เดินคารวะแผ่นดิน

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:13, 20 ตุลาคม 2563 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย " ผู้เรียบเรียง รองศาสตราจารย์ ดร. อรรถสิทธิ์ พานแก้ว ผู...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง รองศาสตราจารย์ ดร. อรรถสิทธิ์ พานแก้ว

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย


ความนำ

           “เดินคารวะแผ่นดิน” เป็นกลยุทธ์ของพรรครวมพลังประชาชาติไทย โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย นำคณะออกเดินไปใน 77 จังหวัด เพื่อรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนเป็นสมาชิกพรรค โดยเริ่มต้นวันแรกในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2561 ใช้เวลาเดินทั้งสิ้น 120 วัน โดยระหว่างการเดินคารวะแผ่นดินนั้น ได้รับการตอบรับและต่อต้านในแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม มีการวิพากษ์วิจารณ์การกระทำดังกล่าวว่าเกิดขึ้นในช่วงที่ยังไม่มีการปลดล็อกพรรคการเมือง ซึ่งอาจเข้าข่ายของการหาเสียงเลือกตั้งนั้น ต่อมานายสุเทพได้ชี้แจงว่าการเดินคารวะแผ่นดินไม่ใช่การหาเสียง แต่เป็นการเดินรณรงค์เชิญชวนประชาชนร่วมสมัครเป็นสมาชิกพรรคเท่านั้น และการเดินคารวะแผ่นดินถือเป็นการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการปฏิรูปการเมืองในรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

เดินคารวะแผ่นดิน: จุดเริ่มต้น ระหว่างทาง และจุดสิ้นสุด

           การเดินคารวะแผ่นดินของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เริ่มขึ้นในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2561 ที่กรุงเทพมหานคร โดยกำหนดจะเดินไปให้ครบ 77 จังหวัด เพื่อเชิญชวนประชาชนมาสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทย โดยนายสุเทพเน้นย้ำว่าการเดินคารวะแผ่นดินนี้เป็นการเชิญชวนมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเท่านั้น จะไม่มีการหาเสียงใด ๆ ซึ่งการสมัครเป็นสมาชิกพรรคนั้นมีค่าบำรุงพรรคปีละ 365 บาท หรือวันละ 1 บาท

           จุดเริ่มต้นของการเดินคารวะแผ่นดินนั้น เริ่มขึ้นที่ลานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โดย ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทยนำคณะผู้จัดตั้งพรรค รวมทั้งพี่น้องประชาชนราว 50 คน เข้าวางพานพุ่มดอกไม้ถวายสักการะ ณ เบื้องหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งพระราชวงจักรีหลังจากนั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะประธานคณะทำงานรณรงค์เชิญชวนประชาชนเป็นสมาชิกพรรคคณะผู้จัดตั้งพรรค กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทยจะจงรักภักดี เทิดทูน ปกป้อง สถาบันพระมหากษัตริย์ตามอุดมการณ์ข้อแรกของพรรค และจะเป็นพรรคการเมืองที่ยึดถือผลประโยชน์ของชาติ และของประชาชนอย่างแท้จริง โดยยืนยันจะไม่รับตำแหน่งใด ๆ ในพรรคการเมืองเป็นเพียงแค่ผู้สมัครสมาชิกพรรคคนหนึ่งร่วมกับพี่น้องประชาชน[1]

           หลังจากที่เดินอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครอยู่ 3 วัน นายเริ่มเดินคารวะแผ่นดินในยังจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยเริ่มจากภาคตะวันออก ซึ่งเริ่มจากจังหวัดจันทบุรีเป็นจังหวัดแรก เนื่องจากถือเคล็ดว่าจังหวัดจันทบุรีเป็นจังหวัดที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ใช้พื้นที่จังหวัดจันทบุรี เป็นที่รวบรวมไพล่พลทำการกอบกู้เอกราชชาติให้กับคืนมา โดยก่อนเริ่มเดินนั้นได้บวงสรวงพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ณ บริเวณสวนสาธารณะทุ่งนาเชย เพื่อสักการะศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จากนั้นได้มีการลั่นฆ้อง 3 ครั้ง ตีกลอง และเคาะระฆัง เพื่อให้เป็นขวัญกำลังใจ ก่อนจะเดินทางไปสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ด้วยการเติมน้ำมันตะเกียงเข้าสักการะขอพร เมื่อเสร็จพิธีแล้ว คณะเดินคารวะแผ่นดินจึงเริ่มออกเดินทักทายประชาชนตามพื้นที่ และจะเดินไปยังจังหวัดตราด จังหวัดระยอง จนครบจังหวัดภาคตะวันออก[2]

           ในวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 คณะเดินคารวะแผ่นดินเริ่มเดินในพื้นที่ภาคใต้ โดยเริ่มจากจังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จากนั้นเข้าสู่จังหวัดสงขลา และจังหวัดอื่น ๆ จนปิดท้ายที่จังหวัดนครปฐม ซึ่งในพื้นที่ภาคใต้นี้ การตอบรับค่อนข้างดีกว่าภาคอื่น ๆ ส่วนหนึ่งมาจากความนิยมต่อตัวนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งเป็นแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ยังคงมีอยู่ในพื้นที่[3] จากนั้นวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เริ่มเดินในพื้นที่ภาคกลาง โดยมีจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นจังหวัดแรก กราบสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ก่อนเดินทางไปยังพื้นที่ต่าง ๆ จนกระทั่งในช่วงบ่ายนายสุเทพและคณะได้เดินทางไปยังกลุ่มวิสาหกิจชุมชนตำบลบ้านเกาะ อำเภอบางไทร เพื่อพบปะกลุ่มเกษตรกรพัฒนาตำบลบ้านเกาะ โดยบรรดาเกษตรกรเข้าร่วมรายงานปัญหาต่าง ๆ ซึ่งก็ได้รายงานว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับระบบน้ำที่มีทั้งแล้งและน้ำท่วมอย่างหนักทำให้เกษตรกรไม่ได้รับการชดเชย อีกทั้งปัญหาเรื่องราคาข้าวที่เกษตรกรส่วนใหญ่ทำนาปรัง มีราคาถูกเกวียนละ 6,500 บาท อยากให้ทางพรรคช่วยเหลือในเรื่องปัญหาน้ำท่วมที่พื้นที่ ซึ่งนายสุเทพกล่าวว่า การร้องเรียนในวันนี้ เรายังช่วยไม่ได้มากนักและเชื่อว่าหลังเลือกตั้ง หากพรรคมี ส.ส. 50-60 คน แล้วก็จะช่วยได้การมาวันนี้เราก็จะเก็บข้อมูลความเดือดร้อนของเกษตรกรไปเป็นข้อมูล[4]

           หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการเดินในพื้นที่ภาคกลางแล้ว คณะเดินคารวะแผ่นดินได้เริ่มเดินในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เริ่มจากจังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2561 ต่อเนื่องไปในจังหวัดต่าง ๆ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลาวงของคนเสื้อแดงนั้น ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์ความขัดแย้งร้ายแรงแต่ประการใด ซึ่งนายสุเทพ ระบุว่า “เชื่อว่าประสบการณ์การทางการเมืองของพี่น้องประชาชาชนทุกฝ่าย ได้เรียนรู้มาด้วยกันแล้วว่า เราสามารถจะมีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันได้ แต่อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ”[5]

           สำหรับพื้นที่สุดท้ายคือภาคเหนือ โดยเริ่มจากจังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2562 ซึ่งนายสุเทพระบุถึงการเดินคารวะแผ่นดินที่จังหวัดเชียงใหม่ว่า ได้รับการต้อนรับจากประชาชนดีมาก ขณะที่ตนเองไม่ใช่คนอื่นไกล เคยเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อยู่ถึง 4 ปี วันนี้จึงพบเจอคนเก่า ๆ หลายคน ส่วนใหญ่ก็ฝากให้ช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง รวมทั้งไม่อยากให้บ้านเมืองกลับไปมีปัญหาเช่นเดิมอีก[6] และจังหวัดสุดท้ายของการเดินคารวะแผ่นดิน คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 โดยตลอดระยะเวลากว่า 120 วัน นายสุเทพย้ำว่าการปฏิรูปการเมืองตามเจตนารมณ์ของมวลมหาประชาชน ในเมื่อรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ ยังไม่สามารถปฏิรูปการเมืองได้สำเร็จ นายสุเทพจึงจำเป็นต้องทำพรรคการเมืองของประชาชนขึ้นมา เพื่อเดินหน้าปฏิรูปการเมืองให้เป็นผลสำเร็จ[7]

 

หลากปฏิกิริยาต่อการเดินคารวะแผ่นดิน

           จากการเดินคารวะแผ่นดินของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในระยะเวลา 120 วัน ทำให้เกิดกระแสทางการเมืองในวงกว้าง ทั้งในส่วนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยส่วนเห็นด้วย เนื่องจากเห็นว่าเป็นการเปิดโอกาสให้คนทุกคนในสังคมได้มารวมพลังร่วมกัน ขณะที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยมองว่านายสุเทพและกลุ่ม กปปส. ที่ออกมาเคลื่อนไหวในช่วงปี พ.ศ. 2557 จนกลายเป็นเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหารในปีเดียวกัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ สังคมการเมืองไทยมีปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ดังกล่าวใน 2 รูปแบบ คือ ปฏิกิริยาเชิงบวก และปฏิกิริยาเชิงลบ

