ เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่เร็วขึ้นกว่าวาระปกติของสภา[1]

สำหรับประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา (Parliamentary System) ที่มีการยุบสภา เป็นวิธีหนึ่งของการดำเนินการปกครองประเทศ ซึ่งเป็นมาตรการของฝ่ายบริหาร ใช้ถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายนิติบัญญัติ[2]

บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่เกี่ยวข้อง

ประเทศไทยนำรูปแบบการยุบสภาประเทศอังกฤษมาใช้ โดยสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้ง ถูกยุบได้โดยฝ่ายบริหาร เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ส่วนสภาสูงหรือวุฒิสภาไม่อาจถูกยุบโดยฝ่ายบริหารได้ ซึ่งเป็นหลักการของระบบรัฐสภาแบบอังกฤษ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญได้บัญญัติเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎรไว้เกือบทุกฉบับ นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 ซึ่งกำหนดให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร โดยบัญญัติไว้ในมาตรา 35 ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่...” ต่อมาเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎรได้มีการบัญญัติไว้เช่นเดียวกัน ดังปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแต่ละฉบับ คือ[3]

- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 มาตรา 32

- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 มาตรา 97

- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 มาตรา 65

- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 มาตรา 93

- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 มาตรา 122

- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 มาตรา 101

- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 มาตรา 211

- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 116 และ

- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 107

ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการยุบสภาผู้แทนราษฎรทุกฉบับดังกล่าว บัญญัติให้รูปแบบของการยุบสภาผู้แทนราษฎร ต้องทำเป็นพระราชกฤษฎีกา สาเหตุของการยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2481

การยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2481 นับเป็นการยุบสภาครั้งแรกในระบบรัฐสภาไทยสมัยรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา (21 ธันวาคม 2480 – 16 ธันวาคม 2481) ซึ่งเป็นรัฐบาลชุดที่ 8 โดยมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2481 สภาผู้แทนราษฎรที่ถูกยุบในครั้งนี้มีสมาชิกจำนวน 91 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480[4]

เหตุการณ์ที่นำมาสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ เนื่องจากความขัดแย้งในการพิจารณาญัตติขอแก้ไขข้อบังคับการประชุมและปรึกษาของสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2477 ข้อ 68 เกี่ยวกับการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณเพื่อพิจารณารับหลักการขั้นต้นในสภาผู้แทนราษฎร ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2481 ซึ่งญัตติดังกล่าวเสนอโดยนายถวิล อุดล สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดร้อยเอ็ด และคณะ ทั้งนี้ มีสาระสำคัญว่า เมื่อเสนอพระราชบัญญัติงบประมาณ รัฐบาลต้องเสนอรายละเอียดงบประมาณให้สภาผู้แทนราษฎรทราบด้วย เพื่อจะได้พิจารณาตัดทอนหรือเพิ่มเติมได้อย่างถูกต้อง โดยให้รัฐบาลเสนอรายละเอียดทั้งรายรับ รายจ่ายตามงบประมาณนั้นโดยชัดแจ้ง เพื่อให้สมาชิกสภาเป็นผู้พิจารณาอนุมัติงบประมาณได้ทราบก่อนที่จะพิจารณาอนุมัติไปตามยอดงบประมาณที่รัฐบาลเสนอมา[5]

การอภิปรายในสภานั้น ผู้เสนอญัตติอ้างว่าไม่เห็นด้วยในหลักการแห่งพระราชบัญญัติงบประมาณและสมาชิกไม่เข้าใจในตัวเลขงบประมาณที่รัฐบาลได้เสนอมา เพราะรัฐบาลเสนองบประมาณอย่างคลุมเครือไม่ชัดเจนจนเป็นเหตุให้สภาผู้แทนราษฎรไม่อาจพิจารณารับหลักการแห่งงบประมาณได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้เสนอญัตติจึงได้พิจารณาข้อบังคับที่ 68 และเห็นว่าเป็นบทบัญญัติกว้าง ๆ ให้อยู่ในดุลพินิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังนั้น จึงประสงค์ให้ทำงบประมาณของรัฐบาลแสดงรายละเอียดอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม[6]

ฝ่ายรัฐบาลคัดค้านหลักการดังกล่าวเพราะเหตุผลว่า มีอุปสรรคในด้านเวลาประกอบกับการทำงบประมาณนั้นว่า ได้มีการพิจารณากลั่นกรองกันเป็นชั้น ๆ หลายขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางเรื่องที่สำคัญไม่อาจเปิดเผยได้ก่อนถึงเวลาอันสมควร เช่น เทคนิคในทางการคลัง การทหาร นโยบายต่างประเทศ เป็นต้น และในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรต้องการให้รายงานละเอียดมากกว่านี้ รัฐบาลสามารถทำได้เพียงบางส่วนเท่านั้น การวางข้อบังคับตายตัวย่อมเป็นอุปสรรคต่อความคล่องตัวของงบประมาณซึ่งต้องเปลี่ยนแปลงตามความต้องการแต่ละยุคสมัย และหน้าที่ของสภาควรมุ่งที่พิจารณาในนโยบายว่ารัฐบาลใช้เงินงบประมาณตรงตามวัตถุประสงค์ของนโยบาย หรือไม่ และข้อบังคับนี้กล่าวถึงข้อปลีกย่อยมากเกินไป จนก่อให้เกิดภาระแก่ฝ่ายบริหารมากขึ้น โดยที่สภาผู้แทนราษฎรจะไม่ได้ประโยชน์ยิ่งไปกว่าเดิม[7]

