การยุบสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 19 พฤษภาคม 2538
ผู้เรียบเรียง เชษฐา ทองยิ่ง
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง
ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา การยุบสภาถือเป็นกระบวนการหรือวิถีทางทางการเมืองของฝ่ายบริหารที่นำมาใช้ถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายนิติบัญญัติในการแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายบริหารด้วยกันเอง หรือฝ่ายนิติบัญญัติ(สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร)ด้วยกันเอง หรือใช้การยุบสภาเป็นเครื่องมือในการชิงความได้เปรียบทางการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลในขณะที่มีคะแนนนิยมสูง รวมถึงกรณีที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ หรือมีกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งฉบับใหม่ ซึ่งจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนั้น พระมหากษัตริย์โดยคำแนะนำของฝ่ายบริหารจึงประกาศให้มีการยุบสภาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นใหม่ เสมือนเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยหรืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นผู้ตัดสินใจเลือกผู้แทนชุดใหม่ขึ้นบริหารประเทศต่อไป
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการยุบสภา
1.1 ความหมายของการยุบสภา
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายคำว่า ยุบ ไว้หลายประการ ประการหนึ่งคือ เลิก หรือ ยกเลิก เช่น ยุบกระทรวง ยุบตำแหน่ง[1] ดังนั้น การยุบสภา จึงเป็นการยุบหรือยกเลิก หรือทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาสิ้นสุดลงก่อนครบวาระดำรงตำแหน่งนั่นเอง
การยุบสภา ตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า dissolution of parliament หมายถึง การประกาศให้สิ้นสุดอายุของสภาสิ้นสุดลงก่อนครบวาระตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ[2] หรืออาจกล่าวว่า การยุบสภา หมายถึง การดำเนินการทางการเมืองเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะใดขณะหนึ่งต้องพ้นจากสมาชิกภาพไปพร้อมกัน และต้องจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป การยุบสภาที่ว่านี้ใช้กับสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น โดยไม่เกี่ยวข้องกับวุฒิสภา เพราะไม่มีการยุบวุฒิสภา[3]
เนื่องจากประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญได้มีบทบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่[4] ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ที่จะตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรขึ้น โดยคำแนะนำของฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐมนตรี เพื่อให้อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงก่อนครบกำหนดตามวาระ อันมีผลให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสภาพ้นจากตำแหน่งพร้อมกัน และจะได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งจะกระทำในวันเดียวกันทั้งประเทศ
1.2 หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการยุบสภา
สำหรับประเทศไทย ในการยุบสภาแต่ละครั้ง จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ใช้บังคับในขณะนั้น หากพิจารณาแล้วพบว่า ส่วนใหญ่จะมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขสำคัญที่คล้ายคลึงกัน พอสรุปได้ดังนี้
1) การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยคำแนะนำของฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐมนตรี เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่
2) การยุบสภาต้องกระทำเป็นพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งเป็นการทั่วไปขึ้นใหม่เป็นวันเดียวกันทั่วประเทศ ทั้งนี้ ภายในระยะเวลาที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ
3) การยุบสภาจะกระทำได้เฉพาะการยุบสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น จะยุบวุฒิสภามิได้ ซึ่งสมาชิกวุฒิสภายังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนครบวาระ
4) การยุบสภาจะทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง และคณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย แต่คณะรัฐมนตรีต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่ามีการเลือกตั้งขึ้นใหม่ และคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีจะปฏิบัติได้เฉพาะเรื่องที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น
5) การยุบสภาจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน[5]
1.3 การยุบสภาในประเทศไทย
นับตั้งแต่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อปี พ.ศ.2475 จนถึงปัจจุบัน ได้มีการยุบสภามาแล้ว จำนวน 12 ครั้ง ดังนี้[6]
ครั้งที่ 1 | วันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2481 | สมัยพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี |
ครั้งที่ 2 | วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2488 | สมัยหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี |
ครั้งที่ 3 | วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2516 | สมัยนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี * |
ครั้งที่ 4 | วันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2512 | สมัยหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี |
ครั้งที่ 5 | วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2526 | สมัยพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี |
ครั้งที่ 6 | วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2529 | สมัยพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี |
ครั้งที่ 7 | วันที่ 29 เมษายน พ.ศ.2531 | สมัยพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี |
ครั้งที่ 8 | วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2535 | สมัยนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี |
ครั้งที่ 9 | วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2538 | สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี |
ครั้งที่ 10 | วันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2539 | สมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี |
ครั้งที่ 11 | วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2543 | สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี |
ครั้งที่ 12 | วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 | สมัยพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี |
* หมายเหตุ การยุบสภา ครั้งที่ 3 จะเป็นการยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งทำหน้าที่รัฐสภา ตามธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 ส่วนครั้งอื่นๆ จะเป็นการยุบสภาผู้แทนราษฎร
เหตุการณ์ที่นำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2538
ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ.2535 พรรคประชาธิปัตย์มีสมาชิกได้รับการเลือกตั้งเข้ามาจำนวนมากที่สุดถึง 79 ที่นั่ง จึงได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลผสม 5 พรรค ประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคความหวังใหม่ พรรคพลังธรรม พรรคเอกภาพ และพรรคกิจสังคม ซึ่งนายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[7] และได้มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 20 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2535 และมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ.2535[8]
ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรีชุดนี้ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2535 ในนโยบายเศรษฐกิจ ด้านการเกษตร รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนของเกษตรกรที่จะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยมีนโยบายที่จะยกระดับรายได้ของเกษตรกรให้สูงขึ้น ประการหนึ่ง คือ เร่งรัดการปฏิรูปที่ดินและการออกเอกสารสิทธิ เพื่อกระจายสิทธิการถือครองที่ดินให้แก่ราษฎรผู้ยากไร้และเกษตรกรที่ครอบครองทำกินอยู่ในที่ดินของรัฐประเภทต่างๆ โดยจะปรับปรุงกลไกการบริหารและการจัดการของรัฐ ตลอดจนจัดสรรงบประมาณให้สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้โดยเฉลี่ยปีละประมาณ 4 ล้านไร่[9] นโยบายนี้ได้กลายเป็นประเด็นปัญหาที่ถูกหยิบยกขึ้นมาโจมตีรัฐบาลในเรื่องการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือที่รู้จักทั่วไปในชื่อว่า ส.ป.ก. 4-01 โดยกลุ่มการเมืองที่เรียกว่า กลุ่ม 16 ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางส่วนจากพรรคชาติพัฒนาที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล และจากพรรคชาติไทยที่เป็นพรรคฝ่ายค้านในขณะนั้น ได้กล่าวหาว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์นำที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐไปแจกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ประชาชนที่มิใช่เกษตรกรอย่างมีเงื่อนงำ หรือที่ดินที่แจกไปแล้ว บางส่วนเหมาะสำหรับทำที่พักตากอากาศมากกว่าทำเกษตรกรรม[10]
จากกรณีดังกล่าว ในปลายปี พ.ศ.2537 พรรรคร่วมฝ่ายค้านที่มีพรรคชาติไทยเป็นแกนนำ ได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล คือ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งทั้งสองคนเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ถูกกล่าวหา แต่ปรากฎว่าทั้งสองคนได้ลาออกจากตำแหน่งไปก่อนที่จะมีการอภิปราย[11] โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2537 และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2537 ดังนั้น จึงไม่มีการอภิปรายในญัตติดังกล่าว ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายประจวบ ไชยสาส์น เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แทน เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2537[12]
