การผนวกสี่รัฐมลายูและสหรัฐมาลัย

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง นิตยาภรณ์ พรมปัญญา


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


การรวมรัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปะลิส เชียงตุง และเมืองพาน เข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย

การผนวกสี่รัฐมลายูและสหรัฐมาลัย

ก่อนหน้าการเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ไทยเข้าร่วมเป็นพันธมิตรของญี่ปุ่น ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ซึ่งในขณะนั้นรัฐบาลไทยอยู่ภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงของการดำเนินการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ตามแนวคิดของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรก (ระหว่างปี พ.ศ. 2481-2487) ขณะเดียวกันโลกกำลังเดินหน้าเข้าสู่มหันตภัยอันครั้งสำคัญคือ สงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการที่เยอรมันได้ส่งกำลังเข้าบุกยึดโปแลนด์ในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1938) อันจะนำไปสู่สงครามใหญ่ในเวลาต่อมา

เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งได้ไม่นาน จอมพล ป. พิบูลสงครามได้ดำเนิน “นโยบายสร้างชาติ” เพื่อนำพาประเทศให้เจริญทัดเทียมกับบรรดาอารยประเทศ[1] ในทางปฏิบัติก็คือออกประกาศต่าง ๆ ที่เป็นการสร้างแบบแผนการปฎิบัติหรือวัฒนธรรมใหม่ ๆ ที่รัฐคิดว่าจะนำพลเมืองและประเทศชาตินำไปสู่ความเจริญ ซึ่งวัฒนธรรมดังกล่าวก็ผูกพันกับลัทธิชาตินิยม-ทหาร[2] เรื่องที่เด่นที่สุดคือ การเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ประเทศไทย” เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 และในกำหนดให้วันที่ 24 มิถุนายนเป็นวันชาติด้วย[3] และรัฐบาลก็ได้ออกระเบียบรัฐนิยมซึ่งถือเป็นหลักการแนวทางการปฏิบัติให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐในการสร้างความเป็นอารยประเทศ

โดยมีประกาศรัฐนิยมออกมาทั้งสิ้น 12 ฉบับ เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2482 ถึง มกราคม พ.ศ. 2485[4] นอกจากนี้ยังมีการออกระเบียบ ประกาศ ต่าง ๆ ที่ครอบคลุมไปทั้งทางเศรษฐกิจ และการผลิตวัฒนธรรมการบันเทิงต่าง ๆ ที่จะช่วยในการปลูกฝังแนวคิดวัฒนธรรมใหม่ที่เป็นแบบชาตินิยม-ทหารนี้หยั่งรากลึกลงไป การบ่มเพาะแนวคิดดังกล่าวได้นำไปสู่การสร้างความรู้สึกร่วมในการเรียกเรียกร้องดินแดนที่รัฐบาลไทยเชื่อว่าเป็นของตนคืนมาจากการยึดครองของชาติตะวันตก โดยเริ่มจากการเจรจากับรัฐบาลอินโดจีนอาณานิคมฝรั่งเศส เรื่องดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง คือ เสียมราฐ, พระตะบอง และศรีโสภณ[5]

ก่อนหน้านี้เมื่อเกิดสงครามในยุโรปฝรั่งเศสกังวลต่ออำนาจของตนที่มีเหนือดินแดนอาณานิคมของตนในอินโดจีนเช่นกัน และได้ส่งทูตมาเจรจากับทางฝ่ายไทยในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2482 เพื่อทำสนธิสัญญาไม่รุกรานระหว่างกัน แต่ทางฝ่ายไทยก็เสนอให้มีการไขปัญหาเรื่องเขตแดนบริเวณแม่น้ำโขงด้วย โดยได้มีการลงนามในสัญญาเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2483 แต่ทางฝรั่งเศสยังไม่ทันจะได้ลงนาม เยอรมันก็บุกเข้ายึดครองฝรั่งเศสเสียก่อน ต่อมาจึงมีการเจรจากันอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2483 โดยทางฝ่ายไทยเสนอให้มีการปักปันเขตแดนใหม่ตามที่ตกลงกันในสัญญาไม่รุกรานต่อกันแต่ทางฝรั่งเศสปฏิเสธ วันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2483 จึงมีการยื่นข้อเสนอเดิมอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งเรียกร้องดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงคืนจากฝรั่งเศสด้วย วันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2483 ทางฝรั่งเศสได้ตอบปฏิเสธกลับมาอีก[6]

