รัฐสวัสดิการ

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:24, 24 มีนาคม 2565 โดย Trikao (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย " '''ผู้เรียบเรียง :''' รองศาสตราจารย์ ดร.ยุทธพร อิสรชัย '''ผู้...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง : รองศาสตราจารย์ ดร.ยุทธพร อิสรชัย

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต

 

          รัฐสวัสดิการ (welfare state) คือ มโนทัศน์การปกครองซึ่งรัฐมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีทางเศรษฐกิจและสังคมของพลเมือง โดยอาศัยหลักความเสมอภาคของโอกาส การกระจายความมั่งคั่งอย่างชอบธรรม และความรับผิดชอบต่อสาธารณชนแก่ผู้ไม่สามารถจัดหาปัจจัยขั้นต่ำสำหรับชีวิตที่ดีได้ ตัวแบบกลุ่มประเทศนอร์ดิก (Nordic Countries Model) เช่น ไอซ์แลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก และฟินแลนด์ จัดเป็นรัฐสวัสดิการสมัยใหม่[1] รัฐสวัสดิการจึงเป็นรัฐที่มีนโยบายสังคมที่มุ่งส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนในสังคม โดยรัฐจัดโครงการหรือบริการทางสังคมให้กับประชาชนอย่างกว้างขวาง เป็นการสร้างระบบความมั่นคงทางสังคม (social security) ให้กับคนในรัฐนั้น ๆ[2]

 

ประวัติความเป็นมาของรัฐสวัสดิการ

          รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นในโลกครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยอังกฤษเป็นประเทศแรกที่ถูกเรียกว่ารัฐสวัสดิการ รัฐก้าวเข้ามารับผิดชอบชีวิตความเป็นอยู่และสวัสดิภาพของประชาชนในแทบทุกด้านแทนที่ครอบครัวและชุมชนตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย อังกฤษเป็นแบบอย่างของรัฐสวัสดิการที่ประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลกต่างดำเนินรอยตาม

          ความเป็นมาของรัฐสวัสดิการในอังกฤษเริ่มต้นจากแนวคิดและกฎหมายการสงเคราะห์คนยากจนมาสู่กฎหมายประกันสังคม จนเป็นหลักการที่บุคคลจะได้รับประโยชน์ทดแทนตามสิทธิอันพึงมีพึงได้ของผู้ประกันตน หลังจากนั้น กฎหมายประกันสังคมก็ออกตามมาอีกหลายฉบับ พัฒนาการของรัฐสวัสดิการอย่างสมบูรณ์ของอังกฤษ เริ่มหลังจากที่ ลอร์ดวิลเลียม เบเวอร์ริดจ์ (Lord William Beveridge) ได้ศึกษาสภาพปัญหาของสังคมอังกฤษที่เป็นสังคมอุตสาหกรรมแล้วทำรายงานเสนอต่อรัฐบาลใน ค.ศ. 1941 ภายใต้ปรัชญาที่ว่า คนอังกฤษพึงมีเสรีภาพที่จะได้รับการตอบสนองความต้องการพื้นฐาน โดยไม่ต้องเดือดร้อนอีกต่อไป ด้วยการที่รัฐให้หลักประกันด้านสวัสดิการสังคมพื้นฐานแก่ประชาชนในรูปของระบบความมั่นคงทางสังคมซึ่งประกอบด้วย
          (1) การประกันสังคม (social insurance)

          (2) การสงเคราะห์ประชาชน (public assistance) และ

          (3) การสงเคราะห์ครอบครัว (family allowance)[3]

          แนวคิดรัฐสวัสดิการได้ขยายตัวออกไปอีกหลายประเทศและนำไปสู่การปฏิบัติอย่างสัมฤทธิ์ผล ในประเทศฝรั่งเศส ประเทศเยอรมนี ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศสิงคโปร์ กลุ่มประเทศนอร์ดิก (Nordic Model) ได้แก่ ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ เดนมาร์ค นอร์เวย์ และสวีเดน เป็นต้น

