ระบบการเมืองแบบสองพรรค

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:39, 29 มิถุนายน 2554 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง ชัยวัฒน์ ม่านศรีสุข และ รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


ระบบการเมืองที่มีพรรคการเมืองขนาดใหญ่สองพรรคที่พรรคการเมืองหนึ่งในสองพรรคได้รับชัยชนะเสียงข้างมากเด็ดขาด (majority) ในการเลือกตั้งทั่วไป เป็นพรรคเสียงข้างมากที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ในขณะที่อีกพรรคหนึ่งจะเป็นพรรคเสียงข้างน้อยและทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านทำหน้าที่หลักในการตรวจสอบในรัฐสภา

ตัวอย่างคลาสิกที่สุดของประเทศที่มีระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคได้แก่ ระบบพรรคการเมืองในประเทศแองโกล-อเมริกัน (Anglo-American) และการเมืองในระดับมลรัฐในหลายมลรัฐของสหรัฐอเมริกาก็มีลักษณะใกล้เคียงกับระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคเช่นกัน[1] ในประเทศอังกฤษเป็นระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1935-1970 อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 1970 เป็นต้นมาความเข้มแข็งของพรรคการเมืองที่สามในการเลือกตั้งทั่วไปเริ่มปรากฎขึ้น พรรคการเมืองที่สามเริ่มได้ที่นั่งในรัฐสภามากขึ้นและส่งผลให้สามารถมีอิทธิพลในทางการเมืองมากขึ้น ปรากฎการณ์ดังกล่าวนี้ส่งผลให้นักวิเคราะห์การเมืองจัดให้ระบบพรรคการเมืองของอังกฤษเป็นระบบสองพรรคครึ่ง (two-and-a-half party system)[2] นอกจากสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาแล้ว ประเทศอื่นที่มีระบบพรรคการเมืองที่จัดเป็นระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคประกอบไปด้วย สเปน โปรตุเกส โคลัมโบ คอสตาริก้า ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น

สาเหตุของการเกิดขึ้นของระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรค

แบ่งออกเป็นอย่างน้อย 2 สาเหตุคือ

ประการแรก ระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคเป็นผลมาจากการแบ่งขั้วทางการเมืองระหว่างพรรคการเมืองที่ยึดอุดมการณ์ฝ่ายขวาและอุดมการณ์ฝ่ายซ้าย เช่น Tories และ Labour ในสหราชอาณาจักร และ Republican และ Democrat ในสหรัฐอเมริกา[3]

ประการที่สอง การเกิดขึ้นของระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคเป็นผลจากระบบเลือกตั้งซึ่งกีดกันพรรคการเมืองที่สามหรือพรรคการเมืองขนาดเล็กอื่นๆ ระบบเลือกตั้งที่มีผลอย่างมากต่อการเกิดขึ้นของระบบพรรคการเมืองแบบนี้คือระบบเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากอย่างง่าย (simple majority/plurality) หรือระบบที่ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดได้ที่นั่งไปทั้งหมด (first-past-the-post system) ตามข้อเสนอของนักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส Maurice Duverger ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า “กฎของดูเวอร์เจอร์” (Duverger’s Law) เสนอว่า การใช้ระบบเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากอย่างง่ายกับเขตเลือกตั้งขนาดเล็กหรือเขตเดียวคนเดียว (single-member district) จะนำไปสู่ระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรค เนื่องจากภายใต้ระบบการเลือกตั้งแบบนี้ ผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุดในเขตเลือกตั้งจะได้ที่นั่งนั้นไปโดยไม่จำเป็นต้องได้รับเสียงข้างมาก (majority) หรือคะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่งในการเลือกตั้ง ดังนั้น จำนวนที่นั่งที่พรรคการเมืองได้ไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับคะแนนเสียงที่แท้จริงที่พรรคการเมืองนั้นได้รับในการเลือกตั้ง ผลที่เกิดขึ้นคือสภาวะการที่พรรคการเมืองที่ได้รับชัยชนะจะได้จำนวนที่นั่งเกินจริง (over-represent) เมื่อเทียบกับสัดส่วนของคะแนนเสียงทั้งหมดในการเลือกตั้งครั้งนั้น ขณะที่พรรคการเมืองที่เหลือจะได้จำนวนที่นั่งน้อยเกินจริง (under-represent)[4] สภาวะดังกล่าวนี้เนื่องจากคะแนนของผู้สมัครคนอื่นที่ไม่ใช่ผู้ชนะจะมีลักษณะเหมือนกับถูกละเลยความสำคัญไป ซึ่งจะต่างจากระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนที่นำเอาคะแนนทั้งหมดที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคได้รับเพื่อนำมาคิดสัดส่วนเปรียบเทียบระหว่างคะแนนเสียงที่ได้รับกับจำนวนที่นั่งที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคจะได้รับในการเลือกตั้งนั้น[5]