           ปฏิกิริยาเชิงบวกต่อเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นในฝ่ายที่เห็นด้วยกับการเดินคารวะแผ่นดิน ดังเช่นที่นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาติไทยมองว่า การที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศหยิบรองเท้าที่เคยใช้ในการเดินนำชาว กปปส. ออกสู่ท้องถนนเป็นเวลา 204 วัน ขึ้นมาใส่อีกสักครั้งหนึ่ง เพื่อเดินคารวะแผ่นดินให้ครบทุกจังหวัดนั้น ส่งผลให้หลายคนเกิดความสงสาร และเห็นสำคัญและความตั้งใจจริงของพรรค นอกจากนี้ การเดินคารวะแผ่นดินเพื่อเชิญชวนให้ประชาชนสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคนั้น เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เป็นเจ้าของพรรคอย่างแท้จริงและทางพรรคก็ได้สอบถามปัญหาและความต้องการของประชาชนได้โดยตรง ทำให้ผู้สมัครของพรรคเป็นตัวแทนของประชาชนรับรู้ปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริง[8]

           ขณะที่ปฏิกิริยาเชิงลบต่อเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นทั้งในฝ่ายที่เคยสนับสนุนกลุ่ม กปปส. และฝ่ายที่ต่อต้านกลุ่ม กปปส. และกลุ่มที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย โดยมองว่าการกระทำของนายสุเทพเมื่อปี พ.ศ. 2557 เป็นการสร้างเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหาร เป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทำให้ประชาชนแต่ละกลุ่มแสดงออกถึงวิธีการต่อต้านที่แตกต่างกัน เช่น ชายคนหนึ่งตะโกนใส่นายสุเทพว่า “โกหกแล้ว” ขณะที่ร้านค้าบางร้านก็ระบุไม่ให้เข้าโดยบอกว่าไม่ต้อนรับ หรือในกรณีชายคนหนึ่งกล่าวกับนายสุเทพที่กำลังเดินคารวะแผ่นดินบริเวณถนนเยาวราชว่า "เคยสนับสนุนคุณตอนนั้นนะ แต่ตอนนี้ผมไม่เห็นด้วย"[9] ซึ่งนำมาสู่เหตุการณ์ที่มวลชนกลุ่ม กปปส. บางส่วนนำนกหวีดมาคืนให้นายสุเทพ จนกลายเป็นเหตุการณ์ “แห่คืนนกหวีด” ตามมา นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่นายสุเทพเดินไปยังพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ก็มักจะเจอการต่อต้านในหลายรูปแบบ เช่น การถือป้าย การปฏิเสธที่จะรับเอกสารจากพรรค การไม่สนใจ การกล่าวถ้อยคำแสดงความไม่เห็นด้วย เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดเป็นปฏิกิริยาแสดงออกในเชิงสันติถึงความไม่เห็นด้วยกับการกระทำของนายสุเทพทั้งสิ้น

 

กลยุทธ์ของพรรครวมพลังประชาชาติไทย

           กรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีกลยุทธ์เดินคารวะแผ่นดิน ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่มีสโลแกนพรรคว่า “คนธรรมดาสร้างชาติ”[10] ซึ่งก่อตั้งโดยอดีตแกนนำกลุ่ม กปปส. โดยชูหลักการว่าเป็นการต่อสู้ภาคต่อของกลุ่ม กปปส. จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 โดยนายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง เป็นผู้ยื่นจดทะเบียนจัดตั้งพรรค และมีหลักการว่า “พิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ขจัดระบอบทักษิณ”[11] นอกจากนี้ พรรครวมพลังประชาชาติไทยมีเป้าหมายและนโยบายสำคัญ ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2562 ได้แก่

            เป้าหมายของพรรครวมพลังประชาชาติไทยมีอยู่ 2 ประการ คือ ประการที่หนึ่ง เร่งปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศขนานใหญ่ในด้านต่าง ๆ และประการที่สอง มุ่งแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจชาวบ้านมากกว่าสิ่งอื่นใด ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เพื่อชีวิตที่มั่นคง โดยใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงและศาสตร์พระราชา[12]

