การทำความเข้าใจใหม่ต่อประเพณีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

เรียบเรียง : ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


การทำความเข้าใจใหม่ต่อประเพณีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก                                                                               

ในปี พ.ศ. 2474 ในบทสัมภาษณ์ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานแก่นายแฮโรลด์ เอน. เดนนี (Harold N. Denny) นายเดนนีได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักการปกครองของพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งพระองค์ได้ทรงตอบไปว่า  “ตั้งแต่สมัยโบราณมา พระมหากษัตริย์สยามถือเป็นพ่อของราษฎร โดยหลังจากที่ผู้คนเป็นอิสระ (จากการปกครองของชนชาติอื่น/ผู้เขียน)  จึงเลือกที่จะเรียกตัวเองว่า ‘ไท’ ‘อิสระ’ (“Thai” “Free” ) และเลือกที่จะเรียกกษัตริย์ของพวกเขาว่า ‘พ่อของประเทศ (Father of the country)’ ….พ่อเมือง (Po Muang)..ซึ่งเป็นแนวคิดในสยามที่ พระมหากษัตริย์คือพ่อของประชาชนของพระองค์ (the father of his people) และพระมหากษัตริย์จะปฏิบัติต่อประชาชนอย่างลูก….”   [1]        

แนวคิดการปกครองพ่อปกครองลูกในสมัยพ่อขุนรามคำแห่งปรากฏครั้งแรกเมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงกล่าวถึง หลักการการปกครอบแบบพ่อปกครองลูกมาก่อนแล้ว ในปาฐกถาที่ทรงแสดงที่สามัคยาจารย์สมาคม เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2470  พระองค์ได้ทรงอ้างถึงหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ทำให้เข้าใจได้ว่า หลักการการปกครองแบบพ่อปกครองลูกที่พระองค์ทรงกล่าวถึงนั้นได้หลักฐานมาจากหลักศิลาจารึกดังกล่าว 

ในการแสดงปาฐกถาครั้งนั้น พระองค์ได้ทรงกล่าวขึ้นต้นถึงการให้ความสำคัญต่อข้อมูลหลักฐานและแยกแยกว่าส่วนไหนเป็นความเห็นของพระองค์เอง ดังที่พระองค์ได้ทรงกล่าวไว้ว่า    

“ด้วยปาฐกถาที่ข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านทั้งหลายฟังวันนี้ เป็นเรื่องโบราณคดี หรือถ้าจะว่าอีกนัยหนึ่ง คือเล่าเรื่องก่อนเกิดตั้งหลายร้อยปี ย่อมพ้นวิสัยที่จะรู้ให้ถ้วนถี่ไม่มีข้อบกพร่อง หรือจะไม่พลาดพลั้งบ้างเลยได้ การแถลงเรื่องโบราณคดีแม้ในบทพระบาลีมีชาดกเป็นต้น เมื่อท่านจะแสดงอดีตนิทาน ก็มักใช้คำขึ้นต้นว่า ‘กิร’ แปลว่าได้ยินมาอย่างนั้นๆ บอกให้ทราบว่าเรื่องที่จะแสดงเป็นแต่ท่านได้สดับมา ข้อสำคัญอันเป็นความรับผิดชอบของผู้นำเรื่องโบราณคดีมาแสดง อยู่ที่ต้องแถลงความตามตนเชื่อว่าจริง และชี้หลักฐานที่ทำให้ตนเชื่อนั้นให้ปรากฏ ข้อใดเป็นแต่เพียงความคิดวินิจฉัยของตนเองก็ควรบอกให้ทราบ ให้ผู้ฟังมีโอกาสเอาเรื่องและหลักฐานที่ได้ฟังไปพิจารณาช่วยค้นคว้าหาความรู้ให้ถ่องแท้ยิ่งขึ้นในคดีเรื่องที่แสดงนั้น (เน้นโดยผู้เขียน)...”  [2]   และหลักการการปกครองแบบพ่อปกครองลูกนี้ กรมพระยาดำรงฯทรงกล่าวว่า  

