การทรงศึกษาวิชาเสนาธิการทหารที่ฝรั่งเศส และเสด็จกลับผ่านสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

เสด็จประทับที่ฝรั่งเศส

ใน พ.ศ.๒๔๖๓ (พ.ศ. ๒๔๖๔ นับตามปฏิทินปัจจุบัน) สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปรับการรักษาพระองค์ ณ ประเทศฝรั่งเศส พร้อมด้วยหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระชายาใน ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๓ ระยะนั้น ฝรั่งเศสรับคนไทยเข้าเรียนวิชาทหาร จึงทรงสมัครศึกษาวิชาทหารต่อที่โรงเรียนเสนาธิการทหาร Ecole Superieurre de Guerre กรุงปารีส ฝรั่งเศส ตั้งแต่วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๕ หลักสูตร ๒ ปี ทรงใช้เวลาเตรียมพระองค์ ๑ ปี ก่อนเริ่มการเรียน รวมเวลา ๓ ปี ระหว่างทรงศึกษา ได้ทรงเช่าที่ประทับ ณ Villa Mirador เลขที่ ๓๑ Rue du Mont Valerien เมือง St. Cloud ชานกรุงปารีส

พระราชประสงค์เกี่ยวกับการเรียนตามที่ได้กราบบังคมทูลแก่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ

ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้มาตริตรองดูรู้สึกว่า ถ้าข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าเรียนจะเปนประโยชน์แก่ตนเปนอันมาก เพราะเวลานี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองไม่มีความรู้พอที่จะรับราชการทหารบกให้เป็นประโยชน์ได้จริงและเป็น Credit แก่ตน และได้คิดอยู่เนืองๆ ว่า อยากจะออกเสียจากทหารบก เพราะทำงานไม่ได้ดีสมกับความมุ่งหมาย แต่ถ้าข้าพระพุทธเจ้าได้เล่าเรียนเพิ่มเติมคงจะทำงานได้ดีขึ้นอีกเป็นอันมาก นอกจากนี้ ยังมีประโยชน์อย่างอื่น เช่น ภรรยาข้าพระพุทธเจ้าจะได้เล่าเรียนภาษาฝรั่งได้ดีจริงๆ เปนต้น. [1]

ในการฝึก ต้องทรงประจำการในกองทัพฝรั่งเศส กองพันที่ ๒๐ ที่เมืองนองซี่ (Nancy)เป็นเวลา ๖ เดือน ต้องเสด็จไปประจำหน่วยทหารต่างๆ เช่น กองทหารราบที่ ๒๖ กองพันทหารปืนใหญ่ กองพันทหารม้า เสด็จทอดพระเนตรหน่วยรบต่างๆ เช่น กองบิน กองรถถัง กองเสนาธิการ ต่อมาเสด็จไปประจำที่แวร์ซายส์ และทรงเริ่มศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหาร Ecole Superieurre de Guerre ตามกำหนดการกิจกรรมที่รัฐบาลฝรั่งเศสจัดถวาย

โรงเรียนเสนาธิการทหารฝรั่งเศสนี้ ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. ๑๘๗๖ ภายในโรงเรียนทหาร Ecole Militaire สถาบันการทหารเก่าแก่ที่สุดของฝรั่งเศส ผลิตนายทหารที่มีชื่อเสียง เช่น พระเจ้านโปเลียนที่ ๑ สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ ทรงเป็นนักเรียนนายทหารรุ่นที่ ๔๔ กลุ่มที่ ๑ ยศพันโท รุ่นนี้ มีนายทหารทั้งหมด ๑๒๘ ราย ในจำนวนนี้มี นายพล Charles de Gaulle ผู้ซึ่งต่อมาเป็นประธานาธิบดีคนสำคัญของฝรั่งเศส

ผลการศึกษาของพระองค์จัดอยู่ระดับดีถึงดีมาก วิชาที่ทรงทำคะแนนได้ดีมากคือ การวางแผนกลยุทธ์ วิชาปืนใหญ่ วิชาที่ทรงได้คะแนนน้อยที่สุดคือ ขี่ม้า พระอาจารย์สังเกตว่า ทรงมีข้อจำกัดด้านพระวรกาย จึงทำให้ทรงฝึกได้เฉพาะม้าขนาดเล็กและขี่ได้ง่ายเท่านั้น แต่ก็ยังทรงมีหลักการทรงม้าที่ถูกต้อง ทรงนิ่งและวางพระองค์ได้อย่างมั่นคง ไม่ทรงแสดงความกลัว ทรงได้รับความชื่นชมว่ามีพระสติปัญญาฉลาด สุขุม อ่อนโยน มีความรู้รอบตัวลึกซึ้ง สนพระทัยความรู้หลายด้าน ไม่เพียงเฉพาะการทหาร แต่เรื่องการเมือง สังคม เศรษฐกิจ วรรณกรรม ศาสนา รับสั่งภาษาฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่วปรีชาสามารถ ทรงปรับพระองค์ได้ดี เป็นสุภาพบุรุษที่สำรวม วางพระองค์เหมาะสม มีพระวิริยะอุตสาหะในการศึกษา