 

หลักการสำคัญของรัฐสวัสดิการ[4]

          1) ครอบครัวจะอยู่ดีมีสุขได้จะต้องมีรายได้เพียงพอจากการทำงาน

          2) รัฐในระบอบประชาธิปไตยมีหน้าที่ที่จะต้องกระจายรายได้ให้เกิดความเป็นธรรมในกลุ่มต่าง ๆ

          3) รัฐจะต้องเป็นหลักประกันสำคัญให้แก่ประชาชนในยามเมื่อเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ขึ้นในชีวิต

          4) การช่วยเหลือทางการเงินแก่ประชาชนทำได้หลายวิธี เช่น การให้เงินอุดหนุนแก่รัฐบาลท้องถิ่น จังหวัด เทศบาล การส่งเสริมองค์การสวัสดิการสังคมภาคเอกชน การลดราคาสินค้าบริโภคด้วยวิธีการต่าง ๆ

          หลักการของรัฐสวัสดิการเป็นหลักที่เน้นความเป็นมนุษย์หรือมนุษย์นิยมและความเท่าเทียมในการได้รับบริการ หรือได้รับการสงเคราะห์ช่วยเหลือ และหลักการเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า ซึ่งนับเป็นการลดการทดสอบคุณสมบัติของผู้สมควรได้รับความช่วยเหลือ (means tests) เพราะการทดสอบคุณสมบัตินั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อน ปฏิบัติได้ยาก และยังเป็นการประทับรอยมลทินให้แก่ประชาชนผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออีกด้วย รัฐสวัสดิการทำให้สังคมมีเอกภาพ มีความสามัคคีและมีความมั่นคง ประชาชนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
อย่างทัดเทียมกัน

 

การดําเนินงานของรัฐสวัสดิการ[5]

          การดําเนินงานของรัฐสวัสดิการจะต้องทำให้เกิดสมดุลในปัจจัยสำคัญ 3 ประการ คือ

          1) โครงสร้างค่าจ้างเงินเดือนของประชากรกลุ่มต่าง ๆ

          2) แรงจูงใจที่ประชาชนจะทำงาน

          3) ภาระที่ประชาชนจะต้องเสียภาษีให้รัฐ โดยรัฐนําภาษีที่ประชาชนเสียกลับมาจัดสรรเป็นงบประมาณในโครงการสวัสดิการต่าง ๆ เช่น หากประชาชนต้องเสียภาษีมากเกินไป ก็จะขาดแรงจูงใจในการทำงาน หรือการที่อัตราค่าจ้างเงินเดือนต่ำมากก็จะเกิดความไม่เป็นธรรมเมื่อคนงานระดับล่างมีรายได้ไม่ต่างจากประชาชนว่างงานที่ได้รับเงินสวัสดิการจากรัฐ ทำให้นําไปสู่การหลอกลวงเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อรับประโยชน์บางอย่าง โดยไม่ต้องทำงาน

 

สถาปัตยกรรมของรัฐสวัสดิการ[6]

          กุสตา เอสปิง แอนเดอร์สัน ตีพิมพ์หนังสือชื่อ โลกสามใบของทุนนิยมสวัสดิการ (The Three Worlds of Welfare Capitalism) ใน ค.ศ. 1990 แบ่งรัฐสวัสดิการออกเป็น 3 แบบ อันได้แก่ เสรีนิยม อนุรักษนิยม และสังคมประชาธิปไตย