“5. ลักษณะการปกครองประเทศสยามชั้นสมัยดึกดำบรรพ์ เมื่อลาวยังเป็นใหญ่อยู่โดยลำพังก็ดี หรือในชั้นเมื่อมอญเข้ามามีอำนาจครอบงำก็ดี จะเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าหาทราบไม่ เห็นเค้าเงื่อนปรากฎแต่ลักษณะการปกครองของขอมแลของไทย พอสังเกตได้ว่าวิธีการปกครองมาแต่คติต่างกัน คือ พวกขอมปกครองตามคติซึ่งได้มาจากชาวอินเดีย พวกไทยปกครองตามคติของไทยซึ่งพามาจากเมืองเดิม มิได้เอาอย่างชาวอินเดีย เรื่องตำนานการปกครองของขอมกับของไทยที่เอามาใช้ในประเทศสยามก็ต่างกัน คือเมื่อพวกขอมเข้ามามีอำนาจในประเทศสยามนั้น มิได้ปกครองทั่วทั้งประเทศ ข้อนี้พึงสังเกตได้ด้วยโบราณวัตถุอันเป็นแบบอย่างช่างขอมสร้าง มีปรากฎขึ้นไปฝ่ายเหนือเพียงเมืองสวรรคโลกเท่านั้น เหนือนั้นขึ้นไปหามีไม่ คงเป็นเพราะตอนข้างเหนือพวกอื่นยังปกครองเป็นประเทศราชขึ้นต่อขอม ในเรื่องตำนานโยนกก็ปรากฎว่าในสมัยเมื่อพวขอมเข้ามาครอบงำนั้นทางเมืองหริภุญชัย พวกมอญยังปกครอง ทางเหนือขึ้นไปตอนชายแม่น้ำโขง ยังมีเจ้าลลาวราชวงศ์ลาวจักราชครอบครองอยู่อีกช้านาน ครั้นพวกไทยได้แดนลาวทางฝ่ายเหนือก็ปกครองตามจารีตประเพณีของไทยลงมาทางข้างเหนือ เพราะฉะนั้นในสมัยเมื่อไทยได้เป็นใหญ่ ณ เมืองสุโขทัย วิธีการปกครองประเทศสยามจึงมีอยู่เป็น 2  อย่าง เมืองทางฝ่ายเหนือปกครองตามประเพณีไทย เมืองทางฝ่ายใต้ปกครองตามประเพณีขอม ก็แต่ประเพณีการปกครองของขอมกับของไทยเหมือนกันอย่างหนึ่ง ซึ่งถือเอาอาญาสิทธิ์ของพระเจ้าแผ่นดินเป็นหลักในการปกครอง มาผิดกันที่พวกขอมถือลัทธิตามชาวอินเดีย สมมตว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นพระโพธิสัตว์หรือเป็นพระอิศวรพระนารายณ์แบ่งภาคลงมาเลี้ยงโลก และอาสัยพราหมณ์เป็นเจ้าตำราการปกครอง ลักษณะการที่พวกขอมปกครองราษฎรจึงคล้ายนายปกครองบ่าว ตรงกับคำภาษาอังกฤษซึ่งเรียกว่า Autocratic Government ส่วนวิธีการปกครองของไทยนั้น นับถือพระเจ้าแผ่นดินเช่นเป็นบิดาของประชาชนทั้งปวง วิธีการปกครองก็เอาลักษณะการปกครองสกุลมาเป็นคติ เป็นต้น แต่ถือว่าบิดาเป็นผู้ปกครองครัวเรือน (คำว่า ‘พ่อครัว’ เดิมทีเดียวเห็นจะหมายความว่าเป็นผู้ปกครองครัวเรือน อันธรรมดาย่อมร่วมครัวไฟกัน ภายหลังมาจึงเข้าใจคำพ่อครัวกลายเป็นผู้ประกอบอาหาร)  หลายครัวเรือนรวมกันเป็นบ้านอยู่ในปกครองของ ‘พ่อบ้าน’ ผู้อยู่ในปกครองเรียกว่า ‘ลูกบ้าน’  หลายบ้านรวมเป็นเมือง ถ้าเป็นเมืองขึ้นอยู่ในปกครองของ ‘พ่อเมือง’  ถ้าเป็นประเทศราช เจ้าเมืองเป็น ‘ขุน’ หลายเมืองรวมเป็นประเทศอยู่ในปกครองของพระเจ้าแผ่นดิน แต่โบราณเรียกว่า ‘พ่อขุน’  ข้าราชการตำแหน่งต่างๆได้นามว่า ‘ลูกขุน’ ดังนี้ จึงเห็นได้ว่าวิธีการปกครองของไทยเป็นอย่างบิดาปกครองบุตร หรือเรียกตามภาษาอังกฤษว่า Paternal Government ยังใช้เป็นหลักวิธีการปกครองประเทศสยามสืบมาจนทุกวันนี้ [3]        

