การคัดค้านการเลือกตั้ง
ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ
ความนำ
ในการเลือกตั้งเมื่อความปรากฎภายหลังการเลือกตั้งว่าการเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรมก็ควรเปิดโอกาสให้มีกระบวนการตรวจสอบเพื่อให้การใช้อำนาจอธิปไตยเป็นไปตามเจตนารมณ์ของระบอบประชาธิปไตย การคัดค้านการเลือกตั้งก่อนที่จะมีคณะกรรมการการเลือกตั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุทธศักราช_2534 กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้แก่ พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร_พ.ศ._2522 โดยกฎหมายกำหนดให้ “ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอ” มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบการเลือกตั้งเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและยุติธรรม[1] ในการสอบสวนคดีความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอ แล้วแต่กรณีมีอำนาจสั่งการและควบคุมการสอบสวนคดี[2] เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศผลการเลือกตั้งของเขตเลือกตั้งใด ผู้เลือกตั้ง ผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง ซึ่งสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นเห็นว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น หรือเห็นว่าการที่บุคคลใดได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาขิกสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นไปโดยมิชอบ ก็มีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านต่อ “ศาลจังหวัด” ที่เขตเลือกตั้งนั้นตั้งอยู่หรือต่อ “ศาลแพ่ง” สำหรับกรุงเทพมหานครภายใน 30 วัน หรือ ภายใน 120 วันนัยแต่วันประกาศผลการเลือกตั้งเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่[3] เมื่อศาลจังหวัดหรือศาลแพ่งได้รับคำร้องคัดค้านแล้วให้ทำความเห็นและส่งสำนวนไปยัง “ศาลฎีกา” เพื่อวินิจฉัยและให้ให้มีอำนาจสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขตเลือกตั้งนั้น หรือสั่งยกคำร้องคัดค้านเสีย[4] เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งอย่างใดแล้วให้ส่งสำเนาคำสั่งไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเพื่อแจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร และรัฐสมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยทราบ[5] ภายหลังเมื่อมีคณะกรรมการการเลือกตั้งเกิดขึ้น อำนาจในการตรวจสอบการเลือกตั้งจึงถูกถ่ายโอนจากผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอมายังองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญทำหน้าที่ต่อไป
การคัดค้านการเลือกตั้ง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้กำหนดระบบการตรวจสอบความสุจริตและเที่ยงธรรมของการเลือกตั้งไว้ 2 ขั้นตอน คือ ในกระบวนการขั้นตอนที่ยังไม่มีการประกาศผลการเลือกตั้ง และขั้นตอนภายหลังประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว รายละเอียดมีดังนี้
1) ก่อนที่จะประกาศผลการเลือกตั้ง
เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งสืบสวนหรือไต่สวนและมีหลักฐานพบว่ามีการกระทำที่มีลักษณะเป็นการทุจริต หรือทำให้การเลือกตั้งหรือการเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจอำนาจในการสั่งระงับ ยับยั้ง แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกการเลือกตั้ง และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ในหน่วยเลือกตั้งบางหน่วย หรือทุกหน่วย[6] รวมถึงอำนาจในการสั่งระงับการใช้สิทธิของผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้เป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลาไม่เกินหนึ่งปี[7] โดยคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้งถือเป็นที่สุด[8]
2) ภายหลังประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว
คณะกรรมการการเลือกตั้งมีหน้าที่ประกาศผลการเลือกตั้งเมื่อได้ทำการตรวจสอบแล้วมีเหตุอันควรเชื่อว่าผลการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ภายใต้เงื่อนไขจะต้องรู้ผลการเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของเขตเลือกตั้งทั้งหมดจึงจะประกาศได้ โดยมีระยะเวลาการตรวจสอบและประกาศผลไม่ช้ากว่า 60 วันนับแต่วันเลือกตั้ง ทั้งนี้ แม้จะมีการประกาศผลการเลือกตั้งไปแล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้งยังคงมีหน้าที่และอำนาจในการสืบสวน ไต่สวนการกระทำทุจริตในการเลือกตั้งต่อไป[9] จึงเป็นการเพิ่มหน้าที่และอำนาจให้แก่คณะกรรมการการเลือกตั้งในการประกาศผลการเลือกตั้งจะอาศัยเพียงการไม่มีผู้ใดร้องเรียนแล้วประกาศผลการเลือกตั้งดังที่เคยปฏิบัติมามิได้อีกต่อไป
เมื่อมีการประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว ตรวจพบหลักฐานการทุจริตในการเลือกตั้ง ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคําร้องต่อ “ศาลฎีกา” เพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น[10] ทั้งนี้ หากเข้าหลักเกณฑ์ที่ต้องเลือกตั้งใหม่เพราะเหตุที่การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ภายในหนึ่งปีหลังจากวันเลือกตั้งอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ให้นำหลักการคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละพรรคการเมืองพึงมีในเขตเลือกตั้ง และคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคการเมืองพึงได้รับตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[11]
ผู้มีสิทธิยื่นคัดค้านการเลือกตั้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง
เมื่อตรวจสอบพบการกระทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรม กฎหมายของประเทศไทยเปิดโอกาสให้บุคคลที่เกี่ยวข้องสามารถยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ทำการสืบสวน ไต่สวนต่อไปได้ โดยบุคคลที่มีสิทธิยื่นคัดค้าน ได้แก่[12]
- ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
- ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
- พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้าน คือ[13]
- ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าสิบคน
- ผู้สมัครสมาชิกสภาท้องถิ่น
- ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือนายอำเภอในเขตเลือกตั้ง
ระยะเวลาในการยื่นคัดค้านการเลือกตั้ง
1) การคัดค้านการเลือกตั้งทั่วไปอาจยื่นได้ตั้งแต่วันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันเลือกตั้งจนถึงสามสิบวันนับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้ง
2) การคัดค้านเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนดให้ยื่นได้ตั้งแต่วันเลือกตั้งจนถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้ง
3) การคัดค้านเกี่ยวกับการนับคะแนนให้คัดค้านในระหว่างเวลาที่ยังนับคะแนนไม่แล้วเสร็จหรือในกรณีคัดค้านการรวมคะแนน ให้คัดค้านก่อนประกาศผลการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง
4) การคัดค้านในกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งให้มีการนับคะแนนใหม่ ให้ยื่นภายในสามสิบวันนับแต่วันประกาศผลนับคะแนนใหม่
ขั้นตอนการดำเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อได้รับคำคัดค้าน
เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับคําคัดค้านการเลือกตั้งให้ดำเนินการสืบสวนหรือไต่สวนเพื่อหาข้อเท็จจริงโดยพลัน และพิจารณาดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงภายหลังการประกาศผลการเลือกตั้งแล้วพบว่ามีการดำเนินการที่ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรมให้ยื่นเรื่องต่อศาลฎีกา เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา ถ้าผู้ถูกกล่าวหาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา ให้ผู้นั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษาว่าผู้นั้นมิได้กระทำความผิด เพื่อมิให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาใช้อำนาจของตนเข้าแทรกแซงการพิจารณาหรือกระทำการอันใดอันเป็นการขัดขวางการพิจารณาได้ และเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าผู้นั้นกระทำความผิดให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นสิ้นสุดลงนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่[14] ทั้งนี้ การยื่นคําคัดค้านการเลือกตั้งและการพิจารณาให้เป็นไปตามวิธีการที่คณะกรรมการกำหนดตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561
บทสรุป
การดำเนินการคัดค้านการเลือกตั้งที่เป็นไปโดยไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรมภายใต้กฎหมายภายในของประเทศไทย เปิดโอกาสให้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้นในการยื่นคำคัดค้านการเลือกตั้งในครั้งนั้น โดยกฎหมายมอบหน้าที่และอำนาจหลักในการพิจารณาตรวจสอบการเลือกตั้งให้แก่คณะกรรมการการเลือกตั้งเท่านั้น ดังนั้น ประชาชนทั่วไปที่ตรวจพบว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นไปโดยทุจริตและไม่เที่ยงธรรม ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายรองรับให้ยื่นเรื่องคัดค้านการเลือกตั้งโดยตรงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งคงทำได้เพียงการแจ้งเรื่องร้องเรียนเพื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้งทำหน้าที่ในการสอบสวนและตรวจสอบอีกครั้ง ข้อน่าพิจารณาในประเด็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งในด้านระยะเวลาในการดำเนินการสืบสวนการเลือกตั้งว่าเป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรมหรือไม่ภายหลังประกาศผลการเลือกตั้งไปแล้ว และหากตรวจสอบการเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่สุจริต คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจยื่นเรื่อ่งต่อศาลฎีกาได้ แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายกำหนดระยะเวลาในการทำหน้าที่ดังกล่าวของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ส่งผลต่อความมั่นคงในการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อาจถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งในช่วงเวลาใดก็ได้[15]
บรรณานุกรม
ฐากูร ศิริยุทธ์วัฒนา. การคัดค้านผลการเลือกตั้งโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง. วารสารนิติศาสตร์ ฉบับที่ 47 : 4(ธันวาคม 2561). หน้า 970 – 990.
ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 134/ตอนที่ 40 ก/ 6 เมษายน 2560. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 120/ตอนที่ 6 ก/หน้า 89/17 มกราคม 2546. ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2546
ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 135/ตอนที่ 68 ก/12 กันยายน 2561. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561
อ้างอิง
[1] มาตรา 15 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522
[2] มาตรา 16 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522
[3] มาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522
[4] มาตรา 79 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522
[5] มาตรา 80 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522
[6] มาตรา 224(3) แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
[7] มาตรา 224(4) แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
[8] มาตรา 225 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
[9] มาตรา 85 วรรคท้าย แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
[10] มาตรา 226 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
[11] มาตรา 94 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
[12] มาตรา 140 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561
[13] ข้อ 3 แห่งระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2546
[14] มาตรา 226 วรรคสี่ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
[15] ฐากูร ศิริยุทธ์วัฒนา, การคัดค้านผลการเลือกตั้งโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง, วารสารนิติศาสตร์ ฉบับที่ 47 : 4 (ธันวาคม 2561), หน้า 979.