          1) รัฐสวัสดิการแบบเสรีนิยม ในรัฐสวัสดิการแบบเสรีนิยม ตลาดมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งยวดเมื่อเปรียบเทียบกับรัฐสวัสดิการรูปแบบอื่น ๆ สิทธิทางสังคมและการจัดสรรอำนวยความสะดวกทางสังคมมักไม่ค่อยได้รับการพัฒนาอย่างแข็งขัน ยิ่งไปกว่านั้นการจัดสรรกระจายความช่วยเหลือทางสังคมมักจะผูกติดกับแบบทดสอบคัดกรองผู้ด้อยโอกาสที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดและบ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้ผู้ได้รับความช่วยเหลือทางสังคมจึงมักจะรู้สึกถูกตีตราและมีสถานะทางสังคมที่ต่ำ เพราะฉะนั้น รัฐจึงทำหน้าที่จัดสรรโครงข่ายรองรับความปลอดภัยทางสังคมเพียงเท่านั้น สมาชิกในสังคมมีเพียงรายรับที่ตนได้จากตลาดแรงงานเป็นแหล่งที่พึ่งหลัก ดังนั้นระดับของกระบวนการทำให้ไม่เป็นสินค้าจึงต่ำ เงินทุนสนับสนุนการจัดสรรอำนวยความช่วยเหลือทางสังคมมาจากเงินภาษี ภายใต้ระบบเช่นนี้แทบไม่มีการให้สิทธิประโยชน์เป็นรายบุคคลในฐานะสิทธิที่พึงได้ ด้วยเหตุที่ไม่มีการจัดสรรความช่วยเหลือผ่านเงินสมทบอื่น ๆ ระดับของการให้ความมั่นคงทางสังคมในระบบนี้จึงเหมือนกันหมด (อัตราเดียวกัน—uniform rate)

          รัฐสวัสดิการชนิดนี้ไม่คำนึงถึงความแตกต่างด้านอาชีพและระดับรายได้ที่แต่ละคนมี อย่างไรก็ดี เนื่องจากการให้ความมั่นคงทางสังคมอยู่ในระดับขั้นต่ำ และเป้าหมายหลักคือการป้องกันความยากจน ใครก็ตามที่มีกำลังทรัพย์มากพอจึงหันไปพึ่งพาผู้ช่วยเหลือภาคเอกชน (เช่น ประกันเงินบำนาญเอกชน โรงเรียนเอกชน) ผลกระทบทางอ้อมที่ตามมาคือ รัฐสวัสดิการแบบเสรีนิยมมักนำไปสู่การแบ่งชนชั้นเกิดช่องว่างทางช่วงชั้นระหว่างคนรวยและคนจน สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลียถือเป็นตัวอย่างหลักที่สะท้อนรัฐสวัสดิการแบบเสรีนิยม

          ลักษณะโดดเด่นหลัก ๆ ของรัฐสวัสดิการแบบเสรีนิยม

          • สิทธิประโยชน์ด้านการเงินมีอัตราเดียวและอยู่ในระดับต่ำในเชิงเปรียบเทียบ

          • แหล่งเงินทุนสนับสนุนมาจากภาษี

          • ตลาดแรงงานต้องไม่บีบให้บุคคลรับทำงานทุกประเภทโดยไม่คำนึงว่ามันจะมีค่าตอบแทนที่ต่ำเพียงใด

          • แบ่งแยกช่วงชั้นผ่านประกันและบริการภาคเอกชน

          2) รัฐสวัสดิการแบบอนุรักษนิยม หรือ รัฐสวัสดิการแบบบรรษัท (corporatist welfare state) ในขณะที่แนวคิดแบบบรรษัทนิยมสืบสานวิถีปฏิบัติของฐานันดร (ทางสังคม) ที่ต่างกัน รัฐสวัสดิการแบบอนุรักษนิยมก็เช่นเดียวกัน มันแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างกลุ่มคนในแต่ละอาชีพ ในเยอรมนีกฎหมายข้าราชการพลเรือน (civil service law) ซึ่งมาพร้อมกับอภิสิทธิ์ต่าง ๆ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ดีที่สุด หลักการดังกล่าวยังถูกนำไปใช้กับวิชาชีพอื่น ๆ อีกด้วย เช่น ที่ปรึกษาด้านภาษี ทนาย พนักงานทำสัญญาจดทะเบียน สัตวแพทย์ เภสัชกรและนักบัญชี ผู้ประกอบวิชาชีพเหล่านี้มีสิทธิเข้าถึงแผนเงินบำนาญวิชาชีพซึ่งให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ รวมไปถึงการประกันเงินบำนาญ ใครก็ตามที่เป็นสมาชิกสมาคมวิชาชีพที่เกี่ยวข้องข้างต้นจะได้สิทธิเป็นสมาชิกในโครงการประกันเงินบำนาญไปด้วย