           สำหรับนโยบายของพรรครวมพลังประชาชาติไทยที่สำคัญ อาทิ นโยบายจังหวัดของประชาชน ยกฐานะทุกจังหวัดเป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ รวมบรรดาหน่วยราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดหนึ่งๆ เข้ามาไว้ด้วยกัน การจัดสรรงบประมาณจากรัฐโดยตรง ไม่ผ่านกระทรวงและกรม นโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจชาวบ้าน ยกรายได้ครัวเรือนให้ถึงเส้นมาตรฐานความพอเพียง ดูแลการเกษตรของประเทศอย่างเป็นระบบครบวงจร เชื่อมโยงทั้งการผลิต การแปรรูปและการตลาด นโยบายด้านการศึกษา เน้นฝึกนักเรียนนักศึกษาให้มีความรู้คู่คุณธรรมและประกอบอาชีพได้ดี มีรายได้ที่มั่นคงในเวลาอันรวดเร็ว นโยบายเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและตำรวจ กระจายอำนาจการบริหารงาน ให้ตำรวจไทยเป็นตำรวจมืออาชีพและเป็นตำรวจของประชาชนอย่างแท้จริง โดยให้แต่ละจังหวัดมีสำนักงานตำรวจที่ขึ้นกับจังหวัดและประชาชนในพื้นที่[13]

           จะเห็นได้ว่า จากหลักการ เป้าหมาย และนโยบายของพรรครวมพลังประชาชาติไทยนั้น ถูกปรับมาเป็นกลยุทธ์ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2562 ในรูปแบบของการเดินคารวะแผ่นดิน เพื่อดึงพลังของภาคประชาชนออกมาอย่างแท้จริงตามแนวทางที่พรรคยึดถือ ดังที่นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ อธิบายลักษณะดังกล่าวว่า “การหาเสียงของรวมพลังประชาชาติไทย ก็จะต้องใช้ยุทธศาสตร์เดิน คือหาเสียงด้วยการเดินเป็นหลัก การเดินนั้นไม่ต้องใช้เงิน คนธรรมดาที่หัวใจโตทำได้ทุกคน ทุกพรรคเดินได้ แต่เดินได้ไม่เท่ากัน เพราะหัวใจไม่เท่ากัน มันช่างเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส ผู้สมัครจะต้องเดินทุกวัน เดินจนถึงวันสุดท้ายก่อนจะหย่อนบัตร[14]

           สำหรับคำว่าคารวะแผ่นดินมีความหมายที่มีนัยที่สำคัญ ซึ่งนายเถกิง สมทรัพย์ แกนนำพรรครวมพลังประชาชาติไทย กล่าวถึงความหมายของคำว่าเดินคารวะแผ่นดิน หมายถึง การเดินไปคารวะประชาชน ไปไหว้ประชาชน เพื่อชักชวนประชาชนให้เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกพรรค อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นแนวทางการทำงานของพรรคว่าเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง โดยการเดินจะเป็นการระดมพลังของประชาชนให้แน่นแฟ้น ไม่ได้มุ่งสร้างความแตกแยก ขณะที่บางกลุ่มบางฝ่ายพยายามสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน ถือเป็นการทำลายแผ่นดินนี้[15] ฉะนั้น แนวทางของพรรครวมพลังประชาชาติไทยจึงเน้นการเดินเพื่อนำเสนอตัวตน หลักการ เป้าหมาย และนโยบายของพรรค รวมทั้งเชิญชวนให้ประชาชนร่วมเป็นเจ้าของพรรค เพื่อให้พรรคเป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชน ก่อนจะเข้าสู่การหาเสียงในรูปแบบปกติทั่วไป

“กลยุทธ์การเลือกตั้ง” กับความสำคัญในทางการเมือง

           เมื่อถึงการเลือกตั้งในแต่ละครั้ง จะพบว่าพรรคการเมืองต่าง ๆ จะมีกลยุทธ์ในทางการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้คะแนนเสียงตามที่มุ่งหวังไว้ ซึ่งกรณีของพรรครวมพลังประชาชาติไทยก็เลือกใช้ช่องทางการเดินเป็นกลยุทธ์ในการสร้างการรับรู้ที่มีต่อพรรค ซึ่งเป็นพรรคที่ตั้งขึ้นใหม่ จึงมีความจำเป็นที่ต้องสร้างชื่อของพรรคให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกลไกทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Representative Democracy) ที่มีการเลือกตั้งตัวแทนเข้าทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ โดยมีการเลือกตั้งเป็นกระบวนการที่เชื่อมระหว่างประชาชนกับตัวแทนให้สัมพันธ์ยึดโยงกัน ดังนั้น พรรคการเมืองที่เป็นกลุ่มคนที่ปรารถนาจะได้รับเลือกให้เป็นตัวแทน เพื่อผลักดันวาระนโยบายบางอย่าง จึงจำเป็นที่ต้องได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งให้มากที่สุด เพื่อได้จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศและผลักดันวาระนโยบายดังกล่าวต่อไป “กลยุทธ์การเลือกตั้ง” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ได้คะแนนเสียงดังกล่าว ซึ่งพรรคการเมืองต่างเลือกใช้กลยุทธ์ที่สำคัญ ดังนี้

