การเสวนาหาฉันทามติ (Consensus Conference)

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:07, 17 กุมภาพันธ์ 2566 โดย Trikao (คุย | ส่วนร่วม)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิชุดา สาธิตพร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต

 

การเสวนาหาฉันทามติ (Consensus Conference)

          การเสวนาหาฉันทามติเป็นกระบวนการปรึกษาหารือสาธารณะที่พัฒนาขึ้นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาในช่วงทศวรรษที่ 1960 เพื่อนำไปใช้แก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวเวชศาสตร์ (biomedical technology) และมีการนำกระบวนการที่พัฒนาขึ้นนี้ไปใช้ครั้งแรกโดยหน่วยงานด้านบริการสาธารณสุข อย่างไรก็ตาม การเสวนาหาฉันทามติได้ถูกพัฒนาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นโดยคณะกรรมการเทคโนโลยีของประเทศเดนมาร์ก (Danish Board of Technology) และมีการนำไปศึกษาต่อยอดโดยสถาบันวิชาการด้านวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Academy of Science) ของประเทศเดนมาร์กในเวลาต่อมา[1]

          รูปแบบของการเสวนาหาฉันทามติที่ใช้ในประเทศเดนมาร์กเป็นการจัดเวทีสาธารณะในรูปแบบงานสัมมนาเป็น ระยะเวลา 3 วัน อย่างไรก็ตาม ก่อนถึงวันสัมมนาดังกล่าว จะต้องมีกระบวนการศึกษาเรียนรู้และจัดเตรียมข้อมูลโดยการนำตัวแทนของประชาชนที่ได้จากการสุ่มเลือก 14 คน มาเป็นคณะบุคคลภาคพลเมือง (citizen panelists) ในกระบวนการได้มาซึ่งคณะบุคคลภาคพลเมืองนี้ จะเริ่มต้นจากการส่งจดหมายเชิญไปยังประชาชนผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,000 คน ก่อนที่จะทำการสุ่มเลือกคณะบุคคลภาคพลเมืองที่ต้องการจากประชาชนที่ตอบรับคำเชิญเข้ามา[2]

          ภารกิจสำคัญของคณะบุคคลภาคพลเมืองคือการประชุมร่วมกันอย่างน้อย 2 ครั้งในช่วงสุดสัปดาห์ เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจประเด็นเชิงเทคนิคที่มีความซับซ้อนยุ่งยาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการประเมินผลการใช้เทคโนโลยี (Technology Assessment) นโยบายด้านวิทยาศาสตร์ และผลกระทบของการใช้เทคโนโลยีและนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ดังกล่าวต่อสังคมในวงกว้าง[3]

          ในการสัมมนากระบวนการในวันแรกจะเริ่มต้นจากการนำเสนอข้อมูลโดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับเชิญมาเพื่อให้ข้อมูลความรู้แก่คณะบุคคลพลเมือง ซึ่งโดยทั่วไปจะมีราว 13-15 คน จากนั้นในวันที่สองจะเป็นการประชุมร่วมกันระหว่างคณะบุคคลภาคพลเมืองกับผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับเชิญมาเพื่อให้ข้อมูลความรู้แก่คณะบุคคลพลเมืองในเวทีถาม-ตอบ (question-and-answer sessions)  ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมรับฟังได้ จากนั้นคณะบุคคลภาคพลเมือง จะไปพูดคุยถกเถียงเกี่ยวกับข้อมูลต่าง ๆ เพื่อพิจารณาข้อดี-ข้อเสียของทางเลือกเชิงนโยบายต่าง ๆ ก่อนที่จะนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อผู้กำหนดนโยบายในรูปรายงานฉบับสมบูรณ์[4]

          การเสวนาหาฉันทามติในเดนมาร์กหลายครั้งได้ส่งผลให้เกิดการอภิปรายถกเถียงสาธารณะอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับเทคโนโลยี และด้วยเหตุนี้นักการเมืองจึงตระหนักถึงทัศนคติ ความหวัง และความกังวลของสาธารณชนในประเด็นดังกล่าว หลายครั้งที่การเสวนาหาฉันทามติทำให้เกิดการอภิปรายทางการเมืองและการริเริ่มกฎระเบียบใหม่ ตัวอย่างที่สำคัญดังกรณีการออกกฎหมายห้ามใช้การทดสอบยีนเพื่อวัตถุประสงค์ในการจ้างงานหรือการทำสัญญาค้ำประกัน[5]