          ด้วยเหตุนี้ มีคนบางกลุ่มที่ไม่ถูกนับรวมให้เป็นส่วนหนึ่งของประกันเงินบำนาญตามกฎหมาย อันได้แก่ คนทำงานอิสระ และสมาชิกกลุ่มวิชาชีพข้างต้นที่มีสถานะเป็นลูกจ้าง ในประเทศอื่นที่เป็นรัฐสวัสดิการแบบอนุรักษนิยม อาทิ อิตาลีและฝรั่งเศส มีความแตกต่างด้านสิทธิประโยชน์ตามอาชีพที่ต่างกันในแง่ของประกันการว่างงาน

          ในรัฐสวัสดิการแบบอนุรักษนิยมจึงมีการแบ่งช่วงชั้นที่ฝังรากลึกมากกว่าและทับซ้อนกับเส้นแบ่งความแตกต่างหลายเส้น อาทิ กลุ่มวิชาชีพ รายได้ และเพศสภาพ เยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรีย และเบลเยี่ยมถือเป็นภาพสะท้อนของรัฐสวัสดิการรูปแบบนี้

          ลักษณะโดดเด่นหลักของรัฐสวัสดิการแบบอนุรักษนิยม

          • สิทธิประโยชน์ด้านการเงินขึ้นอยู่กับรายรับก่อนหน้านี้

          • การบริการสาธารณะด้อยพัฒนา

          • แหล่งเงินทุนสนับสนุนมีเงินสมทบเป็นฐานสำคัญ

          • การแบ่งช่วงชั้นชัดเจนตามกลุ่มอาชีพ รายรับ และเพศสภาพ

          3) รัฐสวัสดิการแบบสังคมประชาธิปไตย สถาปัตยกรรมรัฐสวัสดิการแบบสังคมประชาธิปไตยนั้นเหมือนกับแบบเสรีนิยมในแง่ของแหล่งเงินสนับสนุนซึ่งมาจากการเก็บภาษีเป็นส่วนใหญ่มากกว่าเงินสมทบ ทว่าในเรื่องของการจัดสรรให้ความช่วยเหลือ มีความแตกต่าง 3 ด้าน กล่าวคือ

          ประการแรก การจัดสรรสวัสดิการในรัฐสวัสดิการสังคมประชาธิปไตยมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าในประเทศเสรีนิยมอื่น ๆ

          ประการที่สอง ตรงกันข้ามกับรัฐสวัสดิการแบบอนุรักษนิยม ระดับการจัดสรรให้ความช่วยเหลือมีแนวโน้มที่จะเหมือนกันสำหรับผู้รับที่มีระดับรายรับต่างกัน สาเหตุที่สำคัญคือการจัดสรรช่วยเหลือทางสังคมหลายอย่าง อาทิ สิทธิประโยชน์จากการว่างงาน มาจากการเก็บภาษี

          ประการที่สาม ซึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็นข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือ การบริการภาครัฐแบบถ้วนหน้า (universal state service) (กล่าวอีกนัยหนึ่งคือทุกคนสามารถเข้าถึงการบริการต่าง ๆ ได้โดยที่ไม่ต้องมีเงื่อนไขด้านเงินสมทบหรือมีเพียงขั้นต่ำ) สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นเสาหลักของสถาปัตยกรรมแบบสังคมประชาธิปไตย รัฐเหล่านี้มีโครงข่ายการบริการภาครัฐหรือเทศบาลที่พัฒนาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการเลี้ยงดูเด็กและการดูแลอื่น ๆ