ในขณะเดียวกันนอกจากความเคลื่อนไหวในฝ่ายของรัฐบาลไทยแล้ว การเรียกร้องดินแดนคืนคราวนี้ได้กลายเป็นกระแสในหมู่ประชาชน ทำให้เกิดการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องดินแดนคืนเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2483 อาจนับได้ว่าเป็นการเดินขบวนเรียกร้องทางการเมือครั้งแรก ๆ ของประเทศไทย ในช่วงเวลานั้นทั้งสองฝ่ายก็ได้เตรียมกำลังทางทหารมาตั้งเผชิญหน้ากันตามแนวชายแดนจนในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2483 ได้เกิดการปะทะกันด้วยกำลังทหาร ทางฝ่ายฝรั่งเศสได้ส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดยังนครพนมและทางฝ่ายไทยได้ตอบโต้กลับไป นับเป็นการเปิดฉากการต่อสู้ด้วยกำลังทางทหารโดยไม่ได้มีการประกาศสงครามกันนับแต่บัดนั้น[7] ไทยมาทำการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2484

โดยก่อนการประกาศสงครามรัฐบาลไทยในเวลานั้นได้ส่งคณะทูตพิเศษเดินทางไปเจรจากับรัฐบาลเยอรมัน และรัฐบาลวิชี่ของฝรั่งเศส (ที่เป็นรัฐบาลภายใต้การกำกับของเยอรมัน) ยังกรุงเบอร์ลินและกรุงปารีสตามลำดับในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2483[8] และในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2484 รัฐบาลไทยได้เปิดการเจรจากับฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง ในการเจรจาครั้งนี้รัฐบาลญี่ปุ่นได้เข้ามาเป็นคนกลางที่ประสานให้เกิดการพูดคุยกันขึ้น เพราะว่าญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรกับเยอรมันซึ่งยึดครองฝรั่งเศสอยู่ในตอนนั้น. ท้ายที่สุดทางฝ่ายฝรั่งเศสจึงยอมมอบดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงส่วนหนึ่งให้กับทางฝ่ายไทย โดยมีการลงนามในอนุสัญญาสันติภาพกรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2484[9]

