หลวงกาจสงคราม

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:10, 21 พฤศจิกายน 2561 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย " '''ผู้เรียนบเรียง : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร''' '''...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียนบเรียง : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


หลวงกาจสงคราม: นายพลรัฐธรรมนูญใต้ตุ่ม


          ที่จริงหลวงกาจสงครามเป็นบุคคลทางการเมืองไทย ผู้ซึ่งมีบทบาททางการเมือง ได้ร่วมกิจกรรมการเมืองสำคัญหลายครั้ง ตั้งแต่เบื้องแรกของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตั้งแต่ปี 2475 แต่ที่ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักมากนั้นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ "รัฐธรรมนูญ ฉบับใต้ตุ่ม" หรือรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2490 ของคณะรัฐประหาร ที่ว่ากันว่าท่านเป็นคนร่างซ่อนเอาไว้ก่อนการยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ท่านเองเป็นคนแจ้งให้ทราบถึงที่ซ่อนสำคัญอันได้แก่ที่ใต้ตุ่มแดงเพื่อจะได้ยากแก่การตรวจค้นของฝ่ายบ้านเมือง และหากถูกจับกุมจะได้ไม่มีหลักฐาน จะว่าไปแล้วต่อมาเขาก็เชื่อกันว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีมากกว่าหนึ่งคน มีนักกฎหมายฝีมือดี นักเรียนนอกช่วยร่างด้วย กระนั้นคนทั่วไปก็ว่ากันว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นฉบับของหลวงกาจสงคราม ดังนั้นมารู้จักหลวงกาจสงครามและงานการเมืองกันดีกว่า

          หลวงกาจสงคราม ผู้มีชื่อเดิมว่า เทียน นามสกุลที่ใช้คือ เก่งระดมยิง ท่านเป็นคนภาคเหนือเกิดที่บ้านช่างฆ้อง จังหวัดลำพูน เมื่อวันที่ 12 เมษายน แต่ปีเกิดนั้นมีการให้ข้อมูลต่างกัน แหล่งหนึ่งระบุว่าเกิดปี 2433 แต่อีกแหล่งระบุว่าเกิดปี 2446 ซึ่งน่าจะเป็นปี 2433 มากกว่าหากดูจากปีที่ศึกษาจบและปีที่แต่งงานกับนางสาว ฟองสมุทร มีบิดาชื่อ อยู่ และมารดาชื่อ เชย กล่าวกันว่าแต่เดิมครอบครัวเป็นผู้มีอันจะกิน มาจนลงเพราะถูกปล้น จึงได้ย้ายมาอยู่ที่เชียงใหม่ตั้งแต่ครั้งที่นายเทียนยังเด็กอยู่ นายเทียนเป็นคนหัวดีเรียนเก่ง เล่ากันว่าเข้าเรียนเป็นนักเรียนนายสิบ สอบได้คะแนนดีมากก็ย้ายไปเป็นนักเรียนนายดาบ และเรียนดีอีกจึงได้รับคัดเลือกเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก จบออกมาเป็นนายทหารตั้งแต่ปี 2458 อีกสิบสองปีต่อมาขณะที่มียศเป็นนายร้อยเอก ท่านได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนกาจสงคราม เมื่อปี 2470 และเพียงปีถัดมาก็ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นหลวงกาจสงคราม

          ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 นั้น นายร้อยเอกหลวงกาจสงครามเป็นนายทหารบกที่ถูกชวนเข้าร่วมอยู่ในคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินฝ่ายทหาร ดังจะเห็นภาพของท่านในรูปถ่ายคณะนายทหารฝ่ายก่อการฯที่เผยแพร่เมื่อปี 2475 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองฯสำเร็จแล้ว หลวงกาจสงครามได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บังคับการกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 2 ที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ

ประมาณหนึ่งปีกว่าๆหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ ในเดือนตุลาคม ปี 2476 ได้เกิดสงครามกลางเมืองในไทย นั่นก็คือกรณีกบฏบวรเดชที่พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดชได้นำกำลังทหารจากนครราชสีมาชวนทหารอีกบางกลุ่มบุกลงมาจากทางเหนือเพื่อล้อมพระนคร และยื่นคำขาดให้ฝ่ายรัฐบาลยอมจำนน แต่รัฐบาลได้สั่งปราบการก่อกบฏอย่างเต็มกำลัง โดยมอบหมายให้นายพันโท หลวงพิบูลสงครามเป็นผู้บัญชาการกองกำลังผสมนำทัพเข้าปราบกบฏ ครั้งนั้นหลวงกาจสงครามได้มีบทบาทสำคัญด้วยในกองกำลังฝ่ายรัฐบาล ท่านได้เป็นผู้นำทหารรัฐบาลขึ้นรถไฟ เดินทางไปสู้ฝ่ายกบฏทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ และในการรบท่านถูกทางฝ่ายกบฏใช้รถจักรพุ่งเข้าชนรถไฟของฝ่ายรัฐบาลที่แล่นขึ้นไป ทำให้ชนกันรุนแรง ที่ทหารของฝ่ายรัฐบาลได้รับอันตรายถึงบาดเจ็บและล้มตายไปหลายคน ครั้งนั้นหลวงกาจสงครามได้รับบาดเจ็บถึงขนาด "หูแหว่ง" จนเป็นที่รู้และเห็นกันได้ต่อมา ดังนั้นเสร็จจากงานปราบกบฏบวรเดชคราวนั้นหลวงกาจสงครามจึงได้รับความดีความชอบ รัฐบาลส่งไปดูแลทางด้านทหารอากาศ ได้ยศทหารอากาศ ได้คุมกรมอากาศยาน ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าหลวงกาจสงครามท่านมียศทั้งทหารบกและทหารอากาศคู่กัน และในปี 2476 นั้น หลวงกาจสงครามก็ได้ตำแหน่งการเมือง คือได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 2 ต่อมาท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาธิการกองทัพอากาศคนแรกของกองทัพอากาศในปี 2480 แต่ท่านก็อยู่กองทัพอากาศไม่นาน มีคำบอกเล่ากันอีกว่าเพราะมีความขัดแย้งกับนายทหารคนอื่นในกองทัพอากาศ ทำให้ท่านย้ายออกจากกองทัพอากาศ ทางรัฐบาลได้ย้ายท่านออกไปมีตำแหน่งสำคัญที่กระทรวงการคลัง คือไปเป็นอธิบดีกรมศุลกากร ตอนที่ท่านเป็นอธิบดีกรมนี้ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นอธิบดีที่ดุ เข้มงวด ข้าราชการเกรงกลัวกัน

       ตอนปลายสมัยนายกรัฐมนตรีพระยาพหลพลพยุหเสนา เมื่อนายกรัฐมนตรีแพ้เสียงในสภาฯที่นำไปสู่การยุบสภาและมีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นมา นับเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 3 ของไทยแล้วนั้น ผู้นำทหารและการเมืองได้หารือกันถึงตัวผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ซึ่งก็มีเสียงสนับสนุนให้ขอให้พระยาพหลฯได้รับตำแหน่งต่อไป คราวนั้นเขาเล่ากันว่านายทหารที่เป็นผู้ก่อการฯที่กล้าพูดต่อหน้าต่อตาเพื่อนผู้ก่อการฯที่ร่วมกันทั้งพระยาพหลฯ แสดงความไม่เห็นด้วยที่เพื่อนผู้ก่อการฯจะขอให้พระยาพหลฯเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป คือหลวงกาจสงคราม ท่านเห็นว่าเมื่อพระยาพหลฯ ป่วยจะไปเคี่ยวเข็ญให้ท่านเป็นไปนั้นไม่ควร เพราะการเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นงานที่มีภาระหน้าที่หนัก เขาว่ากันอีกว่าถึงกับที่พันเอกหลวงพิบูลสงครามต้องแสดงความเห็นคัดค้านหลวงกาจสงคราม และในที่สุดพระยาพหลพลพยุหเสนาก็ไม่ยอมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันมีผลทำให้ต้องหาคนอื่นมารับหน้าที่หัวหน้ารัฐบาล และเปิดทางให้รัฐมนตรีกลาโหมในตอนนั้น คือพันเอกหลวงพิบูลสงคราม ผู้เป็นเพื่อนร่วมเรียนด้านทหารปืนใหญ่มาด้วยกันเมื่อปี 2460 ได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี และเมื่อมีการตั้งรัฐบาลของหลวงพิบูลสงคราม หลวงกาจสงครามก็ได้ตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีสั่งราชการกระทรวงการคลัง ในปี 2481 และอยู่ร่วมรัฐบาลเป็นกำลังสนับสนุนนายกรัฐมนตรีหลวงพิบูลสงครามตลอดมา แม้ในยามที่นายกรัฐมนตรีต้องเจอกับการตัดสินใจที่ยาก ตอนที่กองทัพญี่ปุ่นยกพลเข้าไทยในวันที่ 8 ธันวาคม ปี 2484