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตรวจสอบการบริหาราชการราชการแผ่นดินของรัฐบาลคงดำเนินต่อไป เมื่อนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวน้าพรรคชาติไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีทั้งคณะอีกครั้งหนึ่ง โดยยังมุ่งประเด็นโจมตีในเรื่องการออกเอกสารสิทธิ หรือ ส.ป.ก. 4-01 เช่นเดิม ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้มีการพิจารณาญัตติดังกล่าวในคราวการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 4 และ 5 (สมัยสามัญ ครั้งที่สอง) ในวันที่ 17-18 พฤษภาคม พ.ศ.2538 และให้วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2538 เป็นวันลงมติ[13][14]
หลังจากการอภิปรายสิ้นสุดลง พรรคพลังธรรมซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่งในขณะนั้น ได้มีการประชุมพรรคเป็นการด่วน และได้มีมติที่จะงดออกเสียงในการลงมติ และรัฐมนตรีของพรรคทุกคนจะขอลาออกจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่ารัฐบาลไม่สามารถตอบโต้ข้อกล่าวหาของพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ชัดเจน ในขณะเดียวกันสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครัฐบาลบางคนซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่ม 16 ก็ประกาศว่าจะไม่ยกมือให้ฝ่ายรัฐบาล[15] นายชวน หลีกภัย ตัดสินใจประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ในเวลา 12.00 น. ของวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2538 ก่อนการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจเพียง 1 ชั่วโมง 30 นาที และกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2538[16] รวมเวลาที่เป็นรัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินประมาณ 2 ปี 8 เดือน
โดยเหตุผลของการยุบสภาครั้งนี้ ตามที่ปรากฎในพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2538 มีความว่า "...โดยที่สภาผู้แทนราษฎรปัจจุบันประกอบด้วยพรรคการเมืองหลายพรรค แต่ไม่มีพรรคการเมืองใดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ จำเป็นต้องอาศัยพรรคการเมืองหลายพรรคเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล และในภาวการณ์ที่ผ่านมา ปรากฏว่าพรรคการเมืองต่างๆหลายพรรคมีความแตกแยก จนไม่สามารถจะดำเนินการทางการเมืองได้อย่างมีเอกภาพ เป็นเหตุให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดิน และการพัฒนาประเทศเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะมีการตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นอีกก็ตาม ปัญหาและอุปสรรคดังกล่าวนี้ก็ไม่อาจสิ้นสุดลงได้ อันนำมาซึ่งความเสื่อมโทรมของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สมควรยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปขึ้นใหม่... "[17]
ได้มีงานวิจัยเรื่อง "วาทะในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย กรณี ส.ป.ก.4-01"พบว่า ในการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในกรณีดังกล่าว เกิดขึ้นเนื่องจากมีการนำเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์ที่เกี่ยวกับการมอบเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.4-01 ให้กับผู้ที่ร่ำรวย ข่าวนี้ได้สร้างกระแสให้กลุ่มประชาชน สมัชชาต่างๆ ทำการชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้นำไปสู่การยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้านเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และให้รัฐบาลได้ชี้แจงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และเมื่อมีการวิเคราะห์วาทะการแสดงเหตุผลของฝ่ายค้าน ข้อสนับสนุนเป็นการยกขึ้นมาอย่างลอยๆ เช่น ผิดกฎหมายปฏิรูปที่ดิน แต่มิได้อธิบายว่าเป็นกฎหมายที่ดินมาตราใด มีใจความสำคัญใด ที่จะพอนำมาอ้างอิงได้ เช่นเดียวกับการตอบชี้แจงของฝ่ายรัฐบาล กรณีการอ้างว่า คนภูเก็ตจน แต่ไม่มีอะไรมายืนยันว่า คนภูเก็ตยากจนจริงๆ และหลักฐานที่ใช้ในการอภิปรายส่วนใหญ่จะเป็นข้อกฎหมายที่นำมาหักล้างกันในอภิปราย เพื่อให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือว่าได้ปฏิบัตินโยบายตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญไทยอย่างถูกต้อง[18]
ผลของการยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2538
หลังจากมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2538 เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 ทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 สิ้นสุดลง แต่คณะรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น คงบริหารราชการแผ่นดินต่อไป (เป็นคณะรัฐมนตรีรักษาการ) จนกว่าจะมีการเลือกตั้งและมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับหน้าที่ และได้กำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ ในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2538 ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้มีสิ่งที่แตกต่างจากการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ คือ อายุของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ได้ลดจาก 20 ปีเหลือ 18 ปี เป็นครั้งแรก ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2538[19]
