ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
ผู้เรียบเรียง ฐิติกร สังข์แก้ว และดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ ศาสตราจารย์ นรนิติ เศรษฐบุตร
ความหมาย
ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง เป็นคำขวัญที่ถูกใช้รณรงค์ทางการเมืองโดยกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ภายหลังจากที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจทูลเกล้าฯ ถวายร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556 ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 ซึ่งกำหนดให้ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เพื่อแก้ไขสถานการณ์วิกฤติการเมืองช่วงปลายปี 2556 ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายรัฐบาลเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่งให้รัฐสภาพิจารณา จนกลุ่มการเมืองหลายฝ่ายเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง โดยเห็นว่าการตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎร (อันเป็นอำนาจโดยชอบของนายกรัฐมนตรีในระบบรัฐสภา) ไม่เพียงพอที่จะแสดงความรับผิดต่อการกระทำดังกล่าว กลุ่ม กปปส. จึงเคลื่อนไหวเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทั้งคณะลาออกจากรัฐบาลรักษาการ พร้อมทั้งประกาศจุดยืนว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่จะต้องเปิดทางให้กับรัฐบาลคนกลางและจัดตั้งสภาประชาชนขึ้นเพื่อทำหน้าที่ปฏิรูปประเทศไทยก่อนที่จะยอมให้มีการเลือกตั้ง
สาระสำคัญแนวทางปฏิรูปประเทศของ กปปส.
กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) อันประกอบด้วยเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ (กปท.) เครือข่ายนักวิชาการ กลุ่มประชาคมนักธุรกิจสีลม กองทัพธรรม สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์(สรส.) อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมือวันที่ 29 พฤศจิกายน 2556 โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณเป็น “เลขาธิการ กปปส.” ภายหลังจากที่เริ่มมีบทบาทเคลื่อนไหวมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีเดียวกันนี้ ทั้งนี้ ทันทีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร และจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนขึ้นเป็นการทั่วไป ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 คำขวัญรณรงค์ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ก็ถูกใช้ระดมมวลชนเพื่อเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลรักษาการออกจากตำแหน่ง เพื่อให้ชะลอหรือยุติการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นไว้ก่อนจนกว่าจะดำเนินการปฏิรูปประเทศเสร็จสิ้นเสียก่อน อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปขนานใหญ่ทั้งระบบนั้นเป็นภาระหนักหน่วยที่ไม่อาจจะบรรลุเป้าประสงค์ได้ในเวลาจำกัด กลุ่ม กปปส. จึงเรียกร้องให้ปฏิรูปเรื่องสำคัญๆ อันจำเป็นเร่งด่วนให้สำเร็จเสร็จสิ้นก่อนที่จะปล่อยให้ภาระการปฏิรูปส่วนที่เหลือตกเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต่อไป
โดยวันที่ 16 ธันวาคม 2556 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ขึ้นปราศรัยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ชี้แจงว่าวิธีการและแนวทางการปฏิรูปประเทศนั้นประกอบด้วย 5 มิติใหญ่ๆ ซึ่งต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จโดย “สภาประชาชน” ภายในเวลาไม่เกิน 1 ปี 6 เดือน ดังนี้