           “การใช้เครื่องมือดิจิทัล” เป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะแพลตฟอร์มที่เป็นสื่อออนไลน์ต่าง ๆ อาทิ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ไลน์ ซึ่งเป็นสื่อที่เปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้เข้าถึงจำนวนมาก อีกทั้งยังเปิดพื้นที่ให้สามารถใช้รูปแบบการสื่อสารในการหาเสียงได้หลากหลาย เช่น การถ่ายทอดสด การนำเสนอนโยบายด้วยข้อมูลอินโฟกราฟิก รวมทั้งรูปแบบวิดีโอขนาดสั้นและยาว การนำเสนอข้อมูลด้วยการเขียนผ่านสื่อออนไลน์ เป็นต้น การใช้เครื่องมือดิจิทัลนี้มีความรวดเร็วสามารถรองรับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที ซึ่งนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา กลยุทธ์การเลือกตั้งด้วยรูปแบบดังกล่าวได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น และมีรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะในการเลือกตั้งของประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2562 พรรคการเมืองแทบทุกพรรคล้วนใช้ช่องทางเครื่องมือดิจิทัลในการสื่อสารทั้งสิ้น ทั้งในรูปแบบของสื่อออนไลน์ส่วนตัวและสื่อออนไลน์ทางการของผู้สมัคร รวมทั้งสื่อออนไลน์ของพรรคการเมือง ที่นำเสนอนโยบายที่สำคัญ บรรยากาศการลงพื้นที่หาเสียง การถ่ายทอดสดการปราศรัยของพรรคการเมือง โดยมียอดผู้เข้าชมเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของกลยุทธ์[16]

           “การใช้ถ้อยคำ” เป็นกลยุทธ์ที่มีความทุกช่วงเวลา เนื่องจากหากถ้อยคำที่ใช้ในการหาเสียง มีผลอย่างยิ่งต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชน ฉะนั้น การเลือกกลยุทธ์ดังกล่าวต้องเริ่มจากการคิดประเด็นหลักที่จะใช้ในการหาเสียง เมื่อได้ประเด็นดังกล่าวแล้ว จะต้องคิดวิธีการนำเสนอประเด็นดังกล่าวด้วยถ้อยคำที่กระชับแต่สามารถสะท้อนประเด็นดังกล่าวได้[17] ดังเช่นที่ปรากฏในการหาเสียงของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีความโดดเด่นในการใช้ถ้อยคำ เช่น ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) บารัค โอบามา จากพรรคเดโมแครต ใช้ถ้อยคำสโลแกนว่า “Change” ขณะที่คู่แข่งคือจอห์น แม็คเคน จากพรรครีพับลิกัน ใช้ถ้อยคำสโลแกนว่า “Country First” ซึ่งทั้งสองสโลแกนนี้เกิดขึ้นภายใต้ช่วงเวลาของวิกฤตสินเชื่อสับไพรม์ (Subprime Mortgage Crisis) หรือในการเลือกตั้ง ส.ส. ของไทยในปี พ.ศ. 2554 ที่พรรคเพื่อไทย ใช้ถ้อยคำสโลแกนว่า “คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน อีกครั้ง” เพื่อเน้นย้ำความเชื่อมโยงกับพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นพรรคที่เคยประสบความสำเร็จในการผลักดันนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้สโลแกนว่า “เดินหน้าต่อไป ด้วยนโยบายเพื่อประชาชน” เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายรัฐบาลในช่วงก่อนการเลือกตั้ง จึงเน้นในเรื่องการเดินหน้าให้เกิดความต่อเนื่อง[18] 

           “การสร้างความนิยมในตัวบุคคล” เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ เนื่องจากพฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชนส่วนหนึ่งจะใช้ตัวช่วย (Heuristics Devices) ในการตัดสินใจว่าจะเลือกหรือไม่เลือกผู้สมัครรายใด โดยพิจารณาจากความรู้สึกที่มีต่อหัวหน้าพรรคหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองนั้น รวมทั้งยังแสดงถึงความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาให้กับตนเองด้วย[19] ซึ่งในกรณีของพรรครวมพลังประชาชาติไทยก็พบว่าใช้บทบาทของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นการนำในการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2562 แม้ว่า นายสุเทพจะไม่มีตำแหน่งใด ๆ ในพรรคก็ตาม แต่การชูนายสุเทพขึ้นมานำพรรคก็สะท้อนว่า พลังของกลุ่ม กปปส. ยังคงมีอยู่ และสามารถเลือกพรรครวมพลังประชาชาติไทยเพราะความนิยมในตัวนายสุเทพนั่นเอง นอกจากนี้ พรรคการเมืองขนาดใหญ่อย่างเช่นในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2554 พบว่า ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ต่างใช้ความนิยมในตัวบุคคล นั่นคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์มีความชัดเจนค่อนข้างมาก เนื่องจากไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค แต่กลายเป็นที่จับจ้องและมีอิทธิพลต่อการเลือกพรรคเพื่อไทยของประชาชนทั่วไป

