ศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:21, 20 กุมภาพันธ์ 2563 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย "<div> ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมา...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายภัทระ คำพิทักษ์


ศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

 

1. ความเป็นมาของศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐

          ศาลรัฐธรรมนูญ (Constitution Court) มีฐานะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญทำหน้าที่เป็นองค์กรตุลาการในการตีความรัฐธรรมนูญเพื่อธำรงไว้ซึ่งหลักความเป็นกฎหมายสูงสุด โดยจัดตั้งขึ้นครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ สาเหตุของการนำแนวคิดของศาลรัฐธรรมนูญมาใช้สืบเนื่องจากในปี พ.ศ.๒๕๓๔-พ.ศ.๒๕๔๐ ขณะนั้นมีการกำหนดให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่ในการตีความรัฐธรรมนูญ แต่เกิดสภาพปัญหาในเรื่องของความเป็นอิสระและการปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่องอันเกิดจากการที่รัฐธรรมนูญ ณ เวลานั้นกำหนดให้อายุการดำรงวาระของตุลาการรัฐธรรมนูญสิ้นสุดตามวาระของสภาผู้แทนราษฎร ส่งผลให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญไม่มีสถานะเป็นองค์กรที่ถาวรเพราะเป็นเพียงองค์กรในรูปของคณะกรรมการอันมิใช่องค์กรของศาลที่มีความเป็นกลางและมีอิสระอย่างแท้จริง เนื่องจากสถานะของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีองค์ประกอบที่มาจากการเมือง นอกจากนี้ ปัญหาในด้านการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิที่ยังขาดความชัดเจน[1] ดังนั้น คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.)[2] จึงได้มีการเสนอแนวคิดในส่วนของตุลาการรัฐธรรมนูญว่า ควรจะกำหนดให้มีจัดตั้งเป็นองค์กรขึ้นออกจากการเมือง โดยให้ตั้งเป็นองค์กรอิสระในรูปแบบของศาลรัฐธรรมนูญ และให้มีบุคลากรหรือตุลาการที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ แยกอิสระออกมาทั้งในแง่ขององค์กร และหน่วยธุรการ มีวิธีพิจารณาและหลักเกณฑ์ในการทำคำพิพากษาที่ชัดเจนและมีมาตรฐาน ครอบคลุมในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญและองค์กรที่เกี่ยวข้องตามรัฐธรรมนูญอย่างครบถ้วน ด้วยแนวคิดดังกล่าวนี้จึงได้กำหนดให้มีการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ แทนคณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่ถูกยกเลิกไป และยังกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และ ๒๕๖๐ เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนในบางประการเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและรองรับต่อปัญหาที่จะเกิดมีขึ้นในอนาคต

 

๒.ลักษณะที่สำคัญของศาลรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐

          ศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่เป็นตุลาการอันมีลักษณะที่สำคัญหลายประการ ดังนี้[3]

๑. มีฐานะเป็นฝ่ายตุลาการ การทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นลักษณะของการใช้อำนาจในการวินิจฉัยข้อพิพาททางกฎหมายเพื่อให้เป็นที่ยุติโดยตั้งอยู่บนหลักการที่สำคัญว่า “ที่ใดไม่มีผู้ฟ้องคดี ที่นั่นไม่มีผู้พิพากษา”[4] และมีความเป็นอิสระของการพิจารณาพิพากษาคดี ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็ว เป็นธรรมและปราศจากอคติทั้งปวง รวมถึงการห้ามมิให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญดำรงตำแหน่งหรือกระทำการใดๆ อันส่งผลต่อความขัดแย้งหรือมีผลกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่ในฐานะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

๒. มีฐานะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ เป็นองค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาตามรัฐธรรมนูญและมีอำนาจหน้าที่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญ

๓. มีการใช้วิธีพิจารณาความแบบไต่สวน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้ทำหน้าที่ชี้ขาดข้อพิพาทจะทำหน้าที่ในการเสาะแสวงหาพยานหลักฐาน นอกเหนือจากการที่คู่ความนำมากล่าวอ้างแล้ว โดยการหมายเรียกให้ส่งพยานหลักฐานเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาจนกว่าจะสิ้นกระแสความ

 

๓. องค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

          องค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญจะประกอบไปด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 9 ท่าน โดยคัดสรรมาจากผู้มีความรู้ความสามารถในแต่ละด้านจากหลาย ๆ องค์กร ดังนี้[5]

1) ผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกามาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี จำนวน ๓ คนซึ่งผ่านการคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา กรณีที่ไม่อาจเลือกผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาได้ ย่อมสามารถทำการคัดเลือกจากบุคคลผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาในศาลฎีกามาแล้วไม่น้อยกว่าสามปีแทนก็ได้

2) ผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการในศาลปกครองสูงสุดมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี  จำนวน ๒ คน ซึ่งผ่านการคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด

          ๓) ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ผู้ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาตราจารย์ของมหาวิทยาลัยใประเทศไทยมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีและมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์ จำนวน ๑ คน ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยคณะกรรมการสรรหาตามรัฐธรรมนูญฯ ตามมาตรา ๒๐๓[6]

          ๔) ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ผู้ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีและมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์ จำนวน ๑ คน ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยคณะกรรมการสรรหาตามรัฐธรรมนูญฯ

          ๕) ผู้ทรงคุณวุฒิที่รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า หรือตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอัยการสูงสุดมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี จำนวน ๒ คน ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยคณะกรรมการสรรหาตามรัฐธรรมนูญฯ

          โดยผู้ได้รับการคัดเลือกทั้งหมดต้องผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา ปัจจุบันผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีรายนามดังต่อไปนี้

  1. นายนุรักษ์ มาประณีต ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
  2. นายจรัญ ภักดีธนากุล
  3. นายชัช ชลวร
  4. นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ
  5. นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์
  6. นายบุญส่ง กุลบุปผา
  7. นายปัญญา อุดชาชน
  8. นายวรวิทย์ กังศศิเทียม
  9. นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี

๔.อำนาจและหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

อำนาจและหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญนั้น สามารถสรุปจำแนกออกได้เป็น 6 ด้านที่สำคัญ ดังนี้[7]

ด้านที่หนึ่ง การพิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือร่างกฎหมาย[8] อันเป็นการตรวจสอบก่อนประกาศใช้และหลังประกาศใช้กฎหมายนั้น ๆ

ด้านที่สอง การพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ[9] รวมทั้งมีอำนาจในการวินิจฉัยสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรีด้วย

ด้านที่สาม การจัดทำมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อควบคุมและตรวจสอบบุคคลผู้ใช้อำนาจรัฐ อันเป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญร่วมกับองค์กรอิสระในการร่วมกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรม และใช้บังคับครอบคลุมกับตุลาการรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ[10] และให้ใช้บังคับรวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาและคณะรัฐมนตรีด้วย

ด้านที่สี่ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในการพิจารณางบประมาณรายจ่ายหากสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกรรมการกระทำการใด ๆ อันเป็นการมีส่วนได้เสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยคำร้องที่เห็นว่ามีการกระทำการฝ่าฝืนดังกล่าวได้[11]

ด้านที่ห้า การปกครองและรักษาไว้ซึ่งอธิไตยของชาติ โดยศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยสั่งการให้บุคคลเลิกกระทำการใด ๆ อันมีลักษณะเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ด้านที่หก การปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนบุคคลผู้ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ โดยศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยคำร้องของบุคคลผู้ถูกละเมิดสิทธิที่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีคำวินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญได้[12]

๖.เปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญกับรัฐธรรมนูญฉบับเดิม

 

ประเด็นความแตกต่าง

รัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๔๐

รัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๕๐

รัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๖๐

๑ .ด้านองค์ประกอบ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

๑.๑ จำนวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีจำนวน ๑๕ คนโดยมาจาก (มาตรา ๒๕๕ วรรคหนึ่ง)

  • ศาลฎีกา ๕ คน
  • ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ๒ คน
  • ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ ๕ คน
  • ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ศาสตร์ จำนวน ๓ คน

 

๑.๑ จำนวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีจำนวน ๙ คนโดยมาจาก (มาตรา ๒๐๔ วรรคหนึ่ง)

  • ศาลฎีกา ๓ คน
  • ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ๒ คน
  • ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ ๒ คน
  • ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์หรือสังคมศาสตร์ จำนวน ๒ คน

 

 

 

 

๑.๑ จำนวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีจำนวน ๙ คนโดยมาจาก (มาตรา ๒๐๐)

  • ศาลฎีกา ๓ คน
  • ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ๒ คน
  • ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ ๑ คน
  • ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน ๑ คน (มีการตัดสาขาสังคมศาสตร์ออก)
  • ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับสรรหาจากผู้รับหรือเคยรับราชการไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการหรือไม่ต่ำกว่ารองอัยการสูงสุด จำนวน ๒ คน (มีการเพิ่มผู้ทรงวุฒิเข้ามา)

๒.ด้านคุณสมบัติ

๒.๑ เฉพาะผู้ทรงวุฒิต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าปีบริบูรณ์ (มาตรา ๒๕๖)

