วังศุโขทัย
เรียบเรียง ศิบดี นพประเสริฐ
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ
วังศุโขทัย เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี_พระบรมราชินี มาตั้งแต่ก่อนเสด็จขึ้นทรงราชย์ และยังเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีหลังจากที่เสด็จฯ แปรพระราชฐานกลับจากสวนบ้านแก้ว จังหวัดจันทบุรี ตราบจนสวรรคตในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2527
ที่ตั้งวังศุโขทัยแต่เดิมเป็นบ้านของขุนนางผู้หนึ่งอยู่ริมคลองสามเสน ในช่วงต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงซื้อไว้เพื่อพระราชทานเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ จะทรงผนวช และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ซื้อสวนที่อยู่ติดบริเวณบ้านหลังนั้นพระราชทานเพิ่มให้อีกเพื่อสร้างเป็นวังที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ โดยได้ ขนานนามวังตามพระนามที่ทรงกรมของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ ว่า “วังศุโขทัย” ทั้งนี้ ตัวบ้านเดิมที่เป็นของขุนนางและต่อมาเป็นที่ประทับนั้นเป็นบ้านหลังคามุงจาก แต่มีห้องหลายห้อง สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา ทรงจัดห้องชั้นบนเป็นห้องบรรทมได้ 2 ห้อง ชั้นล่างเป็นห้องทรงพระอักษร ห้องเสวย และห้องเสด็จออกให้เฝ้าฯ ต่อมาสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักตึกและพระตำหนักไม้ริมน้ำถวายในพื้นที่สวนซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงซื้อพระราชทาน[1]
เมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา ทรงอภิเษกสมรส กับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ วังศุโขทัยก็ได้เป็นที่ประทับของทั้งสองพระองค์มาโดยตลอด โดยที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ ยังทรงรับราชการทหารในตำแหน่งผู้บังคับกองร้อยกรมทหารบกปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ และหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ทรงรับภาระดูแลกิจการภายในพระตำหนัก ดังที่ผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทท่านหนึ่งเล่าว่า (สะกดตามต้นฉบับ)
“...เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสุโขทัยฯ ทรงอภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ได้ประทับอยู่ที่ พระตำหนักใหญ่วังศุโขทัย ตอนเช้า เสวยร่วมกันเพียง 2 พระองค์ที่ห้องทางทิศใต้ชั้น 2 หลังจากนั้น สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสุโขทัยฯ เสด็จไปทรงงานที่กองพันทหาร ตอนกลางวัน หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีฯ จะเสวยอยู่บนพระตำหนัก ไม่เสด็จลง เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสุโขทัยฯ เสด็จกลับจากทรงงาน หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีฯ จะเสด็จมารับที่อัฒจันทร์ด้านล่าง และเสวยพระสุธารสชาร่วมกันตอนห้าโมงเย็น โดยทรงถือปฏิบัติเป็นเวลา หลังจากนั้นจะเสด็จขึ้นและเสวยพระกระยาหารค่ำด้วยกันเพียงสองพระองค์ โดยประทับราบกับพื้น เสวยแบบไทย...ทั้งสองพระองค์จะเสด็จลงตำหนักไม้สัปดาห์ละครั้ง เพื่อทอดพระเนตรหนังและโปรดให้เจ้านายร่วมดูหนังด้วย...เวลาที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสุโขทัยฯ เสด็จไปทรงงานจะทรงขับรถเอง ทรงใช้รถซิงเกอร์ (Singer) คันเล็ก ถ้าเป็นการเสด็จส่วนพระองค์จะทรงใช้รถซิงเกอร์คันใหญ่ ประทับคู่กับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีฯ โดยมีพลขับขับรถถวาย...”