          ถึงแม้ว่ากระบวนการเสวนาหาฉันทามติจะมีการจัดอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกาและเดนมาร์ก แต่ตัวอย่างกระบวนการที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงตัวอย่างหนึ่ง คือ การจัดกระบวนการ การเสวนาหาฉันทามติ ในสหราชอาณาจักร โดย Edward Andersson ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1999 ในประเด็นการจัดการขยะกัมมันตรังสี (radioactive waste management) โดยประชาชนผู้เข้าร่วมกระบวนการที่ได้จากการสุ่มตัวอย่าง จำนวน 15 คน ได้มาร่วมกันพูดคุยเพื่อเสนอแนะแนวทางระยะยาวในการจัดการขยะกัมมันตรังสีที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับของสาธารณชน ผลที่ได้รับจากการจัดกระบวนการดังกล่าวได้รับการยอมรับว่ามีส่วนสำคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจของประชาชนทั้งผู้เข้าร่วมกระบวนการและประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับขยะกัมมันตรังสีและสถานการณ์ปัญหาที่กำลังสร้างผลกระทบต่อสังคมในขณะนั้น[6]

          การเสวนาหาฉันทามติสามารถนำไปใช้กับสถานการณ์และห้วงเวลาที่หลากหลาย และเป็นกระบวนการที่สามารถนำไปช่วยเติมเต็มข้อจำกัดของกระบวนการปรึกษาหารือสาธารณะรูปแบบอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี การเสวนาหาฉันทามติเหมาะสำหรับประเด็นปัญหาที่เป็นความขัดแย้งในระดับชาติ รวมถึงประเด็นปัญหาที่มีความซับซ้อนหรือต้องการความเชี่ยวชาญพิเศษในการแก้ปัญหา กระบวนการที่ใช้ในการเสวนาหาฉันทามติมีความโดดเด่นในการนำความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปที่ได้รับทราบผ่านกระบวนการไปเสนอต่อประชาชนทั่วไปคนอื่น ๆ ในภาษาที่เข้าใจง่าย ทำให้ประชาชนคนอื่น ๆ สามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาและมีข้อมูลในมือที่มากพอสำหรับการเข้าร่วมการปรึกษาหารือสาธารณะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้เกี่ยวข้องกลุ่มอื่น ๆ[7]

          ประโยชน์ของการนำการเสวนาหาฉันทามติไปประยุคใช้ในการตัดสินใจสาธารณะ คือ การเปิดโอกาสให้สมาชิกของชุมชนได้พูดคุยกันเกี่ยวกับปัญหาของชุมชน ช่วยเพิ่มความรู้และความสามารถในการมีส่วนร่วมในการอภิปรายดังกล่าว และสามารถหาจุดยืนร่วมกันที่ผู้เข้าร่วมทุกคนสามารถ "เป็นเจ้าของได้" ในตอนท้ายของการเสวนาหาฉันทามติ จะได้ผลลัพธ์เป็นคำแถลงการณ์ที่สะท้อนการตัดสินใจร่วมกันของผู้เข้าร่วมทั้งหมดในประเด็นหรือข้อเสนอ[8]

          นอกจากนี้ การเสวนาหาฉันทามติยังช่วยอำนวยความสะดวกในการอภิปรายสาธารณะในหลากหลายมุมมอง ให้อำนาจแก่ประชาชนในการพัฒนาความเข้าใจอย่างมีข้อมูลและมีส่วนสนับสนุนในการพัฒนานโยบายในหัวข้อที่ละเอียดอ่อน การเสวนาหาฉันทามติแสดงให้เห็นถึงความคิดเห็นจำนวนมากในประเด็นต่าง ๆ ทำให้สามารถเชื่อมช่องว่างระหว่างผู้เชี่ยวชาญและประชาชนทั่วไป รวมถึงสมาชิกของชุมชนที่ก่อนหน้านี้อาจเข้าไม่ถึงกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะให้สามารถพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ ได้[9]

          อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของการนำการเสวนาหาฉันทามติไปประยุต์ใช้ คือ ค่าใช้จ่ายในการจัดดำเนินการ การรับสมัครผู้เข้าร่วม การจัดเตรียมงาน และการประชุมที่จะต้องดำเนินการเป็นระยะเวลาสองถึงสี่วันทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง กระบวนการคัดเลือกผู้ร่วมเวทีอภิปรายอาจทำได้ยากและต้องทำการประเมินผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อกำหนดกลุ่มที่เกี่ยวข้องที่ควรเข้าร่วม ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่าการเป็นตัวแทนจากกลุ่มที่เกี่ยวข้องบรรลุผล สำหรับผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่กระบวนการจำเป็นต้องสรรหาสมาชิกที่เป็นตัวแทนและมาจากภูมิหลังที่หลากหลายมากกว่าสมาชิกของชุมชนที่มักจะอยู่ในกระบวนการมีส่วนร่วมตามปกติอยู่แล้ว การประชุมต้องปฏิบัติตามกฎกติกาที่วางไว้อย่างเคร่งครัดเพื่อให้การประชุมประสบความสำเร็จ ลักษณะที่เป็นทางการของเครื่องมืออาจทำให้เข้าถึงยาก จำเป็นต้องมีการผลิตรายงาน และผลการวิจัยอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การเลือกผู้เชี่ยวชาญที่มีประสิทธิภาพมีความสำคัญต่อความสำเร็จของการประชุมซึ่งอาจดำเนินการได้ยากในบางสถานการณ์[10]

          ดังนั้น การจัดการเสวนาหาฉันทามติที่มีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญหลายประการ ได้แก่ การเลือกคณะกรรมการที่ปรึกษา/วางแผนเพื่อรับผิดชอบโดยรวมเพื่อให้แน่ใจว่ามีการปฏิบัติตามกฎระเบียบของกระบวนการประชาธิปไตย ยุติธรรม และโปร่งใสทั้งหมด การจัดประชุมสาธารณะและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสถานที่ เวลา และหัวข้อต่อสาธารณชน ผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่จะอภิปราย สื่อมวลชน และหน่วยงานในการตัดสินใจที่เหมาะสม การเลือกผู้เข้าร่วมกระบวนการต้องพิจารณาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ได้ผู้เข้าร่วมที่มีความเป็นตัวแทนของพื้นที่ทางภูมิศาสตร์และ/หรือกลุ่มชุมชนที่เกี่ยวข้อง การว่าจ้างผู้เอื้อกระบวนการมืออาชีพเพื่อทำงานร่วมกับผู้เข้าร่วมกระบวนการในระหว่างการเตรียมการ การจองสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการพบปะกันของผู้เข้าร่วมกระบวนการในช่วงสุดสัปดาห์เพื่อทำงานร่วมกับผู้เอื้อกระบวนการในการกำหนดคำถามที่จะนำมาประชุมและมีส่วนร่วมในการคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญเพื่อตอบคำถาม ทั้งนี้ โดยความช่วยเหลือของผู้เข้าร่วมกระบวนการ ให้เลือกคณะผู้เชี่ยวชาญในลักษณะที่ทำให้มั่นใจว่าจะได้ความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างรอบด้านและสามารถนำมาใช้ประกอบการอภิปรายในที่ประชุมได้ ผู้เชี่ยวชาญที่ดีไม่เพียงแต่จะมีความรู้เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่เปิดกว้างและเป็นนักสื่อสารที่ดีในภาพรวมของสาขาของตนด้วย[11]

          ปัจจุบัน การเสวนาหาฉันทามติ มีการนำไปใช้โดยหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในนโยบายด้านการโทรคมนาคม พันธุวิศวกรรม และเทคโนโลยีนาโน ในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เดนมาร์ก และออสเตรเลีย[12]

 

อ้างอิง

[1] Joss, S. and Durant, J. (eds) 1995, Public Participation in Science: The role of consensus conferences in Europe, Science Museum with the support of the European Commission Directorate General XII, London.

[2] Grundahl, Johs. "The Danish consensus conference model." Public participation in science: The role of consensus conferences in Europe. London: Science Museum, 1995.

[3] Ibid.

[4] Nielsen, A. P., Hansen, J., Skorupinski, B., Ingensiep, H. W., Baranzke, H., Lassen, J., & Sandoe, P. Consensus conference manual. LEI, onderdeel Wageningen UR, 2006.

[5] Joss, Simon. "Danish consensus conferences as a model of participatory technology assessment: an impact study of consensus conferences on Danish Parliament and Danish public debate." Science and public policy 25.1 (1998): 2-22.

[6] Worthington, Richard, Mikko Rask, and Lammi Minna, eds. Citizen participation in global environmental governance. Routledge, 2013.

[7] Andersson, Edward. "Engagement in health: roles for the public and patients." Smart governance for health and well-being: the evidence (2014): 34.

[8] Nielsen, Annika P., et al. Consensus conference manual. LEI, onderdeel Wageningen UR, 2006.

[9] Ibid.

[10] Ibid.

[11] Ibid.

[12] Einsiedel, Edna F., Erling Jelsøe, and Thomas Breck. "Publics at the technology table: The consensus conference in Denmark, Canada, and Australia." Public understanding of science 10.1 (2001): 83-98.