6. เมื่อไทยได้ปกครองประเทศสยามในเวลายังมีการปกครองเป็น ๒ อย่างดังกล่าวมา น่าสันนิษฐานว่าคงจะเกิด (เน้นโดยผู้เขียน) เป็นปัญหาขึ้นแก่กษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงแต่แรก ว่าจะปกครองประเทศสยามทั่วไปด้วยวิธีอย่างใดจะเหมาะดี และน่าลงมติว่าคงคิดเห็น (เน้นโดยผู้เขียน) ด้วยอุปนิสสัยสามารถในการประสานประโยชน์ ว่าควรเลือกเอาการที่ดีของทั้งสองฝ่ายมาปรุงใช้เป็นวิธีการปกครองประเทศสยาม แต่ในสมัยชั้นแรกนั้น ไทยยังไม่ศึกษาทราบคุณและโทษในวิธีการปกครองของขอมมากนัก จึงใช้กระบวนการปกครองโดยวิธีของไทยมาก่อน ค่อยเลือกวิธีการปกครองของขอมเพิ่มขึ้นโดยลำดับ ข้อนี้พึงเห็นได้ในศิลาจารึกของพระเจ้ารามคำแหงมหาราช (เน้นโดยผู้เขียน)  ถ้อยคำเป็นภาษาไทยเกือบไม่มีอื่นปน พระเจ้าแผ่นดินก็วางพระองค์แต่เป็นอย่างบิดาของประชาชน (เน้นโดยผู้เขียน).....”  [4]                             

จากข้างต้น จะเห็นได้ว่า การที่กรมพระยาดำรงฯเสนอว่า หลักการปกครองของไทยแต่โบราณ โดยเฉพาะในสมัยพ่อขุนรามคำแหงเป็นการปกครองแบบพ่อปกครองลูกนั้น จึงเป็นการสันนิษฐานคาดการณ์ของพระองค์เอง โดยมีข้อความในศิลาจารึกเป็นตัวตั้ง และพระองค์ก็ทรง “ตีความ” ออกมาว่าเป็นเช่นนั้นมากกว่าที่จะมีข้อความกล่าวตรงๆในศิลาจารึกหลักนั้นว่ามีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก เพราะถ้าพิจารณาข้อความทุกด้านทั้งสี่ด้านจะไม่พอข้อความใดที่กล่าวว่ามีการปกครองแบบพ่อปกครองลูกเลย (ผู้สนใจข้อความในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแห่ง โปรดดู http://www.thaigoodview.com/node/95308)    

การกล่าวว่า หลักการการปกครองในสมัยพ่อขุนรามคำแหงว่าเป็นวิธีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก น่าจะเกิดจากการที่กรมพระยาดำรงฯทรงตีความคำต่างๆที่ใช้เรียกผู้ปกครองและผู้ใต้ปกครองที่เป็นข้าราชการว่า พ่อขุนและลูกขุน ดังที่พระองค์ได้ทรงกล่าวไว้ว่า   “วิธีการปกครองของไทยนั้น นับถือพระเจ้าแผ่นดินเช่นเป็นบิดาของประชาชนทั้งปวง วิธีการปกครองก็เอาลักษณะการปกครองสกุลมาเป็นคติ เป็นต้น แต่ถือว่าบิดาเป็นผู้ปกครองครัวเรือน (คำว่า ‘พ่อครัว’ เดิมทีเดียวเห็นจะหมายความว่าเป็นผู้ปกครองครัวเรือน อันธรรมดาย่อมร่วมครัวไฟกัน ภายหลังมาจึงเข้าใจคำพ่อครัวกลายเป็นผู้ประกอบอาหาร)  หลายครัวเรือนรวมกันเป็นบ้านอยู่ในปกครองของ ‘พ่อบ้าน’ ผู้อยู่ในปกครองเรียกว่า ‘ลูกบ้าน’  หลายบ้านรวมเป็นเมือง ถ้าเป็นเมืองขึ้นอยู่ในปกครองของ ‘พ่อเมือง’  ถ้าเป็นประเทศราช เจ้าเมืองเป็น ‘ขุน’ หลายเมืองรวมเป็นประเทศอยู่ในปกครองของพระเจ้าแผ่นดิน แต่โบราณเรียกว่า ‘พ่อขุน’  ข้าราชการตำแหน่งต่างๆได้นามว่า ‘ลูกขุน’ ดังนี้ จึงเห็นได้ว่าวิธีการปกครองของไทยเป็นอย่างบิดาปกครองบุตร”       