           “การสร้างความนิยมในพรรคการเมือง” เป็นการสร้างความเป็นอัตลักษณ์พรรคการเมือง (Party Identification) ให้ชัดเจน โดยมีเหตุผลใกล้เคียงกับการสร้างความนิยมในตัวบุคคล นั่นคือ พฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชนส่วนหนึ่งจะใช้ตัวช่วย (Heuristics Devices) ในการตัดสินใจว่าจะเลือกหรือไม่เลือกพรรคการเมืองใด โดยพิจารณาจากความรู้สึกที่มีต่อพรรคการเมืองนั้น ซึ่งอาจเกิดจากนโยบาย จุดยืนทางการเมือง และความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาให้กับตนเอง ซึ่งที่ผ่านมาความนิยมในพรรคการเมืองที่ชัดเจนคือในช่วงปี พ.ศ. 2548 ที่ความนิยมของพรรคไทยรักไทยชัดเจนมาก และอีกครั้งในปี พ.ศ. 2550 – 2557 พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคที่ต่อเนื่องมาจากพรรคไทยรักไทย มีบทบาทดังกล่าวชัดเจนมาก และพยายามสร้างความเชื่อมโยงกับพรรคไทยรักไทยเช่นการใช้คำว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” เพื่อให้เห็นความสำเร็จของนโยบายพรรคการเมืองดังกล่าว

 

บทส่งท้าย

           เดินคารวะแผ่นดินถือเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่สำคัญของพรรครวมพลังประชาชาติไทยที่เน้นการเดินของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปทั้ง 77 จังหวัดของประเทศไทย เพื่อเชิญชวนประชาชนให้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองดังกล่าว เพื่อให้ทุกคนได้เป็นเจ้าของพรรคย่างแท้จริง โดยใช้ระยะเวลารวมกว่า 120 วัน ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2561 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 ซึ่งการจัดกลยุทธ์ดังกล่าวเป็นการใช้บทบาทของนายสุเทพเพื่อสร้างความนิยมให้กับพรรคการเมือง เป็นกลยุทธ์ที่ก่อให้เกิดผลในวงกว้าง นอกจากนี้ยังมีการใช้สื่อดิจิทัลในการเผยแพร่กิจกรรมการเดินคารวะแผ่นดินในแต่ละวัน ทำให้การเดินคารวะแผ่นดินของนายสุเทพได้รับความสนใจทั้งในวงกว้าง กล่าวคือ เกิดการผลพวงของการใช้สื่อดิจิทัลที่ทำให้ข้อมูลแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และการเดินไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้ได้รับฟังปัญหา ทำให้เกิดความสนใจในเชิงลึก รวมทั้งยังสามารถประเมินความนิยมที่มีต่อพรรคและตัวนายสุเทพได้ในระดับหนึ่งด้วย ซึ่งจากการเดินคารวะแผ่นดินมักจะปรากฏทั้งที่มีผู้สนับสนุน ผู้ที่ต่อต้าน และผู้ที่นำนกหวีดที่เคยร่วมขบวนการกับกลุ่ม กปปส. ในอดีตมาคืน

 

บรรณานุกรม

Bartlett, Jamie, Josh Smith, and Rose Acton, (2018). The Future of Political Campaigning. London: Demos.

Brady, Henry E., Richard Johnson, and John Sides. (2006). The Study of Political Campaigns, Available from <https://www.researchgate.net/publication/251806712_The_
Study_of_Political_Campaigns>. Accessed 18 June 2020.

““กำนันสุเทพ”ยิ้มแฉ่งนำทีม รปช.เดินคารวะแผ่นดินเชียงใหม่-ยันไร้ปัญหาเลื่อนวันเลือกตั้ง." ผู้จัดการออนไลน์ (10 มกราคม 2562). เข้าถึงจาก

          <https://mgronline.com/local/detail/9620000003311>. เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2563.

“คนเล็กหัวใจใหญ่! “เอนก” ซูฮก “สุเทพ” เดิน “คารวะแผ่นดิน” ชู “ยุทธศาสตร์เดิน” จนถึงวันสุดท้ายก่อนหย่อนบัตร." ประชาชาติธุรกิจ (5 กุมภาพันธ์ 2562). เข้าถึงจาก <https://www.prachachat.net/politics/news-286748>. เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2563.