ในการเลือกตั้งวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2538 มีผู้สมัครจากพรรคการเมืองต่างๆ รวม 14 พรรค มีจำนวนผู้ได้รับเลือกตั้ง จำนวน 391 คน ตามเกณฑ์คำนวณที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งผลการเลือกตั้ง ปรากฏว่าพรรคชาติไทย มีสมาชิกได้รับเลือกตั้งเป็นจำนวนมากที่สุด จำนวน 92 ที่นั่ง ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ มีสมาชิกได้รับเลือกตั้งมาเป็นอันดับที่สอง จำนวน 86 ที่นั่ง ซึ่งน้อยกว่าพรรคชาติไทยเพียง 9 ที่นั่ง ภายหลังการเลือกตั้งพรรคชาติไทย พรรคความหวังใหม่ พรรคพลังธรรม พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย พรรคนำไทย และพรรคมวลชน ได้รวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาล มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมกันทั้งหมด 233 คน โดยมีพรรคชาติไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ต่อมาสภาผู้แทนราษฎรได้ มีมติเลือกนายบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุพรรณบุรี พรรคชาติไทยเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นประธานรัฐสภาโดยตำแหน่งด้วย และสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบให้ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 21 ของประเทศไทย[20] โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2538[21]
อย่างไรก็ตาม นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี ได้บริหารราชการแผ่นดินอยู่ได้เพียงประมาณ 1 ปี ก็ต้องประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรเช่นกัน เพราะถูกพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ เมื่อการอภิปรายสิ้นสุดลง พรรคร่วมรัฐบาลยื่นข้อเสนอขอให้นายบรรหาร ลาออกจากตำแหน่ง แต่นายบรรหาร ได้ใช้วิธีการยุบสภาผู้แทนราษฎรแทนการลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2539
อ้างอิง
- ↑ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณทิตยสถาน พ.ศ.2542, กรุงเทพฯ : บริษัท นาน พับลิเคชั่นส์ จำกัด 2546, หน้า 911.
- ↑ การยุบสภาผู้แทนราษฎร. (ข้อมูลออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://th.wikipedia.org/wiki/ สืบค้น ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2552.
- ↑ คณิน บุญสุวรรณ, ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย(ฉบับสมบูรณ์), กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2548 หน้า 724.
- ↑ เรื่องเดียวกัน, หน้า 724.
- ↑ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, สรรสาระรัฐธรรมนูญไทย, กรุงเทพฯ : รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) จำกัด, 2548.
- ↑ การยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย (ข้อมูลออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://th.wikipedia.org/wiki/ สืบค้น ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2552.
- ↑ ประวัติศาสตร์การเมืองเรื่องการขึ้นสู่อำนาจของพรรคประชาธิปัตย์. (ข้อมูลออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=418304 สืบค้น ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2552.
- ↑ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ลำดับความเป็นมาของคณะรัฐมนตรีไทย (ข้อมูลออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.cabinet.thaigov.go.th/bb_main11.htm สืบค้น ณ วันที่ 20 ตุลาคม 2552.
- ↑ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, การแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี (ข้อมูลออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.cabinet.thaigov.go.th/ bb_main31.htm สืบค้น ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2552.
- ↑ ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ช่วง พ.ศ.2535-2538 จากชวน หลีกภัย ถึงบรรหาร ศิลปอาชา (ข้อมูลออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.chartthai.or.th/old/history_th9.html สืบค้น ณ วันที่ 20 ตุลาคม 2552.
- ↑ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร,สำนักรายงานการประชุมและชวเลข, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 18 ปีที่ 3 ครั้งที่ 4 (สมัยสามัญ ครั้งที่สอง), วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2538,หน้า 5.
- ↑ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ลำดับความเป็นมาของคณะรัฐมนตรีไทย, อ้างแล้ว.
- ↑ สำนักรายงานการประชุมและชวเลข, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 18 ปีที่ 3 ครั้งที่ 4 (สมัยสามัญ ครั้งที่สอง), วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2538.