          การที่รัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่น จนถึงขั้นประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้มีคณะบุคคลในเมืองไทยรวมตัวกันเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น จนต่อมาเป็นขบวนการเสรีไทยที่ทำงานใต้ดินทั้งต่อต้านญี่ปุ่น ในกรณีนี้ปรากฏว่าหลวงกาจสงคราม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีร่วมอยู่ในรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงครามได้เข้าร่วมในขบวนการนี้ด้วย ดังคำให้การของนายปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าขบวนการเสรีไทย ที่มีความตอนหนึ่งที่อ้างถึงหลวงกาจสงคราม ว่า

          “...เมื่อญี่ปุ่นได้ขึ้นประเทศไทย....ได้มีเพื่อนฝูงมาหาข้าพเจ้าหลายคน...ผู้ที่ข้าพเจ้าใช้ให้ไปเป็นคนแรกก็คือหลวงกาจสงคราม ซึ่งขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง หลวงกาจสงครามได้เข้ามาหาเป็นคนแรก มาชวนให้ข้าพเจ้าหนีไปอยู่ต่างประเทศ แต่ข้าพเจ้าบอกว่าอย่าไปเลย เพราะเราได้ยึดดินแดนตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์เป็นต้นไปไว้สำหรับต่อต้านญี่ปุ่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงกาจฯบอกว่าถ้าอย่างนั้นผมขอไปด้วย...”

          ต่อมาจะเป็นเพราะนายกฯ หลวงพิบูลสงครามทราบว่าหลวงกาจสงครามไปร่วมงานใต้ดินหรืออย่างอื่นก็ตาม ได้มีการปรับคณะรัฐมนตรี หลวงกาจสงครามพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในวันที่ 20 ตุลาคม ปี 2486 และผู้ที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังแทนในวันที่ 30 ตุลาคม ปีเดียวกัน ก็คือรัฐมนตรีสั่งราชการกระทรวงการคลัง ที่ควบตำแหน่งรัฐมนตรีสั่งราชการกระทรวงพาณิชย์ฯ ที่ชื่อ วณิช ปานะนนท์ นักเรียนเก่าญี่ปุ่น ที่คนทั้งหลายมองว่าเป็นรัฐมนตรีที่เข้าใจกับทางญี่ปุ่นได้ดีมาก และในประวัติของหลวงกาจสงครามได้ระบุว่า ต่อมาหลวงกาจสงครามก็รับงานของเสรีไทย เดินทางไปอยู่ที่จีนเพื่อจะช่วยเป็นตัวประสานงานให้ทางฝ่ายเสรีไทย และกลับไทยหลังนายกรัฐมนตรี หลวงพิบูลสงครามหมดอำนาจพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

          หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว หลวงกาจสงครามก็ไม่ได้มีบทบาทมากนัก จนถึงปี 2489 เมื่อรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ แพ้เสียงในสภาฯจนต้องลาออก ทำให้นาย  ปรีดี พนมยงค์ ได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี หลวงกาจสงครามก็เป็นคนหนึ่งที่มีความเห็นต่างกับฝ่ายรัฐบาลของนายปรีดี พนมยงค์ และเล่นงานนายปรีดี พนมยงค์ ด้วยเหตุนี้หลวงกาจสงครามจึงเป็นนายทหารที่เป็นผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองคนหนึ่งที่ร่วมในคณะรัฐประหาร ทำการยึดอำนาจล้มรัฐบาลของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ และล้มรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ที่มีผลในการกวาดล้างคณะราษฎร และนำรัฐธรรมนูญที่ฝ่ายคณะรัฐประหารเตรียมร่างไว้ล่วงหน้า ที่หลวงกาจสงครามเล่าว่าซ่อนไว้ใต้ตุ่มแดง ออกมาประกาศใช้ ครั้งนี้จึงถือได้ว่าหลวงกาจสงครามได้มีบทบาทในการยึดอำนาจมาก