“เจอต่อว่าโกหก 'สุเทพ' คาดฝ่ายตรงข้ามส่งมา ป่วนปฏิบัติการเดินคารวะแผ่นดิน." ประชาไท (29 กันยายน 2561). เข้าถึงจาก <https://prachatai.com/journal/2018/10/79351>. เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563.

“‘เทพเทือก' คารวะแผ่นดินถึงเมืองเพชรแล้ว." ผู้จัดการออนไลน์ (27 พฤศจิกายน 2561). เข้าถึงจาก <https://mgronline.com/local/detail/9610000118174>. เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2563.

“นโยบายพรรครวมพลังประชาชาติไทย." พรรครวมพลังประชาชาติไทย. เข้าถึงจาก <https://act-party.org/party-policy/>. เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2563.

เพจเฟซบุ๊คทางการของพรรครวมพลังประชาชาติไทย. พรรครวมพลังประชาชาติไทย - 'ACT Party'. เข้าถึงจาก <https://www.facebook.com/actpartyorg/posts/886486948406932/>. เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2563.

“เริ่มแล้ว! "เทือก" นำทัพ รปช.เดินขบวน "คารวะแผ่นดิน" ผ่ากลางเมืองหลวง!." ข่าวสดออนไลน์ (25 ตุลาคม 2561). เข้าถึงจาก <https://www.khaosod.co.th/politics/news_1734272>. เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2563.

“สุเทพ เดินคารวะแผ่นดินที่กาฬสินธุ์ สุดแฮปปี้ ชาวบ้านต้อนรับดีเกินคาด." ไทยรัฐออนไลน์ (31 มกราคม 2562). เข้าถึงจาก <https://www.thairath.co.th/news/politic/1484473>. เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563.

“สุเทพ เทือกสุบรรณ ปฏิญาณ “รับใช้กษัตริย์” และ “ขจัดระบอบทักษิณ” คือภารกิจ รปช.." บีบีซีไทย (5 กันยายน 2561). เข้าถึงจาก <https://www.bbc.com/thai/thailand-45420226>. เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2563.

“สุเทพ บุกเมืองหลวงคนเสื้อแดง เดินคารวะแผ่นดิน มโนเก็บเสียงภาคอีสาน." ข่าวสดออนไลน์ (2 มกราคม 2562). เข้าถึงจาก <https://www.khaosod.co.th/politics/news_2036446>. เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2563.

““สุเทพ” เก็บข้อมูลปัญหาน้ำท่วมอยุธยา ชวน ปชช.สมัครสมาชิกพรรค เชื่อมีเลือกตั้ง." ผู้จัดการออนไลน์ (3 ธันวาคม 2561). เข้าถึงจาก <https://mgronline.com/politics/detail/9610000120367>. เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2563.

““สุเทพ” เดินคารวะแผ่นดินครบ 76 จังหวัดแล้ว เตรียมเปิดเวทีปราศรัยทั่วประเทศ." สยามรัฐออนไลน์ (22 กุมภาพันธ์ 2562). เข้าถึงจาก <https://siamrath.co.th/n/66541>. เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2563.

““สุเทพ” เดินทางคารวะแผ่นดินที่จันทบุรี." ไอเอ็นเอ็นนิวส์ (1 พฤศจิกายน 2561). เข้าถึงจาก <https://www.innnews.co.th/regional-news/news_230695/>. เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2563.

อรรถสิทธิ์ พานแก้ว. (2556). เลือกเพราะชอบ: พฤติกรรมการเลือกตั้งของคนไทยในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปปี พ.ศ. 2550. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า.

เอกสิทธิ์ อวยชัยวัฒน์. (2555). “กลยุทธ์การโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองไทย.” นิเทศสยามปริทัศน์. ปีที่ 11. ฉบับที่ 12 (2555): 107 – 121.

อ้างอิง 

[1] "เริ่มแล้ว! "เทือก" นำทัพ รปช.เดินขบวน "คารวะแผ่นดิน" ผ่ากลางเมืองหลวง!," ข่าวสดออนไลน์ (25 ตุลาคม 2561), เข้าถึงจาก <https://www.khaosod.co.th/politics/news_1734272>, เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2563.

[2] "“สุเทพ” เดินทางคารวะแผ่นดินที่จันทบุรี," ไอเอ็นเอ็นนิวส์ (1 พฤศจิกายน 2561), เข้าถึงจาก <https://www.innnews.co.th/regional-news/news_230695/>, เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2563.

[3] "'เทพเทือก' คารวะแผ่นดินถึงเมืองเพชรแล้ว," ผู้จัดการออนไลน์ (27 พฤศจิกายน 2561), เข้าถึงจาก <https://mgronline.com/local/detail/9610000118174>, เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2563.