          การบริการทางสังคมที่รอบด้านและการจ่ายเงินในอัตราเดียวกันหมายความว่าระดับของการทำให้ไม่เป็นสินค้าในรัฐสวัสดิการแบบสุดท้ายนั้นสูงมากที่สุด ในขณะที่การแบ่งช่วงชั้นทางสังคมนั้นมีอย่างจำกัด ประเทศหลัก ๆ ที่นำแนวทางสถาปัตยกรรมข้างต้นไปปฏิบัติจริง ได้แก่ สวีเดน เดนมาร์ก และนอร์เวย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย

ลักษณะโดดเด่นหลัก ๆ ของรัฐสวัสดิการแบบสังคมประชาธิปไตย

          • การบริการเป็นองค์ประกอบสำคัญของนโยบายทางสังคม

          • สิทธิประโยชน์ทางการเงินมีอัตราเดียวกัน

          • แหล่งเงินสนับสนุนมาจากการเก็บภาษีในอัตราที่สูง

          • ตลาดแรงงานบีบให้บุคคลรับทำงานทุกประเภทโดยไม่คำนึงว่ามันจะมีค่าตอบแทนที่ต่ำเพียงใด

          • ความเท่าเทียมทางรายได้สูงและการแบ่งช่วงชั้นต่ำ

 

อุปสรรคของการไม่เกิดขึ้นของรัฐสวัสดิการไทย[7]

          การเกิดขึ้นของรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรนั้น ช่วยสร้างความมั่นคงของมนุษย์ให้เกิดขึ้นได้ ทว่าภายใต้บริบทของสังคมไทยนั้นอุปสรรคสำคัญของการเกิดขึ้นของรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรมีปัจจัย 3 ประการด้วยกัน ดังนี้

          ประการแรก กระบวนการทำให้ยอมจำนนในวัฒนธรรมทางการเมืองและการไร้อำนาจต่อรอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความตระหนักถึงสิทธิแห่งความเป็นมนุษย์ที่เสมอกันในสังคมอันเป็นคุณค่าพื้นฐานของการเกิดรัฐสวัสดิการ การตระหนักถึงสิทธิแห่งความเสมอภาคนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ทางการเมือง ซึ่งเริ่มต้นนับตั้งแต่การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475

          ทว่าในบริบทของสังคมไทยนั้นกระบวนการดังกล่าวถูกทำลายโดยชนชั้นนำของไทยในเวลาต่อมา แม้ว่าระบอบการปกครองจะมีลักษณะเสมือนประชาธิปไตย กล่าวคือมีการเลือกตั้งและมีตัวแทน แต่ประชาชนถูกทำให้ไม่ตระหนักถึงอำนาจของตนหรือสิทธิในการต่อรอง ซึ่งถูกปลูกฝังผ่านข้าราชการในระดับท้องถิ่น ระบบการศึกษา และวัฒนธรรมทางการเมืองแบบรวมศูนย์ สถานะของประชาชนจึงเป็นเพียงแต่ “วัตถุ” ที่ถูกควบคุมภายใต้ผู้มีอำนาจ การสร้างรัฐสวัสดิการจึงมีลักษณะแบบบนลงล่างขึ้นกับผู้มีอำนาจจะดำเนินการให้ จึงเกิดระบบสวัสดิการแบบสังคมสงเคราะห์ การพิสูจน์ความจน หรือสวัสดิการแก่กลุ่มคนเฉพาะกลุ่ม เช่น ข้าราชการ

          ประการที่สอง การไม่ตระหนักถึงผลกระทบของราคาของความไม่เท่าเทียมของชนชั้นนำ อันเป็นผลมาจากการครอบงำโดยชนชั้นนำที่นิยมกลไกตลาดแบบสุดโต่ง เพื่อประโยชน์ในการผูกขาดทรัพยากรแล้ว การไม่ตระหนักถึงผลกระทบของราคาของความไม่เท่าเทียมยังปรากฏในรูปแบบของการไม่เติบโตทางเศรษฐกิจอีกด้วย