ภายหลังที่รัฐบาลอภิปรายจบลงและที่ประชุมได้ให้มีการลงมติ โดยที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบกับญัตตินี้ด้วยคะแนนเสียง 45 ต่อ 31 เป็นเหตุให้รัฐบาลแพ้ในสภา ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องเรียกประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับการลาออกจากตำแหน่ง เพราะทางรัฐบาลไม่สามารถจะปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามความประสงค์ของสภาได้ ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงได้กราบบังคมลาออกจากตำแหน่งต่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่เห็นชอบด้วย โดยให้เหตุผลว่า สภาพการณ์ของโลกในขณะนั้นปั่นป่วน คับขัน ประกอบกับคณะรัฐบาลจะต้องเตรียมการรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จะเสด็จกลับสู่พระนคร รัฐบาลจึงควรบริหารราชการต่อไป จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2481 โดยมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกา

ยุบสภาผู้แทนราษฎร มีความว่า “ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ 1 ขึ้นใหม่มีกำหนดภายในเก้าสิบวัน นับแต่วันที่ใช้พระราชกฤษฎีกานี้เป็นต้นไป” [8]

การยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์เพื่อชี้แจงความจำเป็นที่ต้องยุบสภาผู้แทนราษฎรโดยแสดงเหตุผลที่ไม่อาจปฏิบัติตามหลักการแห่งการแก้ไขข้อบังคับการประชุมปรึกษาของสภาอย่างชัดแจ้งแล้ว และได้แสดงให้เห็นทางเสียหายที่ประเทศชาติจะได้รับในการแก้ไขข้อบังคับดังกล่าวด้วย แต่ผู้เสนอญัตติก็มิได้สนใจพิจารณาตามเหตุผลดังกล่าวแต่ประการใด กลับใช้วิธีการรวบรัดการพิจารณาเพื่อเอาเปรียบรัฐบาลโดยไม่เป็นธรรม การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่มิได้คำนึงถึงความเสียหายอันจะเกิดขึ้นแก่ประเทศชาติ จึงไม่สามารถบริหารราชการภายใต้การควบคุมของสภานี้ได้ ประกอบกับสภาพการณ์ของโลกอยู่ในระหว่างความปั่นป่วน คับขัน อีกทั้งต้องเตรียมการรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสู่พระนคร รัฐบาลจำเป็นต้องอยู่บริหารประเทศต่อไป[9]

ที่มา

กาญจนา เกิดโพธิ์ทอง, การยุบสภาในประเทศไทย วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2530.

“คำแถลงการณ์ของรัฐบาล”, ราชกิจจานุเบกษา 55 (11 กันยายน 2481) : 407.

ตวงรัตน์ เลาหัตถพงษ์ภูริ, ปัญหาทางกฎหมายของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญานิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2542.

“พระราชกฤาฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2481”, ราชกิจจานุเบกษา 55 (11 กันยายน 2481) : 405.

มานิตย์ จุมปา, สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่อง 7 การยุบสภา กรุงเทพมหานคร : องค์การค้าของคุรุสภา, 2544.

วิเทศกรณีย์ (นามแฝง), เหตุการณ์ทางการเมือง 43 ปี แห่งระบอบประชาธิปไตย กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์รวมการพิมพ์, 2518.

หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ

กาญจนา เกิดโพธิ์ทอง, “การยุบสภาในประเทศไทย” วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2530.

ตวงรัตน์ เลาหัตถพงษ์ภูริ, ปัญหาทางกฎหมายของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญานิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2542.

อ้างอิง

  1. มานิตย์ จุมปา, สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่อง 7 การยุบสภา (กรุงเทพมหานคร : องค์การค้าของคุรุสภา, 2544), หน้า 1.
  2. ตวงรัตน์ เลาหัตถพงษ์ภูริ, ปัญหาทางกฎหมายของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย (วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญานิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2542), หน้า 40.
  3. อ้างแล้ว, หน้า 75.
  4. กาญจนา เกิดโพธิ์ทอง, การยุบสภาในประเทศไทย (วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2530), หน้า 77.
  5. ตวงรัตน์ เลาหัตถพงษ์ภูริ, อ้างแล้ว, หน้า 72.
  6. อ้างแล้ว, หน้าเดิม.
  7. วิเทศกรณีย์ (นามแฝง), เหตุการณ์ทางการเมือง 43 ปี แห่งระบอบประชาธิปไตย (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์รวมการพิมพ์, 2518), หน้า 542.
  8. “พระราชกฤาฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2481”, ราชกิจจานุเบกษา 55 (11 กันยายน 2481) : 405.
  9. “คำแถลงการณ์ของรัฐบาล”, ราชกิจจานุเบกษา 55 (11 กันยายน 2481) : 407.