ทั้งนี้ กิจวัตรประจำวันของหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีในช่วงที่พระสวามีเสด็จไปทรงงานราชการในเวลากลางวันนั้น บางครั้งเสด็จลงทรงอำนวยการเรื่องการปลูกต้นไม้ต่าง ๆ ที่ตำหนักสี่ฤดู ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวังศุโขทัย
ต่อมา เมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา พร้อมด้วยหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีพระชายา เสด็จประพาสทวีปยุโรปเพื่อทรงรักษาพระองค์และทรงศึกษาวิชาการเพิ่มเติม เป็นเหตุให้ทั้งสองพระองค์ต้องจากวังศุโขทัยไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่เมื่อเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ แล้ว ทั้งสองพระองค์จึงได้เสด็จกลับมาประทับที่วังศุโขทัยตามเดิม ในช่วงนี้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการในตำแหน่งปลัดกรมเสนาธิการทหารบก และเลื่อนพระยศขึ้นเป็นนายพันเอก ต่อมาใน พ.ศ. 2468 ได้ทรงรับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารบกที่ 2 และเป็นผู้บังคับการพิเศษ กรมทหารปืนใหญ่ที่ 2 ด้วย ทั้งนี้พระจริยวัตรประจำวันของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา และหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีพระชายา ในช่วงเวลานั้นเป็นไปเช่นที่หม่อมเจ้าชายการวิก จักรพันธุ์รองราชเลขาธิการในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เคยรับสั่งไว้ ความว่า[2] (สะกดตามต้นฉบับ)
“...ทุกวันเช้า หลังจากเสวยพระกระยาหารเช้า สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสุโขทัยฯ จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งด้วยพระองค์เอง ไปทำราชการที่ทรงรับหน้าที่เป็นผู้บังคับการพิเศษกรมทหารปืนใหญ่ที่ 2 ระหว่างกลางวัน หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ก็ทรงดูแลกิจการในพระตำหนักวังศุโขทัย เสด็จลงสวนบ้าง ทำโน่นบ้าง ทำนี่บ้าง ครั้นเวลาบ่ายใกล้ค่ำ เมื่อพระสวามีเสด็จกลับ ทั้งสองพระองค์ก็จะทรงกีฬา...”
ต่อมา เมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา[3] เสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
วังศุโขทัยได้ปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยในช่วงดึกของวันเดียวกันนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินี เสด็จฯ จากวังไกลกังวลกลับกรุงเทพฯ โดยขบวนรถไฟพระที่นั่ง เมื่อรถไฟพระที่นั่งเคลื่อนเข้าจอดที่สถานีรถไฟหลวงสวนจิตรลดาในเวลาประมาณ 1.00 น. บรรยากาศในคืนวันนั้น เป็นไปดังที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ทรงเล่าพระราชทานแก่คณะกรรมการสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2515 ว่า
“...แหม เงียบจริงๆ พอในหลวงเสด็จพระราชดำเนินจากรถไฟ มีราษฎรคนหนึ่งอยู่ที่สถานี กราบถวายบังคมแล้วก็ร้องไห้ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นใคร อายุประมาณ 30 กว่าเห็นจะได้ ในหลวงไม่ได้รับสั่งอะไร เราก็กลับมากันที่วังนี่ ตลอดทางเงียบแล้วก็เศร้า เราผ่านพระที่นั่งอนันตสมาคมก็ไม่มีอะไร มาทราบ เอาทีหลังว่าบนพระที่นั่งอนันตฯ เขาตั้งปืนไว้เต็มหมดเพราะรู้ว่าเราจะมาทางนั้น...”[4]
เมื่อเสด็จฯ ถึงวังศุโขทัยแล้วในวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นั้นเอง พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ผู้นำการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้มาเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ที่วังศุโขทัยนี้เอง ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้นำ การเปลี่ยนแปลงการปกครองและรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ในเวลาต่อมา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เสด็จประพาสทวีปยุโรปเพื่อเจริญพระราชไมตรี พร้อมกับทรงเข้า รับการรักษาพระอาการประชวรที่พระเนตร แต่ด้วยความผันผวนทางการเมืองที่เกิดขึ้น เป็นผลให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระราชหฤทัยสละราชสมบัติ และประทับอยู่ที่สหราชอาณาจักรพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ตราบจนสวรรคตเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ก็ประทับอยู่ในสหราชอาณาจักรต่อมาตราบจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้น วังศุโขทัยจึงตกอยู่ในสภาพที่ปราศจากองค์เจ้าของวังอยู่ระยะหนึ่ง
เมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จนิวัติประเทศไทยตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามใน พ.ศ. 2492 พร้อมทั้งทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกลับมาประดิษฐานยังสถานที่ที่ควรร่วมกับสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์แล้ว ในช่วงนั้น วังศุโขทัยถูกใช้เป็นที่ทำการของกระทรวงสาธารณสุข รัฐบาลจึงเตรียมที่จะกราบบังคมทูลเชิญเสด็จสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ไปประทับยังวังตำบลท่าช้าง ที่ประทับเดิมของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ พระบิดา แต่สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์[5] กราบบังคมทูลเชิญเสด็จไปประทับ ณ พระตำหนักใหม่ วังสระปทุม อันเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์[6] แต่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ไม่ต้องพระราชประสงค์ที่จะทรงรบกวนสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาล จึงทรงมองหาพื้นที่สำหรับจัดสร้างเป็นที่ประทับในหัวเมือง ซึ่งต้องพระราชประสงค์พื้นที่ในจังหวัดจันทบุรี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้าง “สวนบ้านแก้ว” ขึ้น และประทับอยู่ที่สวนบ้านแก้วจนถึง พ.ศ. 2511จึงเสด็จฯ แปรพระราชฐานกลับมาประทับ ณ วังศุโขทัยอีกครั้งหนึ่ง
ในระยะแรกที่เสด็จฯ กลับมาประทับ ณ วังศุโขทัย สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงมีพระราชกิจมากเนื่องจากสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ยังทรงพระเยาว์ ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จฯ ไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์บ่อยครั้ง นอกจากนี้ วังศุโขทัยยังเป็นสถานที่ที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงใช้รับรองพระราชอาคันตุกะในพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดชที่เสด็จฯ มาเยือนประเทศไทย โดยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี จะเสด็จออก ณ วังศุโขทัย เพื่อพระราชทานพระราชวโรกาสให้พระราชอาคันตุกะเฝ้าฯ เสมอ เช่น เสด็จออกทรงรับสมเด็จพระราชาธิบดี โบดวง และสมเด็จพระราชินีฟาบิโอลาแห่งชาวเบลเยียม พ.ศ. 2507 เป็นต้น หรือการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เป็นการส่วนพระองค์ เช่น เสด็จฯ ออกให้บุคคลหรือคณะบุคคลเฝ้าฯ หรือทรงประกอบพิธีสมรสพระราชทาน ก็เกิดขึ้น ณ วังศุโขทัยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ กิจการทอเสื่อซึ่งทรงริเริ่มตั้งแต่เมื่อครั้งประทับที่สวนบ้านแก้ว จังหวัดจันทบุรี ก็ยังทรงนำมาสืบสานต่อยังวังศุโขทัยด้วย โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายโรงงานทอเสื่อจากสวนบ้านแก้วมายังวังศุโขทัย โดยพระราชทานบริเวณพระตำหนักน้ำ เป็นสถานที่ทอเสื่อโดยเฉพาะ กิจการทอเสื่อที่วังศุโขทัยนี้เป็นลักษณะอุตสาหกรรมในครัวเรือนเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ดำเนินกิจการที่สวนบ้านแก้ว โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชาวจันทบุรีที่ตามเสด็จฯ มานั้นเป็นครูฝึกสอนการทอเสื่อที่วังศุโขทัย เมื่อทรงว่างจากพระราชกิจในช่วงเช้ามักจะเสด็จลงทอดพระเนตรการทอเสื่ออยู่เสมอ ทรงออกแบบและเลือกสีด้วยพระองค์เอง และเมื่อใดที่ทอดพระเนตรเห็นกระเป๋าถือสมัยใหม่ ก็จะโปรดให้ช่างทอเสื่อดูเป็นแบบอย่างเพื่อทอและประกอบเป็นกระเป๋าต่อไป[7]
