บันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม
ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศุทธิกานต์ มีจั่น ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ดร.สติธร ธนานิธิโชติ บันทึกความเข้าใจร่วมกัน ('MOU') เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม บันทึกความเข้าใจร่วมกัน (Memorandum of Understanding : MOU) หมายถึง การจัดทำหนังสือโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแสดงความสมัครใจจะปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด และตามเงื่อนไขที่ปรากฏอยู่ในหนังสือนั้นกับอีกฝ่ายหนึ่ง โดยหนังสือไม่ได้เป็นสัญญาผูกมัด แต่แสดงความต้องการอันแน่วแน่ของผู้ลงนามว่าจะปฏิบัติดังที่ได้ระบุไว้ และอีกฝ่ายหนึ่งก็มีความเข้าใจเดียวกัน หากฝ่ายใดมิได้ปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่สามารถฟ้องร้องในคดีได้[1] ทั้งนี้ การจัดทำบันทึกความเข้าใจร่วมกัน หรือ MOU เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม (Coalition Government) ถือเป็นกลไกในการสร้างแนวร่วมทางการเมือง หรือจัดตั้งรัฐบาลผสมในลักษณะร่างสัญญาที่ครอบคลุมวาระทั้งในเชิงนโยบายและแนวทางการทำงานร่วมกัน ตลอดจนเป็นเครื่องมือในการการกำกับดูแลการทำงานร่วมกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ดังที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ อาทิ สาธารณรัฐเคนยาที่ใช้การลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการสร้างจรรยาบรรณการเลือกตั้งและยุติเหตุการณ์ความรุนแรง รวมทั้งยังเป็นจุดกำเนิดของการจัดตั้งรัฐบาลผสมในแอฟริกา ในขณะที่ประเทศมาเลเซียใช้บันทึกความเข้าใจร่วมกันเป็นกลไกของแนวร่วมพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุนรัฐบาลผสมให้เกิดเสถียรภาพในการทำหน้าที่รัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำข้อตกลงที่จะลงคะแนนเสียงให้กับรัฐบาลหรืองดเว้นการออกเสียงเมื่อมีการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ รวมทั้งให้การสนับสนุนรัฐบาลในบางด้าน เช่น การสนับสนุนร่างงบประมาณรายจ่าย เป็นต้น ในขณะที่ประเทศนิวซีแลนด์มีการทำข้อตกลงความร่วมมือระหว่างพรรคแรงงานกับพรรคกรีนเพื่อจัดตั้งรัฐบาล (Cooperation Agreement)[2] โดยพรรคกรีนจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม และด้านความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กและชุมชน นอกจากนี้พรรคกรีนจะให้การสนับสนุนรัฐบาลที่นำโดยพรรคแรงงานในกระบวนการต่าง ๆ ทางรัฐสภา เพื่อเสริมความเข้มแข็งในการทำงานของรัฐบาลและการนำในรัฐสภาที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
ภาพ : การลงนามความร่วมมือระหว่างพรรคแรงงานและพรรคกรีนในการจัดตั้งรัฐบาลผสมของนิวซีแลนด์ในปี ค.ศ. 2020[3]

อย่างไรก็ดี ในกรณีของไทยนั้น การลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสมเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งที่ผ่านมาสิ่งที่เป็นการรับประกันความเป็นปึกแผ่นของรัฐบาลผสม มีเพียง "การให้สัตยาบัน" เท่านั้น โดยยังไม่เคยมีครั้งใดที่การหารือระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลจะลงเอยด้วยการลงนามในบันทึกความเข้าใจอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร[4] ทั้งนี้ การลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกันที่เกิดขึ้นได้รับความสนใจในสังคมการเมืองไทยในปี พ.