พลังแผ่นดินไท (พ.ศ. 2549)
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
พรรคพลังแผ่นดินไท
พรรคพลังแผ่นดินจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2549[1] โดยมีนายลิขิต ธีรเวคิน ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคและนายประจวบ อึ๊งภากรณ์ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค[2] ต่อมาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2549[3] นายประจวบ อึ๊งภากรณ์ ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคและเลขาธิการพรรค แต่เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2550[4] ได้มีคำสั่งจากนายทะเบียนพรรคการเมืองให้พรรคพลังแผ่นดินไทยเปลี่ยนตัวบุคลผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคและรองหัวหน้าพรรคคือนายลิขิต ธีรเวคิน และนายสฤต สันติเมทนีดล เนื่องจากที่ผ่านมาบุคคลทั้งคู่ได้เป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคไทยรักไทยและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถขอจัดตั้งพรรคการเมือง เป็นกรรมการบริหารของพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการขอจัดตั้งพรรคการเมืองได้ภายในห้าปีนับตั้งแต่วันที่ประกาศยุบพรรคไทยรักไทย จึงทำให้พรรคพลังแผ่นดินไทยต้องเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรคคนใหม่ซึ่งก็ได้แก่นายสมศักดิ์ วรคามิน[5] แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อนายสมศักดิ์ วรคามิน ได้ลาออกจาการเป็นหัวหน้าพรรค[6] ซึ่งหัวหน้าพรรคคนต่อมาก็ได้แก่ นายมนตรี เศรษฐบุตร [7]
ส่วนการเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองอย่างเป็นทางการของพรรคนั้น ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 พรรคได้ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งหมด 41 คน แบ่งเป็นแบบสัดส่วนจำนวน 20 คนและแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 21 คน ซึ่งทั้งหมดไม่ได้รับการเลือกตั้งแต่อย่างใด
รายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายและการดำเนินการที่สำคัญมีดังต่อไปนี้คือ[8]
ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาภูมิภาค
1.กระตุ้นการบริโภคในประเทศ
2.กระตุ้นการส่งออก
3.ส่งเสริมการออมและการลงทุน
4.ส่งเสริมแข่งขันกันอย่างเสรี
5.สนับสนุนพัฒนาฝีมือแรงงาน
6.รักษาเสถียรภาพทางการเงิน
7.แก้ไขปัญหาการว่างงาน
8.พัฒนาความเจริญสู่ภูมิภาค
9.พัฒนาระบบเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับแต่ล่ะภูมิภาค
ด้านการต่างประเทศและการค้าระหว่างประเทศ
1.หาตลาดใหม่สำหรับสินค้าไทย
2.จัดตั้งกองทุนแรงงาน
3.แก้ไขกฎระเบียบด้านเศรษฐกิจที่ประเทศไทยเสียเปรียบ
4.ส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาค
5.สนับสนุนนโยบายความร่วมมือในระดับเอเปค
6.กระตุ้นความร่วมมือในกลุ่มประเทศอาเซียนให้มากยิ่งขึ้น
7.จัดตั้งมหาวิทยาลัยอาเซียน
8.ผลักดันความร่วมมือในระดับอนุภาคในเรื่องสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจและหกเหลี่ยมเศรษฐกิจ
9.แก้ปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดน
ด้านการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ
1.พัฒนาพรรคการเมือง
2.สนับสนุนองค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ
3.พัฒนากระบวนการนิติบัญญัติและการบริหาร
4.ปฏิรูประบบราชการให้เป็นเชิงเอกชน
5.ลดขนาดส่วนราชการ
6.กระจายอำนาจรัฐสู่หน่วยงานในท้องถิ่น เอกชนและสังคม
7.ปรับโครงสร้างการจ่ายค่าตอบแทนแก่หน่วยงานรัฐ
8.สนับสนุนให้มีการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรง
ด้านความมั่นคง
1.สนับสนุนให้กองทัพมีการค้นคว้า วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทางทหารที่ทันสมัย