มิติที่หนึ่ง การปฏิรูปกระบวนการเลือกตั้ง ให้บริสุทธิ์ เสรี และยุติธรรม เพื่อเป็นกระบวนการได้มาซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ดีมีคุณภาพเข้าสู่ระบบการเมือง ครอบคลุมทั้งประเด็นกฎหมายเลือกตั้ง กฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายซึ่งกำหนดบทบาทหน้าที่รับผิดชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นต้น ซึ่งจะอาศัยข้อบกพร่องจากประสบการณ์การเมืองในอดีตเป็นจุดตั้งต้นในการแก้ปัญหา เช่น การขจัดปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียงให้หมดไปได้นั้น ต้องกำหนดผู้สมัครรับเลือกตั้งที่กระทำผิด 5-10 ปี ตลอดจนนายทุนที่เป็นแหล่งทุนในการซื้อเสียงด้วย เนื่องจากเป็นการสมคบคิดทำลายประชาธิปไตย ในกรณีพรรคการเมืองจะต้องเป็นพรรคการเมืองมวลชน มิใช่พรรคที่มีนายทุนพรรคหนุนหลังคอยจ่ายเงินเพื่อดูดดึง ส.ส. เข้ามาสังกัดสวามิภักดิ์แก่ตนเอง หากกระบวนการเลือกตั้งยังคงสภาพอย่างที่เป็นอยู่ (ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550) ก็จะได้นักการเมืองโกงเข้าสู่ระบบการเมืองเพื่อเข้าไปโกงกินเช่นเดิม
มิติที่สอง การปฏิรูปเพื่อป้องกันปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ให้มีมาตรการตรวจสอบลงโทษที่รัดกุมหนักหน่วง เพราะการทุจริตเป็นปัญหาร้ายแรงอันสามารถส่งผลต่อคนรุ่นปัจจุบันและอนาคตได้ด้วย การวิเคราะห์ถึงปัญหาต้นตอจึงต้องเริ่มที่ “นักการเมือง” โดยการแก้กฎหมายอันเกี่ยวเนื่องกับการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นทั้งกระบวนการ เช่น เมื่อประชาชนพลเมืองคนใดพบเห็นการทุจริตให้มีสิทธิเป็นโจทย์ยื่นฟ้องได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านหน่วยงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือแม้แต่อัยการ ซึ่งจะทำให้ประชาชนผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงมีบทบาทในการตรวจตราการบริหารราชแผ่นดินของรัฐบาลและข้าราชการในหน่วยงานต่างๆ หรือแม้แต่การแก้ไขให้คดีที่เข้าข่ายทุจริตคอร์รัปชั่นไม่มีอายุความ สามารถฟ้องได้เวลาและสถานที่ เพราะเป็นฐานความผิดที่สร้างความเสียหายบ่อนทำลายประเทศไทยมาอย่างยาวนาน
มิติที่สาม ปฏิรูปประชาธิปไตยให้ยอมรับอำนาจของประชาชนมากขึ้น ในอดีตที่ผ่านมาอำนาจทางการเมืองล้วนตกอยู่ในมือของนักการเมืองและพรรคการเมืองเป็นหลัก ถึงแม้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 จะเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าชื่อเสนอถอดถอนผู้ตำแหน่งสำคัญทางการเมือง (มาตรา 270-274) แต่กระบวนการตรวจสอบรายชื่อก็ดำเนินไปอย่างล่าช้า การปฏิรูปมิติประชาธิปไตยจึงมุ่งหวังให้ประชาชนสามารถตรวจสอบควบคุมการทำงานของนักการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆ ได้เห็นผลภายในระยะเวลาอันสั้น ที่สำคัญก็คือ “การคืนอำนาจให้ประชาชน” (กระจายอำนาจ) โดยปรับแปรอำนาจที่กระจุกอยู่ที่การบริหารราชการส่วนกลางไปสู่ประชาชนในแต่ละจังหวัด ให้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดของตนเองแทนที่จะเป็นการแต่งตั้งโดยราชการส่วนกลาง เพื่อที่จะสามารถเข้าใจปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ตรงตามความต้องการของแต่ละพื้นที่ รวมถึงการกระจายงบประมาณให้จังหวัดสามารถเลี้ยงตนเองได้ ทำให้แต่ละท้องถิ่นไม่จำเป็นต้องพึ่งพาส่วนกลางตามโครงสร้างความสัมพันธ์แบบลำดับชั้นที่เป็นมาแต่เดิม แต่จะเป็นการสร้างฐานรากของแต่ละท้องถิ่นให้เข้มแข็งอันจะเป็นพลังสำคัญในระบอบประชาธิปไตย
มิติที่สี่ การปฏิรูปความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ยังคงตกค้างยาวนานทุกยุคทุกสมัย เห็นได้จากประเทศไทยมีคนจนด้อยโอกาสอยู่เป็นจำนวนมากกระจายอยู่ทุกภูมิภาค คนเหล่านี้เข้าไม่ถึงบริการสาธารณะพื้นฐาน จึงจำเป็นต้องพึ่งพาระบบอุปถัมภ์ในชุมชนก่อนที่จะเปลี่ยนมาสู่การพึ่งพิงนโยบายประชานิยม ในส่วนของนโยบายประชานิยมนั้นกลับไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาความจนให้หมดไปในระยะยาวแต่อย่างใด กลับจะยิ่งสร้างความมืดบอดให้ประชาชนอยู่ในตำแหน่งแห่งที่อันเหลื่อมล้ำต่อไปไม่สิ้นสุด กระนั้นก็ตาม การปฏิรูปในมิตินี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ประชาชนหลุดพ้นจากความจนทันทีทั่วประเทศ แต่เป็นการทำให้คนจนผู้ด้อยโอกาสมีที่เหยียบยืนในสังคมผ่านการให้โอกาสในการทำงาน ที่อยู่อาศัย สาธารณสุข และการศึกษา เป็นต้น
