ริบราชบาตร

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:57, 7 ธันวาคม 2560 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย " ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต เรียบเรีย...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต

เรียบเรียงโดย : ภาณุพงศ์ สิทธิสาร


ริบราชบาตร

          ริบราชบาตร ริบราชบาต หรือริบราชบาทว์ คือ การยึดทรัพย์สมบัติข้าทาสบริวารทั้งหมดในครอบครองของผู้ต้องโทษถูกริบให้ตกเป็นของหลวง [1] ส่วนคำว่า ราชบาตร หมายถึง คำสั่งหลวง [2] การริบราชบาตรนับเป็นรายได้อย่างหนึ่งของหลวง ส่วยประเภท พัทธยา คือการริบเอาสมบัติทรัพย์สินของเอกชนเข้าเป็นของกษัตริย์ [3] ดังจะพบได้จากหลายมาตราในพระอัยการกบฏศึก และพระอัยการอาชญาหลวง ของกฎหมายตราสามดวง

ประวัติความเป็นมา

          พระอัยการกบฏศึก นอกจากระบุถึงลักษณะอันเป็นการก่อกบฏยึดอำนาจการปกครองจากกษัตริย์แล้ว ยังกล่าวถึงการกระทำผิดลักษณะร้ายแรงต่าง ๆ ทั้งที่มีผลต่อความมั่นคงภายในพระราชอาณาจักร หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี การลงโทษจึงมีความร้ายแรง มุ่งให้เกิดความทรมานแก่ผู้กระทำผิดเป็นสำคัญ [4] เช่น ผู้ใดมักใหญ่ใฝ่สูงจนเกินศักดิ์ ประทุษร้ายต่อกษัตริย์ ผู้นั้นเข้าข่ายฐานกบฏ ให้ริบราชบาตรแล้วฆ่าเสียทั้งโคตร [5]

          พระอัยการอาชญาหลวง เป็นบทบัญญัติเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของขุนนางหรือราษฎรที่ละเมิดพระราชโองการของกษัตริย์ การเบียดบังทรัพย์ของหลวง และภาษีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ หรือการกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ และเป็นภัยอันตรายต่ออาณาประชาราษฎร [6] อาทิ ผู้ใดใจโลภกระทำเกินกว่าศักดิ์ ริอ่านนำของไม่ควรทำเป็นเครื่องประดับมาประดับตน หรือแอบอ้างเบื้องสูงข่มเหงเอาทรัพย์ราษฎร ให้ริบราชบาตรแล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง [7] 

การริบราชบาตรที่ปรากฏในวรรณคดี

          วรรณคดีหรือวรรณกรรมในแต่ละยุคสมัยไม่ได้เกิดจากจินตภาพของผู้เขียนที่อยู่เหนือความเป็นจริงของสภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็เช่นกัน วรรณคดีราษฎร์ที่มีชื่อเสียงอย่างเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ในตอนที่ขุนไกรผู้เป็นบิดาของขุนแผน (ตัวเอกของเรื่อง) รับราชการต้องออกไปเป็นแม่กองต้อนกระบือ ครั้นกระบือที่ต้อนมานั้นเกิดตื่นจึงไล่ขวิดผู้คน ขุนไกรจึงไล่ต้อนจนกระบือหนีเข้าป่า เป็นเหตุให้พระพันวัสสาทรงกริ้ว [8] จนถึงสั่งให้ประหารชีวิตขุนไกรและริบราชบาตรตกเป็นของหลวง ความว่า

เหม่ ๆ ดูดูอ้ายขุนไกร                  แทงกระบือน้อยใหญ่เสียนักหนา

แกล้งแทงเล่นกูเห็นอยู่กับตา        ให้กระบือหนีเข้าป่าพนาไลย

เหวย ๆ เร่งเร็วอ้ายเพ็ชฆาฏ         ฟันให้หัวขาดไม่เลี้ยงได้  

เสียบใส่ขาอย่างขึ้นถ่างไว้           ลูกเมียข้าไทยให้ริบมา [9]   

เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์

           อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ การริบราชบาตรยังคงเป็นบทลงโทษขั้นร้ายแรงสำหรับผู้กระทำผิดทั้งฐานเป็นกบฏ และ/หรือทุจริตในหน้าที่ ดังปรากฏว่าสมัยพระเจ้าปราสาททองก็หาทางเพิ่มพูนทรัพย์สมบัติของหลวงด้วยการริบราชบาตรจากศัตรูทางการเมือง ดังปรากฏในวันวลิต