การที่ญี่ปุ่นได้เข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยปัญหาให้กับไทยในครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไร้ ญี่ปุ่นเองมองว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความสำคัญสำหรับนโยบายทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมและนโยบายป้องกันชาติของญี่ปุ่น ก่อนหน้าจะเกิดสงครามในยุโรปแล้วอีกทั้งได้มีการติดต่อสัมพันธ์กับบรรดานายทหารฝ่ายนิยมอุดมการณ์ชาตินิยมทางทหารของญี่ปุ่นและเยอรมันมาก่อนหน้าแล้ว[10] ญี่ปุ่นจึงได้เข้ามาแสดงบทบาทเป็นมิตรประเทศที่ดีของไทย แต่ในที่สุดเมื่อมีการประกาศสงครามมหาเอเชียบูรพา กองทัพญี่ปุ่นได้บุกรุกเข้ามาในประเทศไทย ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ในทางการข่าวไทยก็พอจะทราบล่วงหน้าอยู่ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484 กองทัพญี่ปุ่นต้องเคลื่อนกำลังทัพบุกเข้ามาในประเทศไทยแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากทางฝ่ายอังกฤษ สายข่าวของไทยเอง[11] ส่วนความเคลื่อนไหวทางฝ่ายญี่ปุ่นในประเทศไทยนั้น เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย นายเตอิจิ ทสุโบกามิ ได้เข้าพบนายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศในขณะนั้น หลังจากที่ขอเข้าพบนายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่ไม่ได้พบ เพื่อแจ้งให้ทราบถึงการประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ และขออนุญาตให้กองทัพญี่ปุ่นได้เดินทัพผ่านดินแดนของไทย เพื่อรุกเข้าไปยังดินแดนที่อังกฤษปกครองอยู่[12] แต่ในขณะที่ยังไม่ได้ข้อยุติกองกำลังญี่ปุ่นได้เคลื่อนทัพบุกเข้าประเทศไทยในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ เช่น สงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี สมุทรปราการ พระตะบอง และจังหวัดพิบูลสงคราม พร้อมกับการบุกเข้าไปใน ฮาวาย, ฟิลิปปินส์ แหลมมลายู และสิงคโปร์ ทางกองกำลังของฝ่ายไทยก็ได้ทำการสู้รบกับทหารญี่ปุ่นจนเกิดบาดเจ็บล้มตายทั้งสองฝ่าย กองทัพญี่ปุ่นได้ยื่นข้อเสนอให้กับรัฐบาลไทย 4 ทางเลือก คือ

1. ประเทศไทยกับญี่ปุ่นจะทำสัมพันธไมตรีในทางรุกรานและป้องกันตัวร่วมกัน

2. ประเทศไทยจะให้ความร่วมมือแก่ประเทศญี่ปุ่นในทางการทหารเท่าที่จำเป็นตามที่กล่าวในข้อแรก (รวมทั้งการอนุญาตให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทางผ่านประเทศไทย และอำนวยความสะดวกเท่าที่จำเป็นทั้งหมดสำหรับการเดินทางผ่านนั้น ทำนองเดียวกับการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อมิให้มีการปะทะซึ่งกันและกันอันอาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างกองทัพญี่ปุ่นและกองทัพไทย)

3. รายละเอียดแห่งการปฏิบัติตามข้อ (1) และ (2) ดังกล่าวข้างต้นจะได้ทำการตกลงกันระหว่างเจาหน้าที่ผู้มีอำนาจทั้ง 2 ประเทศ.

4. ญี่ปุ่นจะให้ประกันในความเป็นเอกราชอธิปไตยและเกียรติยศของประเทศไทย จะได้รับความเคารพ และประเทศญี่ปุ่นจะร่วมมือกับประเทศไทยในการที่จะเอาดินแดนที่เสียไปคืนมา

5. ข้อตกลงดังกล่าวนี้ จะถูกยืนยันในภายหลังโดยแลกเปลี่ยนเอกสารในทางราชการระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่าย.[13]