          เนื่องมาจากความเหลื่อมล้ำในสังคมมีมาก เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าราคาของการจัดการความไม่เท่าเทียมมีราคาที่สูง เช่น การปราบปรามความขัดแย้งจากความเหลื่อมล้ำ การสูญเสียทรัพยากรมนุษย์จากการถูกวางเงื่อนไขให้ไม่สามารถพัฒนาตนเองได้ ชนชั้นนำตระหนักว่าการผูกขาดการใช้อำนาจสร้างความเหลื่อมล้ำเป็นหนทางที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดในการรักษาสถานะ การที่ชนชั้นนำไทยไม่ตระหนักถึงผลกระทบของราคาของความเหลื่อมล้ำทำให้หนทางในการรักษาสถานะของพวกเขาวนเวียนอยู่กับวิธีการแบบเดิม คือ การผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจ

          ประการที่สาม การขาดจิตสำนึกรวมหมู่ในชีวิตประจำวัน เนื่องมาจากเงื่อนไขข้างต้นทั้งสองประการทำให้สภาพการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยโดยทั่วไป คือ การพยายามเอาตัวรอดจากความเปราะบาง การพยายามก่อกำแพงให้ตนเองปลอดภัย ทั้งในระดับประชาชนทั่วไปและชนชั้นนำ ต้นทุนในการต่อสู้เรียกร้องมีความเสี่ยงสูง ทั้งจากการถูกปราบปรามโดยอำนาจรัฐที่ผูกขาดโดยชนชั้นนำ และต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นจากการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของอำนาจรัฐและทุน

          กระแสเสรีนิยมใหม่ทำให้ต้นทุนในการใช้ชีวิตสูงขึ้น การแสวงหากำไรในธุรกิจที่ไม่เคยเป็นสินค้าอย่างเข้มข้น เช่น การศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และการพักผ่อน เป็นต้น ถูกแปรสภาพให้กลายเป็นสินค้าที่มีราคา เงื่อนไขข้างต้นนี้ทำให้ปัจเจกบุคคลอยู่ในสภาพปลอดการเมืองโดยปริยาย การรวมกลุ่มในลักษณะต่าง ๆ จึงมีต้นทุนที่สูงทำได้ยาก ทางออกคือการต่อสู้ในลักษณะของปัจเจกบุคคล ซึ่งโดยรวมขาดพลังและไม่ก่อให้เกิดนโยบายการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง

 

ข้อเสนอแนะต่อรัฐไทยในการสร้างความมั่นคงของมนุษย์[8]

          นโยบายรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจร ไม่ใช่นโยบายทางเศรษฐกิจเพียงลำพัง หากวางอยู่บนความเป็นประชาธิปไตยทางการเมืองและปรัชญามนุษย์นิยม การพัฒนานโยบายนี้ในประเทศไทยจึงไม่ใช่ข้อจำกัดทางเศรษฐกิจที่เป็นปัจจัยเครื่องมือเท่านั้น เงื่อนไขสำคัญโดยสรุปในการวางรากฐานให้เกิดนโยบายรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรประกอบไปด้วยเงื่อนไข ดังต่อไปนี้

         ประการแรก ปรัชญามนุษย์นิยม ซึ่งเกิดจากความยอมรับร่วมกันในสังคมว่า ความวัฒนาทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของรัฐไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากมีการละทิ้งความมั่นคงของมนุษย์ สวัสดิภาพ สวัสดิการของมนุษย์ในสังคมเศรษฐกิจของประเทศย่อมไม่สามารถเติบโตอย่างมั่นคงได้ หากประชากรส่วนใหญ่ถูกกองไว้กับความยากจน หนี้สิน และความสิ้นหวัง