2.ยกเลิกระบบทหารเกณฑ์โดยเปลี่ยนมาเป็นระบบทหารอาสา
3.ส่งเสริมบทบาทของกองทัพในการพัฒนาประเทศ
ด้านสังคม
1.สร้างสังคมใหม่ให้ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง สังคมผาสุก
2.ส่งเสริมคุณภาพและมาตรฐานของสถานเลี้ยงเด็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
3.พัฒนาระบบการคุ้มครองสิทธิเด็ก
4.ควบคุมการใช้แรงงานเด็ก
5.ฝึกอาชีพให้เยาวชนที่ไม่ได้ศึกษาต่อ
6.สนับสนุนหญิงชายให้มีความรับผิดชอบตามกรอบธรรมเนียมประเพณี
7.คุ้มครองให้เกียรติ สิทธิและเสรีภาพทุกประการกับหญิงบริการที่ทำโดยความสมัครใจ
8.ให้การบริการที่จำเป็นทุกด้านแก่ผู้สูงอายุโดยไม่คิดมูลค่า
9.จัดสวัสดิการให้แก่ผู้พิการในทุกด้าน
ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม
1.ส่งเสริมการวิจัยเพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2.พัฒนาบุคลากรทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
3.ส่งเสริมระบบสารสนเทศการเกษตร
4.กำหนดมาตรการในการดูแล รักษา แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
5.สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์เพื่อการพัฒนา
6.ตั้งคณะกรรมการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการใช้ทรัพยากรและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ด้านการเกษตร
1.ส่งเสริมการผลิตเพื่อแปรรูปสินค้าการเกษตรและการผลิตแบบฟาร์มขนาดใหญ่ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของเกษตรกร
2.พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารภายใต้ตราสัญลักษณ์ประเทศไทยเพื่อการส่งออก
3.ขยายตลาดและแสวงหาตลาดใหม่ๆทางการเกษตร
4.ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกร
5.เพิ่มบทบาทของเอกชนในการพัฒนาแหล่งน้ำ
6.สนับสนุนการรวมตัวของเกษตรกร
ด้านการศึกษา
1.ให้โอกาสทางการศึกษากับคนทุกคน
2.เรียนฟรี 12 ปี
3.ส่งเสริมการศึกษาสำหรับนักบวชในทุกศาสนา
4.จัดตั้งกองทุนพัฒนาและกองทุนส่งเสริมบุคลากรทางการศึกษา
5.ตั้งกองทุนส่งเสริมการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
6.ให้มหาวิทยาลัยของรัฐเป็นหลักในการผลิตงานวิจัยและมหาวิทยาลัยเอกชนผลิตนักศึกษา
7.จัดหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกับประเพณีวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่
8.จัดตั้งห้องสมุดประชาชนในทุกท้องถิ่น
9.สนับสนุนการแปลสิ่งพิมพ์จากต่างประเทศ
10.ให้อิสระแก่เอกชนในการจัดการศึกษาทุกระดับ
ด้านสาธารณสุข
1.สนับสนุนให้มีแพทย์หรือพยาบาลประจำครอบครัว
2.จัดการบริการสาธารณสุขให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
3.จัดหาน้ำดื่มที่สะอาดให้ครบทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ
4.จัดตั้งศูนย์บริการแม่และเด็ก
5.สร้างเครือข่ายศูนย์สาธารณสุขและสหกรณ์ยาระดับหมู่บ้าน
6.ให้บุคลากรทางการแพทย์และพยาบาลปฏิบัติงานได้ถึงอายุ 65 ปี
7.ส่งเสริมให้มีระบบประกันสุขภาพราคาถูก
8.สนับสนุนการรักษาด้วยยากลางบ้านและยาสมุนไพร
อ้างอิง
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 123 ตอน 77ง หน้า 14
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 123 ตอน 77ง หน้า 49
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 123 ตอน 127ง หน้า 114
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอน 70ง หน้า 83-84
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอน 86ง หน้า 59
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอน 26ง หน้า 29
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอน 91ง หน้า 131
- ↑ สรุปความจากราชกิจจานุเบกษา เล่ม 123 ตอน 77ง หน้า 14-30