- ↑ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร,สำนักรายงานการประชุมและชวเลข, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 18 ปีที่ 3 ครั้งที่ 5 (สมัยสามัญ ครั้งที่สอง), วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2538.
- ↑ ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ช่วง พ.ศ.2535-2538 จากชวน หลีกภัยถึงบรรหาร ศิลปอาชา, อ้างแล้ว.
- ↑ ประวัติศาสตร์การเมืองเรื่องการขึ้นสู่อำนาจของพรรคประชาธิปัตย์ , อ้างแล้ว.
- ↑ พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2538, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนที่ 17 ก, วันที่ 19 พฤษภาคม 2538, หน้า 1-2.
- ↑ พรทิพย์ เอื้ออุฬาร, วาทะในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย กรณี ส.ป.ก. 4-01, วิทยานิพนธ์นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2543, บทคัดย่อ.(ข้อมูลออนไลน์) เข้าถึงได้จาก ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ภายในประเทศ http://www.tkc.go.th/thesis/abstract.asp?item_ id=11655 สืบค้น ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2552.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2538, ราชกิจจานุเบกษา ตอนที่ 7 ก เล่ม 112 หน้า 1, วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538.
- ↑ ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ช่วง พ.ศ.2535-2538 จากชวน หลีกภัยถึงบรรหาร ศิลปอาชา, อ้างแล้ว.
- ↑ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ลำดับความเป็นมาของคณะรัฐมนตรีไทย, อ้างแล้ว.
หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ
มานิตย์ จุมปา. สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่องการยุบสภา, กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2544.
สิริรัตน์ เรืองวงษ์วาร. ประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน, กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2539.
ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์. รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี (2475-2517), กรุงเทพฯ : ช.ชุมนุมช่าง, 2517.
บรรณานุกรม
การยุบสภาผู้แทนราษฎร (ข้อมูลออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://th.wikipedia.org/wiki/ สืบค้น ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2552.
การยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย (ข้อมูลออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://th.wikipedia.org/wiki/ สืบค้น ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2552.
คณิน บุญสุวรรณ. ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย (ฉบับสมบูรณ์), กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2548.
ประวัติศาสตร์การเมืองเรื่องการขึ้นสู่อำนาจของพรรคประชาธิปัตย์ (ข้อมูลออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=418304 สืบค้น ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2552.
ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ช่วง พ.ศ.2535-2538 จากชวน หลีกภัย ถึงบรรหาร ศิลปอาชา (ข้อมูลออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.chartthai.or.th/old/history_th9.html สืบค้น ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2552.
พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2538, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนที่ 17 ก วันที่ 19 พฤษภาคม 2538.
พรทิพย์ เอื้ออุฬาร, วาทะในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย กรณี ส.ป.ก. 4-01, วิทยานิพนธ์นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2543, บทคัดย่อ. (ข้อมูลออนไลน์) เข้าถึงได้จาก ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ภายในประเทศ http://www.tkc.go.th/ thesis/abstract.asp?item_id=11655 สืบค้น ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2552.
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณทิตยสถาน พ.ศ. 2542, กรุงเทพฯ: บริษัท นานมีบุ๊คส์ พับลิเคชั่นส์ จำกัด, 2546.
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, สำนักรายงานการประชุมและชวเลข, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 18 ปีที่ 3 ครั้งที่ 4 (สมัยสามัญ ครั้งที่สอง), วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2538.
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, สำนักรายงานการประชุมและชวเลข, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 18 ปีที่ 3 ครั้งที่ 5 (สมัยสามัญ ครั้งที่สอง), วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2538.
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, สรรสาระรัฐธรรมนูญไทย, กรุงเทพฯ : รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) จำกัด, 2548.
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, การแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี (ข้อมูลออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.cabinet.thaigov.go.th/ bb_main 31.htm สืบค้น ณ วันที่ 20 ตุลาคม 2552.
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ลำดับความเป็นมาของคณะรัฐมนตรีไทย, (ข้อมูลออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.cabinet.thaigov.go.th/ bb_main11.htm สืบค้น ณ วันที่ 20 ตุลาคม 2552.