ข้อเสนอของญี่ปุ่นทั้ง 4 ข้อนี้ ปรากฏว่ามีอยู่สองฉบับ และมีรายละเอียดที่แตกต่างกันตรงข้อที่ 2 สำหรับอีกฉบับหนึ่งได้ระบุว่า ให้มีการเข้าร่วมเป็นภาคีกติกาสัญญาไตรภาคี (คือ เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ ) โดยคณะรัฐมนตรีของไทยได้ร่วมหารือและแก้ไขข้อตกลงเสนอกลับไปจนได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484[14] และจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ลงนามในข้อตกลงระหว่างไทยกับญี่ปุ่นร่วมกับเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2484 และในข้อตกลงข้อที่สี่เรื่องการเรียกร้องดินแดนคืนก็เป็นข้อตกลงตรงกันกับข้อกำหนดข้อที่หนึ่งในเอกสาร “ข้อกำหนดความเข้าใจกันเป็นความลับ” อันเป็นภาคผนวกของกติกาสัญญาพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น.[15] และยังมีข้อตกลงในเรื่อง “หลักการร่วมยุทธระหว่างไทยกับญี่ปุ่นฉบับวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ว่าด้วยการวางกำลังและการร่วมมือทางการทหารในการบุกเข้าพม่า[16] แม้ว่าจะมีเอกสารการศึกษาประวัติศาสตร์ที่ผลิตจากทางการทหารของไทยได้เสนอว่าทางฝ่ายรัฐบาลไทยในเวลานั้นไม่ได้ต้องการที่จะเรียกร้องดินแดนที่เสียไปให้กับอังกฤษคืน หรือไม่ได้มีความต้องการที่จะส่งกำลังทหารเข้าไปในรัฐฉานก็ตาม[17] แต่หลักฐานเอกสารที่มีปรากฏอยู่ทั้งของไทยและญี่ปุ่น ได้แสดงให้เห็นถึงความต้องการของทางฝ่ายไทยที่ต้องการได้ดินแดนคืน และความต้องการของไทยนั้นก็ได้รับการตอบสนองจากญี่ปุ่นอีกครั้ง เมื่อนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น พลเอก ฮิเดยูกิ โตโจ ได้มาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และได้ทำการมอบดินแดนสี่รัฐมลายูในทางใต้คือ ไทรบุรี ปลิส กลันตัน และตรังกานู และดินแดนในเขตไทยใหญ่ในประเทศพม่าคือ เมืองเชียงตุงและเมืองพาน ซึ่งญี่ปุ่นได้ยึดครองอยู่ในเวลานั้น ให้กลับมาเป็นของไทยหลังจากที่ตกเป็นของอังกฤษ ตั้งแต่ครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้ทำการมอบกันอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2486 เพื่อเป็นการตอบแทนไมตรีของไทยที่มีต่อญี่ปุ่นในการช่วยเหลือให้ญี่ปุ่นได้เดินทัพเข้าไปสู่พม่าและมลายู[18]

อย่างไรก็ดีการมอบดินแดนเหล่านั้นให้กับไทยไม่ได้เป็นไปโดยราบรื่น โดยมีความไม่เห็นด้วยจากฝ่ายต่างแสดงออกมาอยู่ไม่ว่าจะเป็นจากคนญี่ปุ่นที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลของตนเอง หรือจากทางฝ่ายพม่าเอง[19] การรวมดินแดนทั้งหมดนี้เข้ามากับประเทศไทยได้ทำให้ประเทศไทยมีเนื้อที่เพิ่มขึ้น 74, 587 ตารางกิโลเมตร และการปกครองดินแดนที่เรียกว่า สหรัฐไทยเดิม (เชียงตุงและเมืองพาน) และสหรัฐมาลัย (ไทรบุรี ปลิส กลันตัน และตรังกานู) นั้น ไทยได้จัดให้มีข้าหลวงใหญ่ไปประจำที่สหรัฐไทยใหญ่ 1 คน โดยมีสำนักงานอยู่ที่เมืองเชียงตุง และในสหรัฐมาลัยได้จัดให้มีข้าหลวงใหญ่ให้ไปประจำอยู่ทุกรัฐ[20] แต่การได้ดินแดนมาในครั้งนี้ก็เป็นไปโดยอิทธิพลของญี่ปุ่นโดยแท้ ไม่ได้มาจากความสำเร็จทางการทหารหรือการทูตของฝ่ายไทยแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อญี่ปุ่นได้ประกาศยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488[21]

ทางฝ่ายไทยก็ได้ประกาศสันติภาพในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ก่อนที่จะตามมาด้วยการประกาศยกเลิกกติกาสัมพันธไมตรีกับประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2488 และในวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2488 ทางการไทยได้ทำการส่งมอบเมืองเชียงตุงและเมืองพานให้กับกองพลอินเดียที่ 7 ของอังกฤษ และมอบสี่รัฐมลายูให้กับอังกฤษในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2488[22] ถือเป็นการปิดฉากการได้ดินแดนสหรัฐไทยใหญ่และสี่รัฐมาลัยลงไปภายในเวลาเพียงราว 2 ปีเท่านั้น.