มิติที่ห้า การปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ เพื่อให้ตำรวจเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ รักษากฎหมาย ดูประชาชนอย่างแท้จริง กลายเป็นตำรวจของประชาชน อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการตำรวจ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน อันสามารถให้คุณให้โทษตามระบบคุณธรรมความสามารถ (merit system) ผลก็คือ ตำรวจชั้นผู้น้อยจะไม่จำเป็นต้องเข้าหาผู้ใหญ่และนักการเมืองเพื่อหวังการปูนบำเหน็จรางวัลอีกต่อไป เพราะหากปฏิรูปสำเร็จ ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ช่วยเหลือประชาชนจะได้รับการปกป้องจากประชาชนเอง ที่สำคัญก็คือ ตำรวจจะไม่ต้องไปใช้อำนาจในทางที่ผิดแสวงหารายได้ในทางละเมิดกฎหมายเพื่อส่งส่วยให้ผู้บังคับบัญชา
การขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
ทั้งนี้การดำเนินการตามแนวทางปฏิรูปประเทศทั้ง 5 ด้านของ กปปส. จะสำเร็จลุล่วงลงได้ไม่ใช่ด้วยอาศัยกระบวนการปกติตามระบบรัฐสภา เพราะรากปมของปัญหาอันนำมาซึ่งข้อเสนอแนวทางปฏิรูปนั้น มีศูนย์กลางอยู่ที่ “นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง” การคาดหวังให้นักการเมืองใช้อำนาจที่มีอยู่ แก้ไขบทบัญญัติกฎหมายเพื่อจำกัดอำนาจตนเองจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อยากยิ่ง การปฏิรูปประเทศจึงจำเป็นต้องอาศัยกลไกพิเศษกดดันให้รัฐบาลรักษาการลาออกจากตำแหน่ง แล้วจัดให้มีนายกคนกลางและ “สภาประชาชน” ซึ่งมีสมาชิก 400 คน ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากสาขาวิชาชีพต่างๆ ทั่วประเทศ 300 คน และอีก 100 คน มาจากการเลือกของ กปปส. ทำหน้าที่นิติบัญญัติ รวมถึงปฏิรูปประเทศให้เสร็จสิ้น หากยังคงอยู่ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เพราะ กปปส. ถึง มาตรา 3 และมาตรา 7 ว่าด้วยเรื่องอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย และประเพณีการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ในงานเสวนา “ทำไมต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง?” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-19 ธันวาคม 2556 ประกอบด้วยแกนนำ กปปส. นักวิชาการ และภาคประชาสังคม จำนวนหนึ่ง ร่วมอภิปรายแนวทางการปฏิรูปประเทศไทย ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ได้ชี้ให้เห็นว่าการเมืองในขณะนั้นเป็นการเมืองที่ผูกขาดโดยพรรคการเมืองพรรคเดียว ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจไม่เคยได้เข้าไปมีส่วนร่วมใช้อำนาจอย่างแท้จริง ขณะที่นายสุริยะใส กตะสิลา แสดงความเห็นว่าการเลือกตั้งที่จะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 นั้นเป็นเพียงการต่ออายุให้แก่ “ระบอบทักษิณ” อันเป็นเสมือนวงจรที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งไม่มีวันจบสิ้น ดังนั้นการเคลื่อนไหวเพื่อ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ของ กปปส. จึงไม่ใช่เรื่องการต่อสู้ระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล แต่เป็นเสียงเรียกร้องและความต้องการของประชาชนที่อยากให้มีการปฏิรูปประเทศผ่านกระบวนการที่ใสสะอาด หากต่อไปเมื่อการปฏิรูปสำเร็จเสร็จสิ้นลงแล้ว พรรคเพื่อไทยได้เสียงข้างมากกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ตราบใดที่มาด้วยกระบวนที่บริสุทธิ์ยุติธรรม