สภาพโดยทั่วไปของวังศุโขทัยอันเป็นที่ประทับในช่วงหลัง เป็นสถานที่ที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ ไม้ดอก ไม้ประดับนานาชนิด ด้วยเหตุที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี โปรดธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น พระราชกิจยามว่างที่โปรดมากอีกประการหนึ่งคือการทำสวนไม้ดอก ในเรือนเพาะชำส่วนพระองค์ที่วัง ศุโขทัย จะทรงเลี้ยงแคคตัสเล็กๆ และกล้วยไม้ไว้เป็นจำนวนมาก โดยพระองค์จะเสด็จลงเพื่อทรงดูแล ใส่ปุ๋ย รดน้ำต้นไม้ด้วยพระองค์เองเสมอ[8] และด้วยความที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงมีพระราชจริยวัตรที่เรียบง่าย และทรงมีระเบียบแบบแผนในพระราชจริยวัตรส่วนพระองค์ ดังนั้น พระราชจริยวัตร ณ วังศุโขทัย จึงมีลักษณะดังต่อไปนี้
เช้า : ตื่นบรรทมเวลาประมาณ 8.00 น. แล้วเสวยพระกระยาหารเช้าเป็นการส่วนพระองค์ในห้อง พระบรรทม ซึ่งมีการจัดโต๊ะเสวยเล็ก ๆ ไว้ หลังจากนั้น ทรงเข้าห้องสรงแล้วทรงปฏิบัติพระราชกิจส่วนพระองค์ เช่น เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรงานผลิตภัณฑ์เสื่อทอและพระราชทานคำแนะนำ บางครั้งทรงจัดสิ่งของเครื่องใช้ หรือทรงพระอักษร หากมีพระราชกรณียกิจที่ต้องเสด็จฯ ก็จะเสด็จฯ ไปทรงปฏิบัติ เช่น เสด็จฯ ไปงานต่างๆ หรือเสด็จออกให้บุคคลต่างๆ เข้าเฝ้าฯ โดยปกติมักมีพระญาติหรือบุคคลอื่น ๆ มาเฝ้าฯ เสมอ
เที่ยง : เสวยพระกระยาหารกลางวันที่เฉลียงข้างล่าง แล้วเสด็จขึ้นห้องพระบรรทมหรือพักผ่อนพระราชอิริยาบถ
บ่าย : มักเป็นเวลาที่มีพระราชกรณียกิจมาก เช่น เสด็จฯ ไปงานในพระบรมมหาราชวัง หรือพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เสด็จฯ ไปงานตามคำกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ หรือการเสด็จออกให้บุคคล หรือคณะบุคคลเฝ้าฯ หรือเสด็จออกเพื่อพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ในพิธีสมรสพระราชทาน พระราชทานรางวัลการแข่งขันกอล์ฟ พระราชทานเลี้ยงพระราชอาคันตุกะทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เป็นต้น
เย็น : หากไม่มีพระราชกรณียกิจก็จะทรงกอล์ฟหรือทรงออกกำลังพระวรกายโดยทรงพระดำเนินไปตามถนนรอบ ๆ วังศุโขทัย เสวยพระสุธารสชาเวลา 17.00 น. ที่สนาม และเป็นช่วงเวลาที่โปรดให้บุคคลต่าง ๆ เข้าเฝ้าฯ แต่ถ้ามีพระราชกรณียกิจก็จะเสด็จฯ ไปทรงปฏิบัติ
ค่ำ : เสวยพระกระยาหารค่ำเวลาประมาณ 20.00 น. พร้อมทั้งทอดพระเนตรรายการโทรทัศน์ หลังจากนั้นอาจจะทรงพระอักษร เช่น ทรงตอบจดหมายส่วนพระองค์กับพระประยูรญาติ หรือผู้ที่ทรงคุ้นเคยในต่างประเทศ แล้วเสด็จเข้าห้องพระบรรทมเวลาประมาณ 24.00 น. ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อเสด็จเข้าที่พระบรรทมแล้วจะทรงหนังสือต่อ แต่บางครั้งทรงฟังวิทยุ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ประทับอยู่ ณ วังศุโขทัยตราบจนเสด็จสวรรคตในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2527
ปัจจุบัน วังศุโขทัย เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา
อ้างอิง
[1] สำนักราชเลขาธิการ, พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 (กรุงเทพฯ: สำนักราชเลขาธิการ, 2531), หน้า 205-206.
[2] สำนักราชเลขาธิการ, พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 (กรุงเทพฯ: สำนักราชเลขาธิการ, 2531), หน้า 33.
[3] สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา ทรงรับพระบรมราชโองการเลื่อนพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ดูใน “พระบรมราชโองการ ประกาศสถาปนา เลื่อนกรม ตั้งกรม และตั้งเจ้าพระยา,” ราชกิจจานุเบกษา, 42 (15 พฤศจิกายน 2468) : 217-222.
[4] สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย, “พระราชบันทึกทรงเล่า สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ,” ใน เบื้องแรกประชาธิปตัย : บันทึกความทรงจำของผู้อยู่ในเหตุการณ์สมัย พุทธศักราช 2475-2500 (พระนคร : มิตรนราการพิมพ์, 2516), หน้า 4.
[5] พระอิสริยยศในขณะนั้นของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
[6] ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เฉลิมพระนามาภิไธย
เป็นสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
[7] สำนักราชเลขาธิการ, พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 (กรุงเทพฯ: สำนักราชเลขาธิการ, 2531), หน้า 170.
[8] สำนักราชเลขาธิการ, พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 (กรุงเทพฯ: สำนักราชเลขาธิการ, 2531), หน้า 174.