จากข้างต้น ถ้าจะมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูกตามข้อความในศิลาจารึก ดูจะเกิดขึ้นระหว่างผู้ปกครองกับข้าราชการ ไม่ได้มีความใดที่กล่าวถึงความสัมพันธ์แบบพ่อปกครองลูกระหว่างผู้ปกครองกับประชาชนธรรมดาทั่วไป 

นักวิชาการที่สนับสนุนลักษณะการปกครองแบบพ่อปกครองลูกในสมัยพ่อขุนรามคำแหงอย่างประเสริฐ ณ นคร ได้อธิบายลักษณะการปกครองในสมัยพ่อขุนรามคำแหงว่า “สมัยนั้นกษัตริย์จะต้องเป็นพระยา แต่ในสมัยแรกเรียกกษัตริย์ว่าขุน เช่น ขุนสามชน ส่วนพ่อขุนนั้นหมายถึงผู้เป็นใหญ่เหนือขุนทั้งหลาย เหมือนคำแม่ทัพ แปลว่าผู้เป็นใหญ่ในทัพ...ต่อมาขุนตกอันดับ กษัตริย์ต้องเป็นขุนหลวง เช่น ขุนหลวงพ่องั่ว...”[5]    ประเสริฐ ณ นครไม่เห็นว่า การเรียกขานผู้ปกครองในสมัยสุโขทัยว่าพ่อขุนจะสื่อถึงการปกครองแบบพ่อปกครองลูก เพราะคำว่าพ่อขุนหมายถึงผู้เป็นใหญ่เหนือขุนทั้งหลาย เหมือนคำว่าแม่ทัพที่แปลว่าผู้เป็นใหญ่ในทัพ  แต่ประเสริฐ ณ นครก็ยังเห็นว่า การปกครองในสุโขทัยเป็นการปกครองแบบพ่อปกครองลูกอยู่ดี โดยเขาได้กล่าวว่า  “การปกครองในสุโขทัย  มีผู้อธิบายว่า การปกครองสมัยสุโขทัยเป็นแบบพ่อปกครองลูก โดยอาศัยคำที่เรียกกษัตริย์ว่า พ่อขุนเป็นเกณฑ์ แต่ในตอนต้นบทความนี้ ได้ชี้แจงแล้วว่า พ่อขุนหมายถึงผู้เป็นใหญ่ในขุน อย่างไรก็ดี การที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงอนุญาตให้ไพร่ฟ้าถวายฎีกาโดยวิธีไปตีกระดิ่งซึ่งแขวนไว้ที่ปากประตูได้ น่าจะแสดงได้ว่า การปกครองเป็นแบบพ่อปกครองลูกจริง”  [6]                             

เหตุผลที่ทำให้ประเสริฐ ณ นครตีความว่า ในสมัยสุโขทัย โดยเฉพาะในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก คือ การที่ผู้ปกครองให้ผู้ใต้ปกครองถวายฎีกาโดยวิธีไปตีกระดิ่งที่แขวนไว้ที่ปากประตู  ดังนั้น ในความเข้าใจของประเสริฐ ณ นคร หัวใจสำคัญของการปกครองแบบพ่อปกครองลูกคือ การที่ผู้ปกครองให้มีกระดิ่งสำหรับการร้องทุกข์ของผู้ใต้ปกครอง  ดังนั้น หลักฐานสำคัญของการปกครองแบบพ่อปกครองลูกในสมัยสุโขทัย คือ “กระดิ่งร้องทุกข์” ดังข้อความในศิลาจากรึกพ่อขุนรามคำแหงที่ว่า “ในปากประตูมีกระดิ่งอันณื่ง แขวนไว้หั้น  ไพร่ฟ้าหน้า ปก  กลางบ้านกลางเมือง  มีถ้อยมีความ เจ็บท้อง ข้องใจ มันจักกล่าวเถิงเจ้าเถิงขุนบ่ไร้ ไปลั่นกะดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยิน เรียกเมือถาม สวนความแก่มันด้วยซื่อ”      