ศ. 2566 โดยหลังการแถลงผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างไม่เป็นทางการของคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ในวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ได้แถลงการจัดตั้งรัฐบาลและแนวนโยบายต่าง ๆ ที่ได้หาเสียงไว้ไปหารือกับอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม ซึ่งจะร่วมมือกันในการจัดตั้งรัฐบาลด้วยการสร้างวิธีการและบรรทัดฐานใหม่ในการเมืองไทยโดยการลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสมระหว่าง 8 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคก้าวไกล (151 ที่นั่ง) ในฐานะพรรคที่ได้รับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นจำนวนมากที่สุด รองลงมา คือ พรรคเพื่อไทย (141 ที่นั่ง), พรรคประชาชาติ (9 ที่นั่ง), พรรคไทยสร้างไทย (6 ที่นั่ง), พรรคเพื่อไทรวมพลัง (2 ที่นั่ง), พรรคเสรีรวมไทย (1 ที่นั่ง), พรรคเป็นธรรม (1 ที่นั่ง) และพรรคพลังสังคมใหม่ (1 ที่นั่ง) โดยมีจำนวนผู้แทนราษฎรรวมกันทั้งสิ้น 312 คน จากผลการเลือกตั้งและประกาศจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน[5] โดยมีการลงนามในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ในเวลาเดียวกันกับการประกาศรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อ 9 ปีก่อน ท่ามกลางคำถามถึงท่าทีต่อนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ภาพ : 8 พรรคการเมืองลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม[6]

เนื้อหาและสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจร่วมกัน('MOU') เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม 8 พรรค ภายหลังจากถกเถียงดังที่กล่าวมา ในท้ายที่สุดได้นำไปสู่การแถลงข่าวและลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อสร้างพื้นฐานในการจัดตั้งรัฐบาลและทำงานร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาล ระหว่าง 8 พรรคการเมือง ทุกพรรคเห็นร่วมกันว่าภารกิจของรัฐบาลที่ทุกพรรคจะผลักดันนั้น ต้องไม่กระทบต่อรูปแบบของรัฐ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์ ประกอบไปด้วยวาระร่วมที่ระบุไว้ในบันทึกข้อตกลง ซึ่งเป็นวาระและนโยบายที่ทุกพรรคเห็นตรงกัน พร้อมผลักดันร่วมกันผ่านกลไกบริหารและนิติบัญญัติ และพร้อมรับผิดชอบร่วมกัน ดังต่อไปนี้ (1) ฟื้นฟูประชาธิปไตย รวมถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับของประชาชนให้เร็วที่สุด โดยมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน (2) ยืนยันและผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพื่อรับประกันสิทธิสมรสสำหรับคู่รักทุกเพศ โดยจะไม่บังคับประชาชนที่เห็นว่าขัดแย้งกับหลักการของศาสนาที่ตนเองนับถือ (3) ผลักดันการปฏิรูประบบราชการ ตำรวจ กองทัพ และกระบวนการยุติธรรมให้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย โดยยึดหลักความโปร่งใส ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน (4) เปลี่ยนการเกณฑ์ทหารแบบบังคับเป็นระบบสมัครใจ ทั้งนี้ยังคงไว้ซึ่งการเกณฑ์ทหารยามศึกสงคราม (5) ร่วมผลักดันกระบวนการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยคำนึงถึงหลักการด้านสิทธิมนุษยชน การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมถึงทบทวนภารกิจของหน่วยงานและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคง (6) ผลักดันการกระจายอำนาจทั้งในแง่ภารกิจและงบประมาณ เพื่อให้ท้องถิ่นตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ ปราศจากการทุจริต (7) แก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันโดยการสร้างระบบและวัฒนธรรมรัฐโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลรัฐในทุกหน่วยงาน (8) ร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยยึดหลักเพิ่มรายได้ประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างเป็นธรรม (9) ยกเครื่องกฎหมายเกี่ยวกับการทำมาหากินและการดำรงชีวิตของประชาชน เช่น ตัด ลด หรือพักใช้ชั่วคราวซึ่งการอนุมัติ อนุญาตที่ไม่จำเป็นและเป็นอุปสรรคเพื่อปรับปรุงใหม่ ให้ความช่วยเหลือสภาพคล่องทางด้านการเงินและสร้างแต้มต่อให้กับ SME พร้อมกับมุ่งเน้นการเติบโต GDP ของ SME สนับสนุนอุตสาหกรรม