ดูเวอร์เจอร์เชื่อว่า สภาวะที่เกิดขึ้นภายใต้การคิดคะแนนของระบบเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากอย่างง่ายจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้พรรคการเมืองที่มีจุดยืนใกล้เคียงกันตัดสินใจในเชิงยุทธศาสตร์ที่จะรวมเข้าด้วยกันเพื่อความอยู่รอดและเพื่อเป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในการเลือกตั้ง เพราะคะแนนของพรรคการเมืองขนาดเล็กทั้งหมดเมื่อรวมกันในระดับชาติแล้วอาจมีจำนวนสูงมากพอสมควร แต่เมื่อเทียบกับจำนวนที่นั่งที่ได้รับในรัฐสภาแล้วน้อยเกินจริง ดังนั้นหากพรรคการเมืองขนาดเล็กไม่รวมตัวกันก็จะถูกระบบดังกล่าวกำจัดออกไป

อย่างไรก็ตาม ดูเวอร์เจอร์ก็มิได้เสนอว่าระบบเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากอย่างง่าย หรือระบบที่ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดได้ที่นั่งไปทั้งหมดจะทำให้เกิดระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคอย่างสมบูรณ์ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ปรากฎว่ามีตัวอย่างของประเทศที่มิได้เป็นไปตามคำอธิบายของกฎของดูเวอร์เจอร์ เช่น ในกรณีของสหราชอาณาจักร พรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party) ตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 2005 ได้กลายสภาพเป็นพรรคการเมืองที่สาม และส่งผลให้สหราชอาณาจักรกลายเป็นระบบสามพรรค ในกรณีของแคนาดา พรรคประชาธิปไตยใหม่ (New Democratic Party) ได้กลายเป็นพรรคการเมืองที่สามตั้งแต่ ค.ศ. 1961 หรืออย่างในกรณีของประเทศอินเดียซึ่งมีพรรคการเมืองในระดับภูมิภาคหลายพรรค6 เพราะดูเวอร์เจอร์เองได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ระบบเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถส่งผลให้ระบบพรรคการเมืองเกิดขึ้นได้ เพียงแต่ว่าระบบเลือกตั้งมีอิทธิพลต่อทิศทางของการก่อตัวของระบบพรรคการเมือง7

แน่นอนว่า ข้อดีประการสำคัญของระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคได้แก่การทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพเนื่องจากรัฐบาลเป็นรัฐบาลพรรคการเมืองเดียว ไม่ใช่รัฐบาลผสม อย่างไรก็ตาม สภาวะของระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคอาจกลายสภาพเป็นระบบพรรคเดี่ยวครอบงำทางการเมืองได้เมื่อพรรคการเมืองใหญ่อีกพรรคหนึ่งอ่อนแอลง

อ้างอิง

  1. David Robertson, A Dictionary of Modern Politics, 2nd Edition, (London: Europa Publications Limited, 1993), p. 471
  2. Alan Ware, Political Parties and Party Systems, (New York: Oxford University Press, 1996), p. 154
  3. “Two-party system” (Retrieved from http://en.wikipedia.org/wiki/Two-party_system 26 November 2008 )
  4. Maurice Duverger, “Factors in a Two-party and Multi-party System,” in Party Politics and Pressure Groups, (New York: Thomas Y. Crowell, 1972), pp. 23-32 (retrieved from http://www.janda.org/c24/Readings/Duverger/Duverger.htm 26 November 2008)
  5. “Two-party system” (Retrieved from http://www.nationmaster.com/encyclopedia/Two_party-system 1 December 2008)