๒.๒ ไม่ได้กำหนดคุณสมบัติทางการศึกษา

๒.๓ ไม่ได้กำหนดในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตไว้อย่างชัดเจน

๒.๔ กำหนดลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา ๒๕๖ (๕) ว่าต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น

๒.๑ เฉพาะผู้ทรงวุฒิต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าปีบริบูรณ์ (มาตรา ๒๐๕)

๒.๒ ไม่ได้กำหนดคุณสมบัติทางการศึกษา

๒.๓ ไม่ได้กำหนดในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตไว้อย่างชัดเจน

๒.๔ กำหนดลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา ๒๐๕ (๕) ว่าต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น

๒.๑ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าปีแต่ไม่เกินหกสิบแปดปีในวันที่ได้รับการคัดเลือกหรือวันสมัครเข้ารับการสรรหา (มาตรา ๒๐๑) (มีการกำหนดอายุขั้นต่ำและขั้นสูงไว้)

๒.๒ กำหนดคุณสมบัติทางการศึกษาต้องไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

๒.๓ กำหนดในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

๒.๔. กำหนดในเรื่องสุขภาพว่าต้องมีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

๒.๕ กำหนดลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา ๒๐๒ (๔)  ว่าต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในระยะเวลาสิบปีก่อนเข้ารับการคัดเลือกหรือสรรหา

๓. ด้านคณะกรรมการสรรหา

๓.๑ มาตรา ๒๕๗ วรรคหนึ่ง ไม่มีการกำหนดให้ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเป็นคณะกรรมการสรรหาแต่กำหนดให้มีคณบดีคณะนิติศาสตร์หรือเทียบเท่าของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐทุกแห่งซึ่งเลือกกันเอง ๔ คน คณบดีคณะรัฐศาสตร์หรือเทียบเท่าของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐทุกแห่งซึ่งเลือกกันเอง ๔ คน

๓.๑ มีการกำหนดให้ประธานองค์กรอิสระตามศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเลือกกันเอง ๑ คนเป็นคณะกรรมการสรรหา

๓.๒ มาตรา ๒๐๖ วรรคหนึ่ง กำหนดให้คณะกรรมการสรรหามีสิทธิที่จะไม่เห็นด้วยกับวุฒิสภาและหากคณะกรรมการสรรหามีมติยืนยันตามมติเดิมด้วยคะแนนเอกฉันท์แล้วสามารถส่งรายชื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ประธานวุฒิสภานำกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งต่อไปได้โดยที่วุฒิสภาไม่มีอำนาจพิจารณาเรื่องดังกล่าวนี้ได้อีก แต่หากมติเดิมไม่เป็นเอกฉันท์ คณะกรรมการสรรหาต้องเริ่มกระบวนการสรรหาใหม่

๓.๑ ตามมาตรา ๒๐๓ (๔) ไม่มีการกำหนดประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญแต่มีการกำหนดให้บุคคลซึ่งองค์กรอิสระแต่งตั้งขึ้นมาจากผู้ไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ ในศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระ องค์กรละ ๑ คน ขึ้นมาเป็นกรรมการแทน้ได้รับการคัดเลือกหรือสรรหาต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา หากวุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกรายใด ให้ดำเนินการขึ้นมาใหม่แทนผู้นั้นแล้วเสนอต่อวุฒิสภาเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป

๔. วาระการดำรงตำแหน่ง

๔.๑ ตามมาตรา ๒๕๙ วรรคหนึ่งกำหนดให้ดำรงตำแหน่ง ๙ ปี วาระเดียว

๔.๑ ดำรงตำแหน่ง ๙ ปี วาระเดียวเช่นเดียวกับ ปี ๒๕๔๐

๔.๑ ตามมาตรา ๒๐๗ กำหนดให้ดำรงตำแหน่ง ๗ ปี วาระเดียว

๕.การพ้นจากตำแหน่ง

๕.๑ มาตรา ๒๖๐ วรรคหนึ่ง (๒) กำหนดอายุ ๗๐ ปี

๕.๒ ต้องคำพิพากษาให้จำคุก (มาตรา ๒๖๐ วรรคหนึ่ง (๗))

๕.๑ มาตรา ๒๐๙ วรรคหนึ่ง (๒) กำหนดเวลา ๗๐ ปี

๕.๒ ต้องคำพิพากษาให้จำคุกแม้คดียังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอลงโทษ ยกเว้น กรณีเป็นการกระทำโดยประมาท ลหุโทษหรือฐานหมิ่นประมาท (มาตรา ๒๐๙ วรรคหนึ่ง (๗))

