สมัยประชุมวิสามัญ
เรียบเรียงโดย : นางวิลาสินี สิทธิโสภณ
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง
บทนำ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 127 กำหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภา เพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรกภายในสามสิบวัน นับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและมาตรา 128 กำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงเรียกประชุมรัฐสภาทรงเปิดและปิดประชุม ทั้งนี้ การเรียกประชุมรัฐสภาและการปิดประชุม จะกระทำโดยตราพระราชกฤษฎีกา
สมัยประชุม เป็นการกำหนดเวลาในรอบหนึ่งปีที่ให้รัฐสภาทำการประชุมพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ทางด้านนิติบัญญัติ โดยในการประชุมสภา รัฐธรรมนูญกำหนดให้ปีหนึ่งมีสมัยประชุม 2 สมัย ได้แก่ สมัยประชุมสามัญทั่วไปและสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ [1] ส่วนสมัยประชุมวิสามัญ นั้น เมื่อมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ จะมีการเรียกประชุมรัฐสภา แต่มิได้กำหนดระยะเวลา เมื่อเสร็จภารกิจก็ปิดสมัยประชุมได้
ความหมาย
สมัยประชุมวิสามัญ หมายถึง การกำหนดวันประชุมรัฐสภากรณีพิเศษนอกเหนือไปจากสมัยประชุมสามัญที่มีขึ้นเป็นปกติ[2]
การเปิดสมัยประชุมวิสามัญโดยพระราชกฤษฎีกา
การเปิดสมัยประชุมวิสามัญโดยพระราชกฤษฎีกา ความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พระมหากษัตริย์จะทรงเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญได้โดยทรงตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญตามคำแนะนำของฝ่ายบริหาร
การเปิดสมัยประชุมวิสามัญโดยพระบรมราชโองการ
การเปิดสมัยประชุมวิสามัญโดยพระบรมราชโองการสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาทั้งสองสภารวมกันหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภามีสิทธิเข้าชื่อร้องขอให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการประกาศเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญได้[3]
สมัยประชุมวิสามัญ ในกรณีที่วุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่โดยอาศัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในมาตรา 132 ซึ่งบัญญัติว่า ในระหว่างที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง หรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ จะมีการประชุมวุฒิสภามิได้ เว้นแต่เป็นกรณีดังต่อไปนี้ (1) การประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภา ตามมาตรา 19 มาตรา 21 มาตรา 22 มาตรา 23 และมาตรา 189 โดยถือคะแนนเสียงจากจำนวนสมาชิกของวุฒิสภา (2) การประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่พิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่งใด ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ และ (3) การประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่พิจารณาและมีมติถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง
ในกรณีที่ประธานวุฒิสภาแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบว่าวุฒิสภาได้รับรายงานการไต่สวนการยื่นถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติซึ่งส่งให้นอกสมัยประชุม เพื่อที่ประธานรัฐสภานำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญ เพื่อให้วุฒิสภาพิจารณาและมีมติถอดถอนบุคคลดังกล่าวออกจากตำแหน่ง[4]
ข้อสังเกตจะเห็นว่า ในกรณีที่ฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐมนตรีต้องการที่จะให้มีการเรียกประชุมสมัยวิสามัญโดยนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงตราพระราชกฤษฎีกานั้น นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ส่วนกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาเข้าชื่อกันร้องขอให้ประธานรัฐสภานำความกราบบังคมทูล หรือกรณีประธานวุฒิสภาแจ้งต่อประธานรัฐสภาเพื่อนำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการประกาศเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญนั้น ประธานรัฐสภาจะเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ดังกล่าว[5]
การปิดสมัยสมัยประชุมวิสามัญ เมื่อรัฐสภาได้ดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ของพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญหรือพระบรมราชโองการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญแล้วเสร็จจะต้องมีพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญด้วย
บรรณานุกรม
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย. กรุงเทพมหานคร : สำนักการพิมพ์, 2551.
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. ระบบงานรัฐสภา. กรุงเทพมหานคร : สำนักการพิมพ์, 2552.
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา. การประชุมสภา. กรุงเทพมหานคร : กองการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา, ม.ป.ป..
อ้างอิง
- ↑ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร,รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย, กรุงเทพมหานคร : สำนักการพิมพ์, 2551, หน้า 99.
- ↑ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา, การประชุมสภา, กรุงเทพมหานคร : กองการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา, ม.ป.ป..หน้า 3.
- ↑ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร,รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย, กรุงเทพมหานคร : สำนักการพิมพ์, 2551, หน้า 101.
- ↑ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ระบบงานรัฐสภา, กรุงเทพมหานคร : สำนักการพิมพ์, 2552, หน้า 52.
- ↑ สมัยประชุมวิสามัญ, จากคลังปัญญาไทย, http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php, วันที่ 28 มกราคม 2557.