ทั้งนี้ ข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปประเทศของ กปปส. ได้สร้างบรรยากาศแห่งการปฏิรูปประเทศให้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งหนึ่ง ส่งผลให้องค์กรต่างๆ เล็งเห็นความสำคัญของการปฏิรูป ทั้งเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง และเพื่อแสวงหาความก้าวหน้าของสังคมไทยโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นข้อเสนอของฝ่ายรัฐบาลให้ปฏิรูป โดยจัดตั้ง “สภาปฏิรูปประเทศ” ประกอบด้วย สมัชชาของผู้ประกอบวิชาชีพต่างๆ 2,000 คนเลือกกันเองให้เหลือ 499 คน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เสนอให้มีการตั้งองค์กรในรูปแบบ “คณะกรรมการปฏิรูป” ประกอบด้วยกรรมการ 3 ฝ่าย คือรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ และ กปปส. อย่างละหนึ่งในสาม เครือข่ายองค์กรภาคเอกชน 7 องค์กร เสนอให้มีการออกพระราชกำหนด ให้ตั้ง “องค์กรปฏิรูป” ที่ประกอบด้วยผู้แทนของผู้ที่มีปัญหาขัดแย้งและผู้แทนภาคส่วนสังคม นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เสนอให้ตั้ง “คณะบุคคล” ประกอบด้วยผู้มีส่วนได้เสียจำนวนหนึ่ง เป็น “เวทีกลาง” สำหรับการกำหนดประเด็นในการปฏิรูปให้รัฐบาลที่จะเข้ามาใหม่ดำเนินการต่อไป เป็นต้น
ผลสืบเนื่องหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557
ภายหลังการรัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะ มีผลเป็นล้มเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 และรัฐบาลรักษาการขณะนั้นต้องพ้นจากตำแหน่งในทันที ขณะที่กลุ่ม กปปส. ก็จำเป็นต้องยุติบทบาททางการเมืองลงชั่วคราว อย่างไรก็ตามเมื่อ คสช. มีนโยบายที่จะระดมความคิดเห็นเป็นแนวทางในการปฏิรูปประเทศ โดยมีสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เป็นองค์กรหลักดำเนินการขับเคลื่อนการปฏิรูป แกนนำ กปปส. จึงเริ่มมีบทบาทอีกครั้งด้วยการเปลี่ยนวิธีการดำเนินงานให้อยู่ภายใต้ประกาศ คำสั่ง ของ คสช. และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 โดยได้จัดทำข้อเสนอแนวทางปฏิรูปให้สอดคล้องกับประเด็นปฏิรูปทั้ง 11 ด้านของ คสช. ดังที่นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. ชี้แจงว่า "แนวทางการปฏิรูปของ กปปส.ที่ได้กำหนดหัวข้อการปฏิรูปไว้ 5 ด้านในช่วงการชุมนุม ได้มีการรวบรวมให้เกิดความชัดเจน และเสนอต่อ คสช.ไปแล้วโดยมีการนำไปจัดอยู่ในหัวข้อการปฏิรูปของ คสช.ทั้ง 11 ด้าน ซึ่งแกนนำ กปปส.จะเป็นตัวแทนประชาชนที่จะร่วมสร้างพลังและสานต่อเจตนารมณ์ในการปฏิรูปประเทศให้ประสบผลสำเร็จก่อนตัดสินใจอนาคตทางการเมืองต่อไป"
ขณะเดียวกัน แกนนำ กปปส. ก็ได้จดทะเบียนจัดตั้ง “มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย” มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการศึกษา วิจัย ระดมความรู้ เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศไทย ตลอดจนติดตามรายงานข้อมูลและสถานะของประเทศเป็นระยะๆ ดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ และส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ด้วยวางตัวเป็นกลางไม่สนับสนุนการเงิน หรือ ทรัพย์สินแก่กลุ่มการเมืองใด สำหรับรายชื่อกรรมการมูลนิธิ ประกอบด้วย
- นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานกรรมการ
- นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รองประธานกรรมการ
- นายวิทยา แก้วภราดัย รองประธานกรรมการ
- นายอิสสระ สมชัย รองประธานกรรมการ
- นายถาวร เสนเนียม รองประธานกรรมการ
- นายชุมพล จุลใส กรรมการ
- นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ กรรมการ
- นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ กรรมการ
- นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการ
- นายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ กรรมการและเหรัญญิก
- นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ กรรมการและเลขานุการ
- นางสาวจิตภัสร์ กฤดากร กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
บรรณานุกรม
“7 องค์กรธุรกิจแนะทางออกชาติ" ไทยรัฐ. (24 ธันวาคม 2556), 16.