          หรือกรณีวิกฤตการณ์วังหน้าใน พ.ศ. 2416 สมัยต้นรัชกาลที่ 5 ซึ่งหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้อ้างถึง หม่อมเจ้าหญิงฉวีวาด ลอบหนีไปกัมพูชาในระหว่างเกิดวิกฤตการณ์ ถือเป็นความผิดอุกฤษฏ์โทษ ที่ข้าราชสำนักฝ่ายในออกจากพระนครไปโดยไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต ส่งผลให้คนในราชสกุลปราโมชถูกริบราชบาตร [10] หรือคดีของ พระปรีชากลการ (สำอาง อมาตยกุล) ว่าด้วยการฆ่าคนตายและทารุณกรรมแก่คนไทยที่เมืองกบินทร์บุรี เหตุเกิดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่นเดียวกับวิกฤตการณ์วังหน้า และมีทั้งเหตุผลทางการเมืองระหว่างไทยกับอังกฤษ และการละเมิดกฎหมายอาญาบ้านเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พระปรีชากลการมีฐานะเป็นลูกเขยของกงสุลอังกฤษประจำสยามในเวลานั้น ซึ่งไม่ลงรอยกันกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการ ท้ายที่สุดพระปรีชากลการถูกประหารชีวิต และคนในครอบครัวออมาตยกุลถูกริบราชบาตร [11]

บรรณานุกรม

คริส เบเคอร์; และ ผาสุก พงษ์ไพจิตร บรรณาธิการ,  ขุนช้างขุนแผน ฉบับวัดเกาะ,  เชียงใหม่: ซิลค์เวอร์ม,  2556.

คึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว.,  โครงกระดูกในตู้,  พิมพ์ครั้งที่ 9,  กรุงเทพฯ: ดอกหญ้า,  2548.

จิระนันท์ พิตรปรีชา,  ลูกผู้ชายชื่อนายหลุยส์,  พิมพ์ครั้งที่ 3,  กรุงเทพฯ: ประพันธ์สาส์น,  2542.

ราชบัณฑิตยสถาน,  กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม '1',  กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน,  2550.

_______,  กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม '2',  กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2550.

_______,  พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.'2554',  พิมพ์ครั้งที่ 2,  กรุงเทพฯ:  ราชบัณฑิตยสถาน,  2556.

สมสมัย ศรีศูทรพรรณ,  โฉมหน้าศักดินาไทย,  พิมพ์ครั้งที่ 9,  นนทบุรี: ศรีปัญญา,  2550.

อ้างอิง

          [1] ราชบัณฑิตยสถาน,  พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.'2554',  (พิมพ์ครั้งที่ 2,  กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน,  2556),  หน้า 1003.

          [2] เพิ่งอ้าง,  หน้า 995.

          [3] สมสมัย ศรีศูทรพรรณ,  โฉมหน้าศักดินาไทย,  (พิมพ์ครั้งที่ 9,  นนทบุรี: ศรีปัญญา,  2550),  หน้า 173.

          [4] ราชบัณฑิตยสถาน,  กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม '1',  (กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน,  2550),  หน้า 18. 

          [5] เพิ่งอ้าง,  หน้า 930 – 931.

          [6] ราชบัณฑิตยสถาน,  กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม '2',  (กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน,  2550),  หน้า 20.

          [7] เพิ่งอ้าง',  หน้า 379 – 380. คำว่า เอาตัวลงหญ้าช้าง หมายถึง คนที่ต้องพระราชอาญาลักษณะหนึ่งเป็นนักโทษเกี่ยวหญ้าให้ช้างหลวงหรือม้าหลวงกิน โปรดดูคำว่า ตะพุ่น ใน ราชบัณฑิตยสถาน,  พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.'2554,  (พิมพ์ครั้งที่ 2,  กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน,  2556),  หน้า 479.

          [8] สมสมัย ศรีศูทรพรรณ,  โฉมหน้าศักดินาไทย,  (พิมพ์ครั้งที่ 9,  นนทบุรี: ศรีปัญญา,  2550),  หน้า 175.

          [9] คริส เบเคอร์; และ ผาสุก พงษ์ไพจิตร บรรณาธิการ,  ขุนช้างขุนแผน ฉบับวัดเกาะ,  (เชียงใหม่: ซิลค์เวอร์ม,  2556),  หน้า 24.

          [10] ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช,  โครงกระดูกในตู้,  (พิมพ์ครั้งที่ 9,  กรุงเทพฯ: ดอกหญ้า,  2548).

          [11] จิระนันท์ พิตรปรีชา,  ลูกผู้ชายชื่อนายหลุยส์,  (พิมพ์ครั้งที่ 3,  กรุงเทพฯ: ประพันธ์สาส์น,  2542).