เรื่องกระดิ่งร้องทุกข์นี้ Edward A. Kracke, Jr ได้ทำการศึกษาวิจัย โดยผลการวิจัยของเขาได้เผยแพร่ในปี ค.ศ. 1976 (พ.ศ. 2519) ภายใต้บทความ “Early Visions of Justice for the Humble in East and West” (วิสัยทัศน์แรกเริ่มเกี่ยวกับความยุติธรรมสำหรับผู้ยากไร้ในตะวันออกและตะวันตก)  ตีพิมพ์ในวารสารชื่อว่า Journal of the American Oriental Society , (Oct. - Dec., 1976, Vol. 96, No. 4 (Oct. - Dec., 1976), pp. 492-498)  จากการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้  Kracke, Jr. ได้พบ “…หลักฐานของกระดิ่งหรือระฆังร้องทุกข์ (grievance bells) ในญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 647  ในหมู่ของชาวคีตัน  (the Khitan)  [7] ในปี ค.ศ. 1039 และพบในรัฐโบราณของสยามสมัยใหม่ในศตวรรษที่สิบสาม รัฐหรือดินแดนเหล่านี้ใกล้ชิดกับจีน และได้รับอิทธิพลจากจีน กระดิ่งในญี่ปุ่นเกิดขึ้นจากการรับจารีตประเพณีของจีนในช่วงเวลาเดียวกันนี้  ซึ่งในช่วงเวลานั้น จักรวรรดิของชาวคีตันได้วางการบริหารราชการตามแบบของจีน โดยในปี ค.ศ. 1023 ได้จัดตั้งสำนักรับเรื่องร้องทุกข์ขึ้น  ในช่วงเวลานี้ จะพบการใช้กระดิ่งหรือระฆังแทนกลอง กระดิ่งหรือระฆังไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคแรกเริ่มในจารีตประเพณีของจีน ถูกรวมเอาไว้ในสิ่งของต่างๆที่ใช้ในการร้องทุกข์ในตำนานปรัมปราในยุคแรกเริ่มการวางรากฐานการใช้ระฆังในรัฐเพื่อนบ้านของจีนในศตวรรษที่เจ็ด และต่อมามีการใช้กลองตามจีน และมีสำนักงานรับเรื่องร้องทุกข์ดังปรากฎในการปกครองของชาวคีตัน  เหตุผลที่น่าเป็นไปได้มากที่สุดสำหรับการใช้ระฆังแทน อาจจะเป็นเพราะความคุ้นเคยกับการใช้ระฆังใหญ่ในวัดพุทธศาสนา [8] ซึ่งเมื่อถึงช่วงเวลานั้น จะพบว่ารัฐเหล่านั้นได้รับอิทธิพลเรื่องการร้องทุกข์ตามแบบของจีน...โดยธรรมเนียมแบบนี้พบได้อย่างน้อยก็ตั้งแต่ศตวรรษที่สิบเอ็ดและสิบสอง” [9]    

นอกจากนี้ ในราวศตวรรษที่สิบสาม ยังพบกระดิ่งร้องทุกข์ในอินเดีย บริเวณที่เป็นอาฟกานิสถานในปัจจุบันและเปอร์เซียด้วย  โดยราษฎรที่เรียกร้องความยุติธรรม จะสั่นกระดิ่งในตอนกลางคืน และเมื่อผู้ปกครอง (Sultan/สุลต่าน) ได้ยินเสียงระฆัง จะรีบมาดูแลเรื่องร้องทุกข์นั้นทันที  กล่าวได้ว่า นอกจากจีนที่เป็นจุดเริ่มต้นแล้ว กระดิ่งร้องทุกข์พบครั้งแรกในหมู่เพื่อนบ้านของจีนและต่อมามีอิทธิพลต่อเปอร์เซีย  โดยหลักฐานในพื้นที่ต่างๆล้วนสอดคล้องกัน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากการกระจายทางวัฒนธรรมการร้องทุกข์ที่มาจากจีน [10]                        