อ้างอิง

  1. เทียมจันทร์ อ่ำแหวว, “บทบาททางการเมืองและการปกครองของจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ. 2475 - พ.ศ. 2478),” วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2521 , หน้า 162.
  2. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ประวัติการเมืองไทย 2475-25๐๐, พิมพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, หน้า 195.
  3. ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, “ประวัติจอมพล ป. พิบูลสงคราม,” ใน ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ และ วิกัลย์ พงศ์พนิตานนท์, บรรณาธิการ, จอมพล ป.พิบูล สงคราม กับการเมืองไทยสมัยใหม่, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2544, หน้า 25.
  4. แถมสุข นุ่มนนท์, เมืองไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง, กรุงเทพฯ : ดวงกมล, 2521, หน้า 34-35.
  5. ดู ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, “ประวัติจอมพล ป. พิบูลสงคราม,” ใน เรื่องเดียวกัน, หน้า 25. และ แถมสุข นุ่มนนท์, เรื่องเดียวกัน, หน้า 39.
  6. สุภาพร บำรุงวงศ์, “ การเรียกร้องและการปกครองดินแดนที่ได้คืนจากฝรั่งเศส พ.ศ.2483 -2491, ” วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2546,หน้า 58-60
  7. เรื่องเดียวกัน, หน้า 81-82.
  8. สมโชค สวัสดิรักษ์, “ความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ในสงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. 2484-2488 ,” วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2524, หน้า 13.
  9. เรื่องเดียวกัน, หน้า 14-17.
  10. กอบเกื้อ สุวรรณฑัต เพียร, นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลพิบูลสงคราม พ.ศ. 2481-2487, กรุงเทพฯ: สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2532, หน้า, 16.
  11. สุพจน์ ด่านตระกูล, ญี่ปุ่นขึ้นเมือง, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, 2546, หน้า 4.
  12. สมโชค สวัสดิรักษ์, เรื่องเดียวกัน, หน้า 27.
  13. สุพจน์ ด่านตระกูล, เรื่องเดียวกัน, หน้า 28-31.
  14. กันตธีร์ ศุภมงคล, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช 2483 ถึง 2495, พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ : โพสต์ พับลิชชิ่ง จำกัด,2537, หน้า 55.
  15. เออิจิ มูราซิมา, “การเปรียบเทียบข้อมูลไทย-ญี่ปุ่น: กรณีการส่งทหารไทยเข้ารัฐฉาน (สหรัฐไทยใหญ่) ในพ.ศ. 2485”, วารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 25 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2542, หน้า 90, 97.
  16. สมโชค สวัสดิรักษ์, “ความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ในสงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. 2484-2488, หน้า 46-47.
  17. ดู กรมยุทธศึกษาทหาร, ประวัติศาสตร์การสงครามของไทยในสงครามมหาเอเชียบูรพา, กรุงเทพฯ: กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม, 2540. และ ดู ข้อถกเถียงในประเด็นนี้จากบทความของ เออิจิ มูราซิมา, เรื่องเดียวกัน, หน้า 87-99.
  18. แถมสุข นุ่มนนท์, เมืองไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง, หน้า 84-85.
  19. ดู เชิงอรรถที่ 10 ของบทที่ 3 ใน แถมสุข นุ่มนนท์, เรื่องเดียวกัน, หน้า 85.
  20. กรมยุทธศึกษาทหาร, ประวัติศาสตร์การสงครามของไทยในสงครามมหาเอเชียบูรพา, กรุงเทพฯ: กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม, 254๐, หน้า 216-218.
  21. เรื่องเดียวกัน, หน้า 306.
  22. เรื่องเดียวกัน, หน้า 337-338.