[4] "“สุเทพ” เก็บข้อมูลปัญหาน้ำท่วมอยุธยา ชวน ปชช.สมัครสมาชิกพรรค เชื่อมีเลือกตั้ง," ผู้จัดการออนไลน์ (3 ธันวาคม 2561), เข้าถึงจาก <https://mgronline.com/politics/detail/9610000120367>, เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2563.

[5] "สุเทพ บุกเมืองหลวงคนเสื้อแดง เดินคารวะแผ่นดิน มโนเก็บเสียงภาคอีสาน," ข่าวสดออนไลน์ (2 มกราคม 2562), เข้าถึงจาก <https://www.khaosod.co.th/politics/news_2036446>, เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2563.

[6] "“กำนันสุเทพ”ยิ้มแฉ่งนำทีม รปช.เดินคารวะแผ่นดินเชียงใหม่-ยันไร้ปัญหาเลื่อนวันเลือกตั้ง," ผู้จัดการออนไลน์ (10 มกราคม 2562), เข้าถึงจาก <https://mgronline.com/local/detail/9620000003311>, เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2563.

[7] "“สุเทพ” เดินคารวะแผ่นดินครบ 76 จังหวัดแล้ว เตรียมเปิดเวทีปราศรัยทั่วประเทศ," สยามรัฐออนไลน์ (22 กุมภาพันธ์ 2562), เข้าถึงจาก <https://siamrath.co.th/n/66541>, เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2563.

[8] "สุเทพ เดินคารวะแผ่นดินที่กาฬสินธุ์ สุดแฮปปี้ ชาวบ้านต้อนรับดีเกินคาด," ไทยรัฐออนไลน์ (31 มกราคม 2562), เข้าถึงจาก <https://www.thairath.co.th/news/politic/1484473>, เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563.

[9] "เจอต่อว่าโกหก 'สุเทพ' คาดฝ่ายตรงข้ามส่งมา ป่วนปฏิบัติการเดินคารวะแผ่นดิน," ประชาไท (29 กันยายน 2561), เข้าถึงจาก <https://prachatai.com/journal/2018/10/79351>, เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563.

[10] "นโยบายพรรครวมพลังประชาชาติไทย," พรรครวมพลังประชาชาติไทย, เข้าถึงจาก <https://act-party.org/party-policy/>, เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2563.

[11] "สุเทพ เทือกสุบรรณ ปฏิญาณ “รับใช้กษัตริย์” และ “ขจัดระบอบทักษิณ” คือภารกิจ รปช.," บีบีซีไทย (5 กันยายน 2561), เข้าถึงจาก <https://www.bbc.com/thai/thailand-45420226>, เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2563.

[12] "นโยบายพรรครวมพลังประชาชาติไทย," พรรครวมพลังประชาชาติไทย, เข้าถึงจาก <https://act-party.org/party-policy/>, เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2563.

[13] "นโยบายพรรครวมพลังประชาชาติไทย," พรรครวมพลังประชาชาติไทย, เข้าถึงจาก <https://act-party.org/party-policy/>, เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2563.

[14] "คนเล็กหัวใจใหญ่! “เอนก” ซูฮก “สุเทพ” เดิน “คารวะแผ่นดิน” ชู “ยุทธศาสตร์เดิน” จนถึงวันสุดท้ายก่อนหย่อนบัตร," ประชาชาติธุรกิจ (5 กุมภาพันธ์ 2562), เข้าถึงจาก <https://www.prachachat.net/politics/news-286748>, เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2563.

[15] เพจเฟซบุ๊คทางการของพรรครวมพลังประชาชาติไทย, พรรครวมพลังประชาชาติไทย - ACT Party, เข้าถึงจาก <https://www.facebook.com/actpartyorg/posts/886486948406932/>, เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2563.

[16] Jamie Bartlett, Josh Smith, and Rose Acton, The Future of Political Campaigning (London: Demos, 2018), pp. 26 – 37.

[17] Henry E. Brady, Richard Johnson, and John Sides, The Study of Political Campaigns (January 2006), Available from <https://www.researchgate.net/publication/251806712_The_Study_of_Political_
Campaigns>, Accessed 18 June 2020.

[18] เอกสิทธิ์ อวยชัยวัฒน์, “กลยุทธ์การโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองไทย,” นิเทศสยามปริทัศน์, ปีที่ 11, ฉบับที่ 12 (2555): 107 – 121.

[19] อรรถสิทธิ์ พานแก้ว, เลือกเพราะชอบ: พฤติกรรมการเลือกตั้งของคนไทยในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปปี พ.ศ. 2550 (กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, 2556), หน้า 43-44.