ดังนั้น หากการมีกระดิ่งร้องทุกข์สื่อถึงการปกครองแบบพ่อปกครองลูกในสมัยสุโขทัยตามที่ประเสริฐ ณ นครอ้าง ผลประหลาดที่ตามมา  คือ รัฐใดหรือพื้นที่ใดที่มีกระดิ่งร้องทุกข์ รัฐหรือพื้นที่ข้างต้นนี้ย่อมต้องปกครองแบบเดียวกันหมด นั่นคือ การปกครองแบบพ่อปกครองลูกเหมือนสุโขทัยในสมัยพ่อขุนรามคำแหง เพราะมีกระดิ่งร้องทุกข์  ซึ่งตามหลักฐานของ Kracke, Jr. รัฐที่พื้นที่ที่มีกระดิ่งร้องทุกข์ ได้แก่      จีนในราวศตวรรษที่เจ็ดหรือก่อนศตวรรษที่เจ็ด,  ชาวคีตันในศตวรรษที่เจ็ด, ญี่ปุ่นในช่วงศตวรรษที่เจ็ด, สุโขทัยในศตวรรษที่สิบสาม, อินเดียในศตวรรษที่สิบสาม, อาฟกานิสถานและเปอร์เซียในศตวรรษที่สิบสาม      

ในกรณีของอาฟกานิสถานและเปอร์เซีย ตำแหน่งผู้ปกครองในการปกครองของอาฟกานิสถานและเปอร์เซียในศตวรรษที่สิบสามนั้น เรียกว่า สุลต่าน (Sultan) และความหมายดั้งเดิมของสุลต่านตามคัมภีร์กุรอาน หมายถึง อำนาจปกครองทางศีลธรรมหรือจิตวิญญาณ (moral or spiritual authority)  ต่อมาหมายถึงอำนาจทางการเมืองการปกครอง และตั้งแต่ศตวรรษที่สิบเอ็ดหมายถึงผู้มีอำนาจการปกครองสูงสุด (sovereign) [11] และไม่มีอะไรบ่งบอกว่าการปกครองโดยสุลต่านเป็นการปกครองแบบพ่อปกครองลูก แต่สิ่งที่จะน่าจะเป็นและไม่ประหลาด คือ การที่รัฐต่างๆที่มีกระดิ่งร้องทุกข์ตามหลักฐานของ Kracke, Jr. สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ปกครองภายใต้ลักษณะการปกครองที่แตกต่างหลากหลายมีความใส่ใจต่อปัญหาความเดือดร้อนทุกข์ยาก-การไม่ได้รับความเป็นธรรมของผู้ใต้ปกครอง โดยไม่จำเป็นต้องเป็นการปกครองแบบพ่อปกครองลูก    

ดังนั้น เราควรเขียนประวัติศาสตร์ไทยสมัยสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแห่งเสียใหม่ว่า เราไม่สามารถกล่าวได้แน่นอนว่า ลักษณะการปกครองในสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหงเป็นการปกครองแบบพ่อปกครองลูก และไม่สามารถกล่าวอย่างแน่ใจว่า ลักษณะการปกครองในสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหงเป็นแบบใด  แต่ที่สามารถกล่าวได้อย่างหนักแน่นมั่นใจ คือ การปกครองในสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหง ผู้ปกครองมีความใส่ใจต่อปัญหาความเดือดร้อนทุกข์ยาก-การไม่ได้รับความเป็นธรรมของผู้ใต้ปกครอง  โดยไม่จำเป็นต้องเป็นการปกครองแบบพ่อปกครองลูก   และความใส่ใจของผู้ปกครองต่อผู้ใต้ปกครองนี้อาจกลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองที่สืบทอดยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน ที่ผู้ใต้ปกครองยังคาดหวังให้ผู้ปกครอง-พระมหากษัตริย์-รัฐบาล-นักการเมืองใส่ใจแก้ปัญหาความเดือดร้อนทุกข์ยาก-การไม่ได้รับความเป็นธรรมของพวกตน มากกว่าจะคิดแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง               