ระหว่างประทับที่ฝรั่งเศส ทรงมีความเป็นอยู่อย่างนายทหารฝรั่งเศสสามัญชน ยามว่างจะทรงขับรถชมบ้านเมืองท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ ทอดพระเนตรกีฬา เช่น การชกมวย หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระชายาก็ทรงศึกษาภาษาฝรั่งเศส

เสด็จกลับจากฝรั่งเศสผ่านสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น

หลังจากที่ทรงสำเร็จการศึกษาและทรงรับประกาศนียบัตรเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการเสมอเหมือนกับนายทหารฝรั่งเศสแล้ว สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนฯ และพระชายาได้เสด็จกลับสู่สยาม โดยเสด็จออกจากกรุงปารีสเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๗ ไปประทับเรือเลไวอายัน ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคไปยังฝั่งตะวันออกของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ การเสด็จกลับจากยุโรปด้วยเส้นทางนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ครั้งที่ยังทรงเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เคยทรงใช้มาแล้ว

เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุมฯ และพระชายาเสด็จถึงเมืองนิวยอร์คในวันที่ ๒๒ เดือนเดียวกันนั้น ปรากฏว่าระหว่างประทับอยู่ที่เมืองนั้น บรรดาสื่อมวลชนได้แสดงความสนใจในพระองค์และพระชายาและได้ติดตามรายงานตามระยะทางเสด็จอยู่เนืองๆ ครั้นวันที่ ๒๗ ได้เสด็จจากนิวยอร์คไปทรงเยือนเมืองต่างๆ เช่น ฟิลาเดลเฟีย บอสตัน บัฟฟาโล และชิคาโก เป็นต้น แล้วเสด็จโดยทางรถไฟมุ่งสู่เมืองลอสแองเจลิสทางตะวันตกของประเทศ โดยระหว่างทางเสด็จทอดพระเนตรหุบเขาแกรนด์แคนยอน ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันลือชื่อ ประทับอยู่ที่ลอสแองเจลิส ๕ วัน แล้วเสด็จทอดพระเนตรอุทยานแห่งชาติโยสมิติ (Yosemite National Park) จากนั้นเสด็จขึ้นเหนือไปยังเมืองซานฟรานซิสโก ประทับอยู่ ๓ วัน จึงเสด็จลงเรือเดินสมุทรโตโยมารูในวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๗ ไปยังประเทศญี่ปุ่น ระยะรอบเวลาในสหรัฐอเมริกาหนึ่งเดือนกว่า [2] ซึ่งน่าจะแสดงว่าทรงมีความสนพระหฤทัยในกิจการต่างๆ ที่รุดหน้าทันสมัยในประเทศนี้ซึ่งไม่เคยมาดหมายให้สยามเป็นอาณานิคมของตน และสยามได้ว่าจ้างชาวอเมริกันเป็นที่ปรึกษาการต่างประเทศต่อเนื่องมา น่าเสียดายว่ายังหาข้อมูลพระราชกรณียกิจที่สมบูรณ์ในรายละเอียดไม่ได้ อนึ่ง การเสด็จครั้งนี้เป็นการส่วนพระองค์ (private visit) แต่การรับเสด็จในทั้งสองประเทศได้เป็นไปอย่างสมพระเกียรติ

ครั้นวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ได้เสด็จถึงเมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีพระเจ้าจักรพรรดิ์ปกครองคล้ายกับของสยามในเวลานั้น ค่ำวันนั้นจึงได้เสด็จไปทรงลงพระนามเยี่ยมเคารพพระองค์พระจักรพรรดินีและพระยุพราช วันรุ่งขึ้นพระเจ้าจักรพรรดิ์โปรดให้ผู้แทนพระองค์มาเคารพตอบ ช่วงบ่ายเสด็จทอดพระเนตรวัดและศาลเจ้าดอกเบ็ญจมาศ เป็นต้น วันที่ ๒๔ เสด็จไปทรงเคารพอนุสาวรีย์ทหารที่สิ้นชีพในสงครามที่ Yasukuni Shrine ทรงปลูกต้น Sakaki ไว้เป็นที่ระลึก แล้วเสด็จเสวยพระกระยาหารกลางวันกับเสนาบดีกระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่น ผู้ได้ถวายดาบญี่ปุ่นโบราณ ๑ เล่ม (ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว) วันที่ ๒๕ กระทรวงวังของญี่ปุ่นทูลเชิญเสด็จไปทรงจับนกเป็ดน้ำที่วัง Hama Detached Palace แล้ว เสวยพระกระยาหารกลางวัน ณ ที่นั้น บ่ายเสด็จโดยรถไฟพิเศษไปยังเมืองนิกโก ประทับทอดพระเนตรเมืองนั้นอยู่จนวันที่ ๒๗ จึงเสด็จกลับสู่กรุงโตเกียว สมเด็จพระยุพราชทูลเชิญเสด็จไปเสวยพระกระยาหารกลางวันเป็นการส่วนพระองค์ที่วัง Asaka Detached Palace เสด็จออกจากกรุงโตเกียวโดยรถไฟพิเศษ ถึงเมืองเกียวโตวันที่ ๒๘ เสด็จทอดพระเนตรสถานที่ต่างๆ ครั้นเวลาค่ำ ท่านไวส์เคาต์คูโรคาทูลเชิญเสด็จเสวยพระกระยาหารญี่ปุ่น [3]

วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน เวลาค่ำ สมุหเทศาภิบาลเชิญเสด็จเสวยพระกระยาหารญี่ปุ่นอย่างหรูหรา และวันที่ ๓๐ กลางวัน นาย K. Inabata แห่งสภาหอการค้าเมืองโอซากาทูลเชิญเสด็จไปเสวยพระกระยาหารญี่ปุ่นที่บ้านส่วนตัวของเขา (เข้าใจว่าพระรูปฉลองพระองค์กิโมโน ฉายในโอกาสนี้) เสร็จแล้ว ถวายหมวกเกราะทหารญี่ปุ่นโบราณ เวลาค่ำนายโอกุราทูลเชิญเสด็จเสวยที่เกียวโตโฮเตล แล้วถวายหีบลงรักทองราคาสูง วันที่ ๑ ธันวาคม เสด็จโดยรถไฟพิเศษไปเมืองนารา แล้วเสด็จต่อไปยังเมืองโอซากา วันที่ ๓ เสด็จต่อไปเมืองชิโนโยเซกิ เมืองนางาซากิ เสด็จเมืองอุนเซนเพื่อทอดพระเนตรน้ำพุร้อน ทรงกอล์ฟบนภูเขา สมุหเทศาภิบาลถวาย toilet set (เครื่องทรงพระสำอาง) ทำด้วยกระ ๑ สำรับ คืนวันที่ ๕ ธันวาคม ประทับเรือเดินสมุทรเอมเปรสออฟเอเซียออกจากเมืองนางาซากิ นับได้ว่าได้เสด็จฯ ไปเมืองที่สำคัญๆ ในประเทศญี่ปุ่น

ในการเสด็จกลับนี้ ทรงแวะประทับแรมที่ฮ่องกง ๓ วัน แล้วเสด็จโดยเรือมันตัง (Mantan) ไปยังสิงคโปร์ ประทับที่สถานกงสุลสยามที่นั่นหนึ่งคืน จึงเสด็จโดยรถยนต์ไปยังเกาะปีนัง ประทับแรมอยู่หนึ่งคืน แล้วเสด็จโดยรถไฟกลับสู่กรุงเทพฯ เสด็จถึงในวันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ [4]

เสด็จถึงประเทศสยาม

เมื่อเสด็จถึง พระองค์ได้เสด็จเข้าปฏิบัติราชการในกองทัพบกสยามตามเดิม ในตำแหน่งปลัดกรมเสนาธิการทหารบก และเลื่อนพระยศเป็นนายพันเอก ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๖๘ ทรงรับตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลทหารบกที่ ๒ และเป็นผู้บังคับการพิเศษกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๒ [5]

อ้างอิง

  1. ศิรินันท์ บุญศิริ. (๒๕๓๗). พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. ใน กุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ, เนียนศิริ ตาละลักษมณ์, ฉวีงาม มาเจริญ, สุภรณ์ อัศวสันโสภณ, เพลินพิศ กำราญ, บุหลง ศรีกนก, . . . ประณีต นิยายลับ. พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปกมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (น. ๓-๑๑๓). (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, หน้า ๔๐.
  2. รัฐสภา. (๒๕๒๔). พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์ , หน้า ๓๘-๓๙ (ข้อมูลบางส่วนในแหล่งข้อมูลนี้เป็นข้อมูลแผนการเสด็จ จึงอาจคลาดเคลื่อนจากที่เกิดขึ้นจริงบ้าง)
  3. ราชเลขาธิการ, สำนัก. (๒๕๓๑). พระราชประวัติสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง, หน้า ๒๙-๓๑.
  4. ราชเลขาธิการ, สำนัก. (๒๕๓๑). พระราชประวัติสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง, หน้า ๓๑-๓๒.
  5. รัฐสภา. (๒๕๒๔). พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์ , หน้า ๔๒.

บรรณานุกรม

รัฐสภา. (๒๕๒๔). พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์.

ราชเลขาธิการ, สำนัก. (๒๕๓๑). พระราชประวัติสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง.

ศิรินันท์ บุญศิริ. (๒๕๓๗). พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. ใน กุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ, เนียนศิริ ตาละลักษมณ์, ฉวีงาม มาเจริญ, สุภรณ์ อัศวสันโสภณ, เพลินพิศ กำราญ, บุหลง ศรีกนก, . . . ประณีต นิยายลับ. พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปกมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (น. ๓-๑๑๓). (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.