“กปปส.ตั้งมูลนิธิ “มวลมหาประชาชน”.” เดลินิวส์ออนไลน์. (30 สิงหาคม 2557). เข้าถึงจาก <http://www.dailynews.co.th/politics/263090>. เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2558.
“กิตติพงษ์ กิตยารักษ์: ปฏิรูปอย่างไรในกระแสความขัดแย้ง.” สำนักข่าวอิศรา. (14 มกราคม 2557). เข้าถึงจาก <http://www.isranews.org/isranews-article/item/26583>. เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2558.
คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย. (2538). ข้อเสนอกรอบความคิดในการปฏิรูปการเมืองไทย. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ร่วมกับ คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.).
“ทำไมต้องปฏิรูป ก่อนเลือกตั้ง?.” เดลินิวส์ออนไลน์. (20 ธันวาคม 2556). เข้าถึงจาก <http://www.dailynews.co.th/article/203311>. เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2558.
“ประกาศนายทะเบียนมูลนิธิ เรื่อง จดทะเบียนจัดตั้ง “มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย”.” ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 132 ตอน 16 ง. 19 กุมภาพันธ์ 2558, หน้า 45-46.
ประเวศ วะสี. (2538). การปฏิรูปทางการเมือง ทางออกของประเทศไทย. กรุงเทพฯ: หมอชาวบ้าน.
“ปูเดินหน้าดันสภาปฏิรูป.” เดลินิวส์. (26 ธันวาคม 2556), 2.
“พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร.” ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 130 ตอนที่ 115 ก. 9 ธันวาคม 2556, หน้า 1-2.
สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์. “ข้อเสนอต่อกระบวนการปฏิรูปประเทศไทย.” สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI). (24 ธันวาคม 2556). เข้าถึงจาก <http://tdri.or.th/tdri-insight/reform-process-proposal-somkiat/>. เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2558.
“สุเทพ เทือกสุบรรณเสนอแผน 1 ปี 5 ปฏิรูป แล้วจัดเลือกตั้ง.” ประชาไท. (17 ธันวาคม 2556). เข้าถึงจาก <http://www.prachatai.com/journal/2013/12/50482>. เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2558.
“สุเทพประกาศ 1 ธ.ค.วันแห่งชัยชนะสั่งยึดเบ็ดเสร็จศูนย์ราชการ-ทำเนียบกระทรวง-บช.น.-สตช.ผนึกแนวร่วมโค่นแม้วจตุพรระดมมวลชนแดงสู้.” คมชัดลึก. (30 พฤศจิกายน 2556), 13.
อมร จันทรสมบูรณ์. (2537). คอนสติติวชั่นแนลลิสม์ (Constitutionalism): ทางออกของประเทศไทย. กรุงเทพฯ: สถาบันนโยบายศึกษา โดยความสนับสนุนของ มูลนิธิคอนราดอเดนาวร์.
เอกสารอ่านเพิ่มเติม
บรรยง พงษ์พานิช. ""ปฏิรูปประเทศไทย" อะไร...ทำไม...เพื่ออะไร...อย่างไร." THAIPUBLICA. (10 มกราคม 2557). เข้าถึงจาก <http://thaipublica.org/2014/01/thailand-reform/>. เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2558.
อมร จันทรสมบูรณ์. "“ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” หรือ “เลือกตั้งก่อนปฏิรูป” (?) (เราจะปฏิรูปประเทศกันอย่างไร)." ผู้จัดการออนไลน์. (16 กุมภาพันธ์ 2557). เข้าถึงจาก <http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9570000018411>. เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2558.