แต่ปัญหาที่ตามมาคือ  ถ้าจะถือว่าการสั่นกระดิ่งร้องทุกข์ในการปกครองสมัยพ่อขุนรามคำแหงในสมัยสุโขทัย เป็นธรรมเนียมปฏิบัติหรือวัฒนธรรมทางการเมืองในการปกครองของพระมหากษัตริย์ไทย ก็ยากที่จะเป็นที่ยอมรับได้ เพราะศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงถูกค้นพบในสมัยรัชกาลที่ 4 และการถอดความหมายในศิลาจารึกเกิดขึ้นในเวลาต่อมาภายหลัง และเผยแพร่ครั้งแรกในปาฐกถาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ทรงแสดงที่สามัคยาจารย์สมาคม เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2470    

ดังนั้น หากลักษณะการปกครองแบบพ่อขุนนรามคำแหงจะเริ่มเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ หรือวัฒนธรรมทางการเมือง ก็เพิ่งเริ่มขึ้นทางความคิดครั้งแรกในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2470  หากเพิ่งเริ่มในปี พ.ศ. 2470 และเมื่อถึงวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจจำกัด  ก็ยากที่จะกล่าวว่า ลักษณะการปกครองดังกล่าวได้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติหรือวัฒนธรรมทางการเมืองของไทยได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้นนั้น  และหากลักษณะการปกครองดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นจริงตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง คำถามคือ ทำไมไม่ปรากฏหลักฐานเรื่องการสั่นกระดิ่งร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้ปกครองในสมัยอยุธยาจนถึงต้นรัตนโกสินทร์เลย ?

                                                                                                            

เชิงอรรถ      


[1] บทความสัมภาษณ์ดังกล่าว ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ภายใต้หัวข้อ “พระมหากษัตริย์ได้ทรงวางโครงการที่จะให้มีการออกเสียงลงคะแนนเพื่อทดลองประชาธิปไตย”  ฉบับวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2474  (https://www.nytimes.com/1931/04/28/archives/suffrage-for-siam-is-planned-by-king-to-test-democracy-fatherly.html)

[2] ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ ปาฐกถาของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (ทรงแสดงที่สามัคยาจารย์สมาคม เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๐), หน้า 33-34.

[3] ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ ปาฐกถาของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (ทรงแสดงที่สามัคยาจารย์สมาคม เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๐)  ห้องสมุดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 354.593 ดล.3, หน้า 39-40.

[4] ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ ปาฐกถาของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (ทรงแสดงที่สามัคยาจารย์สมาคม เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๐), หน้า 41.


[5] ประเสริฐ ณ นคร, เรื่องประวัติศาสตร์สุโขทัยจากจารึก ปาฐกถาชุด “สิรินธร” ครั้งที่ ๔  (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย: 2531), หน้า 7.

[6] ประเสริฐ ณ นคร, เรื่องประวัติศาสตร์สุโขทัยจากจารึก ปาฐกถาชุด “สิรินธร” ครั้งที่ ๔ (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย: 2531), หน้า 14.

[7] ชาวคีตันมจากชนชาวมองโกล ที่ปกครองแมนจูเรียและส่วนหนึ่งของจีนตอนเหนือจากศตวรรษที่ 10 ถึงต้นศตวรรษที่ 12 ในสมัยราชวงศ์เหลียว https://www.britannica.com/topic/Khitan-people

[8] มีหลักฐานว่า พุทธศาสนาเริ่มเข้าสู่จีนตั้งแต่ศตวรรษที่สาม https://www.britannica.com/topic/Buddhism/Central-Asia-and-China

[9] Edward A. Kracke, Jr., “Early Visions of Justice for the Humble in East and West,”  Journal of the American Oriental Society , Oct. - Dec., 1976, Vol. 96, No. 4 (Oct. - Dec., 1976), p. 494.

[10] Edward A. Kracke, Jr., “Early Visions of Justice for the Humble in East and West,”  Journal of the American Oriental Society , Oct. - Dec., 1976, Vol. 96, No. 4 (Oct. - Dec., 1976), p. 494.

[11] https://www.britannica.com/topic/sultan-Islamic-title