8 ตุลาคม พ.ศ. 2488
ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
วันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2488 เป็นวันที่ประกาศใช้กฎหมายอาชญากรสงคราม ตอนนั้นสงครามเลิกกันใหม่ ๆ ร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2488 หลังจาก ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้เพียง 10 วันเท่านั้นเอง เหตุผลที่เสนอร่างกฎหมายฉบับนี้เข้ามานั้นก็อ้างว่าอาชญากรสงครามเป็นภัยร้ายแรงต่อสันติภาพและความสงบในโลก และต้องการให้บุคคลที่ทำผิดในเรื่องนี้ได้รับโทษตามควรแก่ที่ได้ทำมา แม้จะดูว่าเป็นเรื่องดีมุ่งหวังที่จะลงโทษผู้ทำผิดที่ก่อกรรมต่อความสงบสุข แต่ก็มีผู้คัดค้านโดยเหตุผลของผู้คัดค้านนั้นเห็นว่ากฎหมายนี้ออกมากำหนดความผิดย้อนหลัง อันเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ หากแต่เสียงของฝ่ายที่ค้านเป็นเสียงฝ่ายข้างน้อย
ประเทศไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นก็ตกที่นั่งลำบากอยู่พอสมควรเพราะนอกจากรัฐบาลไทยจะคบค้ากับญี่ปุ่นจนยอมให้ทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไทยแล้ว ประเทศไทยยังประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตรอีกด้วยดีแต่ว่ายังมีกลุ่มคนไทยอีกฝ่ายหนึ่งที่รวมตัวกันตั้งขบวนการเสรีไทยที่มีทั้งภายในและภายนอกประเทศดำเนินการต่อต้านญี่ปุ่นและร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร ดังนั้นถึงแม้ไทยจะไม่ใช่ประเทศผู้ชนะสงครามร่วมไปกับประเทศพันธมิตร ไทยก็มิได้เป็นประเทศที่แพ้สงคราม
กฎหมายอาชญากรสงครามนี้ก็น่าจะมีเป้าหมายเพื่อดำเนินคดีกับคนไทยที่ทำผิดและเป็นอาชญากรสงคราม จะได้ดำเนินคดีได้ในศาลยุติธรรมของไทย หลังจากมีกฎหมายฉบับนี้แล้วก็ได้มีการดำเนินคดีกับนักการเมืองสำคัญของไทยหลายคนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยที่ญี่ปุ่นบุกไทย เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 และเป็นผู้ที่ยอมร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่นทั้งยังเป็นนายกรัฐมนตรีที่ประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตรด้วย
หลังจากการประกาศใช้กฎหมายอาชญากรสงคราม พ.ศ. 2488 แล้ว จอมพล ป.พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรีกับบุคคลอื่นอีกหลายคนได้ถูกจับกุมคุมขังและถูกดำเนินคดียังศาลยุติธรรม แต่ท้ายที่สุดในเดือนเมษายน พ.ศ. 2489 ศาลฎีกาได้ตัดสินว่าพระราชบัญญัติอาชญากรสงครามเป็นโมฆะ เพราะบัญญัติให้ลงโทษแต่การกระทำที่ได้กระทำไปก่อนที่จะมีกฎหมายนี้ จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจำเลยที่ถูกนำฟ้องข้อหาว่าเป็นอาชญากรสงคราม จึงถูกปล่อยตัวพ้นผิด