          หลังการรัฐประหารปี 2490 หลวงกาจสงครามได้กลับมามีบทบาทและความสำคัญมากขึ้น เพราะในการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2490 นั้น หลวงกาจสงครามได้เป็นผู้ที่ดำเนินการให้มีการประกาศได้อย่างรวดเร็วทันกาลในเช้าวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 อันตำแหน่งทางทหารที่ท่านได้รับก็คือตำแหน่ง "ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก" ส่วนยศทหารที่ท่านได้รับสูงขึ้นในปีถัดมาเมื่อ พ.ศ.2491 คือ “นายพลตรีและนายพลโท” ยิ่งไปกว่านั้น ปี 2491 นี่เองที่ท่านได้รับตำแหน่งสำคัญในกองทัพบกสูงขึ้นมาอีกเป็น “รองผู้บัญชาการทหารบก” แม้ตอนที่คณะรัฐประหารส่งนายทหารระดับนายพัน 4 นาย ไปพบนายกรัฐมนตรี ควง อภัยวงศ์ ที่บ้านพักในวันที่ 6 เมษายน ปี 2491 เพื่อแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบว่าคณะรัฐประหารต้องการให้นายกรัฐมนตรีลาออก เพราะบริหารราชการไม่ได้ผลตามที่คณะรัฐประหารต้องการ และนายทหารซึ่งเป็นผู้นำที่นายกรัฐมนตรีต้องการให้เป็นผู้ยืนยันก็คือ พลเอก ผิน ชุณหะวัณ และพลโทกาจ กาจสงคราม

          แต่บทบาทและความสำคัญของหลวงกาจสงครามในคณะรัฐประหารและคณะรัฐบาลที่มีอยู่มาก ได้มีต่อมาจนถึงต้นปี 2493 ตอนนั้นคณะรัฐประหารจัดการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามในทางการเมืองคือพวกคณะราษฎร และพวกนายปรีดี พนมยงค์ ได้สำเร็จ มีการจับกุมคุมขังและฆ่าจึงได้หันมาเล่นงานคนในกลุ่มเดียวกันบ้าง วันนั้นคือวันที่ 26 มกราคม พ.ศ.2493 ขณะที่หลวงกาจสงคราม รองผู้บัญชาการทหารบกนั่งทำงานอยู่ที่สถานทำงานคือ วังสวนกุหลาบ หลวงกาจสงครามก็ได้รับโทรศัพท์จากนายกรัฐมนตรี จอมพล ป.พิบูลสงคราม หรือหลวงพิบูลสงคราม ผู้เป็นมิตรสนิทกันมาตั้งแต่วัยหนุ่ม ขอเชิญให้ไปพบที่ทำเนียบรัฐบาล เพราะมีเรื่องราชการที่จะปรึกษาหารือและโดยไม่คาดคิดเมื่อหลวงกาจสงครามเดินทางไปถึงทำเนียบรัฐบาล และนั่งรอที่จะเข้าประชุมกับนายกรัฐมนตรี หลวงกาจสงครามก็ถูกตำรวจกลุ่มหนึ่งที่มีอาวุธพร้อมมือจู่โจมเข้าจับกุมคุมตัว โดยมีรองอธิบดีกรมตำรวจที่เป็นนายทหารเก่าที่อยู่ในคณะรัฐประหาร  คือ พล.ต.ต.เผ่า ศรียานนท์ เป็นผู้ควบคุม ข้อหาที่รองผู้บัญชาการทหารบกเจอโดยไม่คาดหมายเลยก็คือ ข้อหากบฏ ตอนนั้นหลวงกาจสงครามได้ขอพบนายกรัฐมนตรี แต่ได้รับการปฏิเสธ จะขอพบครอบครัวก็ไม่ได้แล้วก็ถูกนำไปขังเฉพาะตัวทันทีที่ตึกใหญ่ในวังปารุสกวัน เท่านั้นยังไม่พอต่อมาหลวงกาจสงครามได้ถูกนำตัวขึ้นเครื่องบิน คุมตัวเดินทางไปอยู่ฮ่องกง การจับกุมหลวงกาจสงครามคราวนั้นเป็นเรื่องใหญ่มีการอภิปรายในสภาฯ นายกฯได้ตอบในสภาฯเมื่อวันที่ 31 มกราคม ปีเดียวกันว่า “เจ้าพนักงานสอบสวนบอกว่า คุณหลวงกาจฯนั้นขอเดินทางไปต่างประเทศ” หลวงกาจต้องทนอยู่ต่างประเทศจนกลุ่มของพล ต. อ.เผ่า ศรียานนท์ หมดอำนาจแล้วจึงได้เดินทางกลับไทย

       หลวงกาจสงครามกลับมาเมืองไทยแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง จนเสียชีวิตในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ปี 2510