และสินค้าไทยให้มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ (10) ยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมในทุกอุตสาหกรรม เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยพรรคประชาชาติขอสงวนสิทธิในการไม่เห็นด้วยเฉพาะอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยเหตุผลด้านศาสนา (11) ปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ ด้วยการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม แก้ปัญหาแนวเขตป่าไม้และที่ดินของรัฐที่ทับซ้อนกับที่ดินของประชาชน รวมถึงการทบทวนคดีที่เป็นผลจากนโยบายทวงคืนผืนป่า (12) ปรับปรุงโครงสร้างการผลิตไฟฟ้า การคำนวณราคาและกำลังการผลิตที่เหมาะสม เพื่อลดค่าครองชีพประชาชนและสร้างความมั่นคงทางพลังงาน (13) จัดทำงบประมาณแบบใหม่ โดยเน้นใช้วิธีการจัดงบประมาณฐานศูนย์ (zero-based budgeting) (14) สร้างระบบสวัสดิการดูแลประชาชนตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงวัย โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและภาระทางการคลังระยะยาว (15) แก้ไขปัญหายาเสพติดโดยเร่งด่วน (16) นำกัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษผ่านการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยมีกฎหมายควบคุมและรองรับการใช้ประโยชน์จากกัญชา (17) ส่งเสริมเกษตรและปศุสัตว์ปลอดภัย ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มการเข้าถึงตลาด เทคโนโลยีและแหล่งน้ำ สร้างความเข้มแข็งของกลุ่มเกษตรกรเพื่อวางแผนการผลิตและรักษาผลประโยชน์เกษตรกร ส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเพื่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ (18) แก้ไขกฎหมายประมง ขจัดอุปสรรค เยียวยา ฟื้นฟู และพัฒนาอาชีพประมงให้ยั่งยืน (19) ยกระดับสิทธิแรงงานทุกอาชีพให้มีสภาพการจ้างงานที่เป็นธรรม และได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมสอดคล้องกับค่าครองชีพและการเติบโตทางเศรษฐกิจ (20) ยกระดับระบบสาธารณสุขเพื่อทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพทั้งการส่งเสริม การป้องกัน การรักษา และการฟื้นฟูสุขภาพ (21) ปฏิรูประบบการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (22) สร้างความร่วมมือและกลไกภายในและระหว่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นพิษ รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) โดยเร็วที่สุด (23) ดำเนินการนโยบายการต่างประเทศ โดยการฟื้นฟูบทบาทผู้นำของไทยในอาเซียนและเวทีระหว่างประเทศตามกรอบความร่วมมือต่าง ๆ โดยเฉพาะกรอบความร่วมมือพหุภาคีรวมถึงรักษาสมดุลการเมืองระหว่างประเทศของไทยกับประเทศมหาอำนาจ ทั้งนี้ พรรคร่วมทั้ง 8 พรรค ยังเห็นพ้องกันใน 5 แนวทางทางการปฏิบัติในการบริหารประเทศดังต่อไปนี้ (1) ทุกพรรคจะคุ้มครองสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของประชาชนทุกคน (2) ทุกพรรคจะทำงานโดยซื่อสัตย์สุจริต หากมีบุคคลของพรรคใดมีพฤติกรรมทุจริต คอร์รัปชัน ทุกพรรคจะยุติการดำรงตำแหน่งของบุคคลนั้น ๆ ทันที (3) ทุกพรรคจะทำงานโดยให้เกียรติซึ่งกันและกัน จริงใจต่อกัน สนับสนุนการทำงานซึ่งกันและกัน โดยยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งมากกว่าผลประโยชน์ของพรรคใดพรรคหนึ่ง (4) ทุกพรรคมีสิทธิในการผลักดันนโยบายอื่นเพิ่มเติม แต่ไม่ขัดแย้งจากนโยบายในบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาลฉบับนี้ โดยอาศัยอำนาจฝ่ายบริหารของรัฐมนตรีที่เป็นตัวแทนของแต่ละพรรคการเมือง (5) ทุกพรรคมีสิทธิในการผลักดันนโยบายอื่นเพิ่มเติมแต่ไม่ขัดแย้งจากนโยบายในบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาลฉบับนี้ โดยอาศัยอำนาจนิติบัญญัติของผู้แทนราษฎรที่สังกัดแต่ละพรรคการเมือง
ภาพ : แสดงบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาลผสม 8 พรรค[7]