๕.๑ มาตรา ๒๐๘ (๔) ขยายระยะเวลาเป็น ๗๕ ปี

๕.๒ มาตรา ๒๐๘ (๕) กำหนดให้มติให้พ้นจากตำแหน่งด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เพราะเหตุฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ

 

๖. องค์คณะในการนั่งพิจารณาและทำคำวินิจฉัย

๖.๑ ตามมาตรา ๒๖๗ กำหนดให้มีองค์คณะไม่น้อยกว่า ๙ คน

๖.๑ ตามมาตรา ๒๑๖ กำหนดให้มีองค์คณะไม่น้อยกว่า ๕ คน

๖.๑ ตามมาตรา ๒๑๑ กำหนดให้มีองค์คณะไม่น้อยกว่า ๗ คน

5. บรรณานุกรม

คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.). ข้อเสนอในการปฏิรูปการเมืองไทย. หน้า ๒๕ หน้า ๓๘ และ ๓๘ อ้างใน

ฤทัย หงส์ศิริ. ศาลรัฐธรรมนูญกับการปฏิรูปการเมืองไทย.

วรเจตน์ ภาคีรัตน์. วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ: ศึกษาเปรียบเทียบกรณีของศาลรัฐธรรมนูญต่างประเทศกับศาล

รัฐธรรมนูญ. กรุงเทพฯ: วิญญูชน.๒๕๔๖.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ราชกิจจานุเบกษา ๒๕๔๔/๗๓ก/๑/ ๒ กันยายน ๒๕๔๔

ศรันยา สีมา. เรื่องอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐. รายการ

ร้อยเรื่อง...เมืองไทย. สถานีวิทยุกระจายเสียงรัฐสภาและสำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.ออกอากาศเมื่อกันยายน ๒๕๖๑.

สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ. (๒๕๕๑). จดหมายเหตุศาลรัฐธรรมนูญ ฉบับปฐมฤกษ์.กรุงเทพฯ: สไตล์ครีเอทีฟเฮ้าส์.

สุรพล นิติไกรพจน์. ศาลรัฐธรรมนูญกับการปฏิบัติพันธกิจตามรัฐธรรมนูญ. กรุงเทพ: วิญญูชน. ๒๕๔๖.

สุวิทย์ ปัญญาวงศ์. กฎหมายมหาชน. กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๖๑.

 

อ้างอิง

[1] สุรพล นิติไกรพจน์. ศาลรัฐธรรมนูญกับการปฏิบัติพันธกิจตามรัฐธรรมนูญ. กรุงเทพ: วิญญูชน. ๒๕๔๖. หน้า ๗๒-๗๓.

[2] คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.). ข้อเสนอในการปฏิรูปการเมืองไทย. หน้า ๒๕ หน้า ๓๘ และ ๓๘ อ้างใน ฤทัย หงส์ศิริ. ศาลรัฐธรรมนูญกับการปฏิรูปการเมืองไทย. หน้า ๑๐-๑๑.

[3] สุวิทย์ ปัญญาวงศ์. กฎหมายมหาชน. กรุงเทพฯ: วิญญูชน, ๒๕๖๑. หน้า ๑๗๒-๑๗๓.

[4] หมายถึง การจะเริ่มต้นในการดำเนินคดีของศาลรัฐธรรมนูญนั้นจะต้องเกิดจากการมีผู้ก่อการด้วยการเริ่มต้นเป็นคำฟ้องหรือคำร้องเข้ามายังศาลรัฐธรรมนูญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญหามีอำนาจใด ๆ หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นมาดำเนินการวินิจฉัยหรือตัดสินใจด้วยตนเองได้ไม่โดยผลของคดีจะผูกพันคู่ความเป็นเด็ดขาดและมีผูกพันองค์กรทางการเมืองและองค์กรทางปกครองทุกองค์กร

[5] ตามมาตรา ๒๐๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐

[6] ตามมาตรา ๒๐๓ คณะกรรมการสรรหาจะประกอบไปด้วย (๑) ประธานศาลฎีกา (๒) ประธานสภาผู้แทนราษฎรและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (๓) ประธานศาลปกครองสูงสุด และ (๔) บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากองค์กรอิสระเป็นผู้แต่งตั้งมาองค์กรละ ๑ คน

[7] ศรันยา สีมา. เรื่องอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐. รายการ ร้อยเรื่อง...เมืองไทย. สถานีวิทยุกระจายเสียงรัฐสภาและสำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.ออกอากาศเมื่อกันยายน ๒๕๖๑.

[8] ตามมาตรา ๒๑0 (1)  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐

[9] ตามมาตรา ๒๑0 (2) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐

[10] ตามมาตรา ๒๑๙ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐

[11] ตามมาตรา 144 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐

[12] ตามมาตรา ๒๑3 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