          ความมั่นคงทางการเมืองย่อมไม่เกิดขึ้น หากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่สามารถคาดเดาได้ว่า พวกเขาจะมีชีวิตอย่างไร รวมถึงไม่สามารถเลือกวิถีชีวิตของตนเองได้ด้วยข้อจำกัดทางชาติกำเนิดและฐานะทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญมนุษย์สามารถเอาชนะข้อจำกัดความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ได้ด้วยการก้าวสู่สังคมที่โอบอุ้มมนุษย์ร่วมกันโดยไม่จำต้องปล่อยคนทิ้งไว้เบื้องล่าง กลไกตลาดและระบบเศรษฐกิจที่เอื้อประโยชน์แก่ทุนเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือเท่านั้นที่หาใช่สัจจะนิรันดร์ที่มนุษย์ต้องยึดถือเพียงตัวเลือกเดียว

          ประการที่สอง การกระจายอำนาจ ความเป็นประชาธิปไตยในทุกระดับเป็นสิ่งที่ทำให้ระบบรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรเกิดขึ้นได้ ไม่เพียงแต่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่รวมถึงการกระจายการตัดสินใจเชิงนโยบายสู่ประชาชน หัวใจสำคัญคือการเพิ่มการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นการเพิ่มระดับพรรคการเมืองที่ผูกติดกับการตัดสินใจในระดับมวลชนมากกว่าพรรคการเมืองของชนชั้นนำ

          ประการที่สาม การปฏิรูปเงื่อนไขเบื้องต้นทางเศรษฐกิจ แม้ว่ารัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจรจะเกิดขึ้นบนพื้นฐานปรัชญามนุษย์นิยม และการเมืองเป็นระบอบประชาธิปไตยในทุกระดับ แต่การจัดลำดับนโยบายทางเศรษฐกิจก็มีความจำเป็นเร่งด่วนเป็นอันดับแรก การจะไปให้ถึงรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าครบวงจร จำเป็นจะต้องมีการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ การปฏิรูปกฎหมายแรงงานและการเกิดพรรคแรงงานที่เชื่อมรอยต่อ การต่อสู้แต่ละสถานประกอบการเข้าหากันและกัน และผลักดันนโยบายสู่วาระสาธารณะ

 

อ้างอิง

[1] Paul K. Edwards and Tony Elger, The global economy, national states and the regulation of labour (1999) p, 111 อ้างถึงใน วิกิพีเดีย, 2021. “รัฐสวัสดิการ.” สืบค้นเมื่อ 26 Sep 2021 จาก https://th.wikipedia.org/wiki/รัฐสวัสดิการ

[2] รพีพรรณ คำหอม, 2545. สวัสดิการสังคมกับสังคมไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สามเจริญพาณิชย์, หน้า 46.

[3] จิราลักษณ์ จงสถิตมั่น, 2535, หน้า 9. อ้างถึงใน กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย, 2550. “แนวคิดทฤษฎีรัฐสวัสดิการเพื่อนโยบายสาธารณะ: รัฐสวัสดิการ จากขวาใหม่-ถึงซ้ายใหม่.” (เอกสารประกอบการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง รัฐสวัสดิการ: เครื่องมือสร้างความเป็นธรรมในสังคม ภาควิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2550), หน้า 5.

[4] กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย, อ้างแล้ว, หน้า 3-4.

[5] เรื่องเดียวกัน, หน้า 4.

[6] อเล็กซานเดอร์ เพทริง และคณะ. กรพินธุ์ พัวพันสวัสดิ์ แปล, 2562. รัฐสวัสดิการกับสังคมประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ: มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท สำนักงานประเทศไทย, หน้า 62-68.

[7] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, 2564. “อ่านความคิดษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี ความมั่นคงทางเศรษฐกิจผ่านความมั่นคงของมนุษย์
สู่การสร้างรัฐสวัสดิการในประเทศไทย.” เว็บไซต์สถาบันปรีดี พนมยงค์. สืบค้นเมื่อ 26 Sep 2021
จาก https://pridi.or.th/th/content/2021/04/681

[8] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, อ้างแล้ว.