กรณีศึกษาของคนไร้รัฐคนไร้สัญชาติในสังคมไทย

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

กรณีศึกษาของคนไร้รัฐคนไร้สัญชาติในสังคมไทย:เรื่องจริงที่เป็นตัวอย่างของคนที่มีปัญหาสถานะบุคคล รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิทยาเขตท่าพระจันทร์ นศ.สสสส๑ สถาบันพระปกเกล้า

โทรศัพท์ ๐๒-๖๑๓๒๑๔๘ โทรศัพท์เคลื่อนที่ ๐๑-๓๔๙๒๑๐๙

Email : - archanwell@hotmail.com

Websites : http://www.archanwell.org,

Blog1 : http://gotoknow.org/portal/archanwell

Blog2 : http://learners.in.th/portal/archanwell

Blog3 : http://www.oknation.net/blog/archanwell

Community1 : http://archanwell.multiply.com/

Community2 : http://archanwell.hi5.com


กรณีที่ ๑ นายประสิทธิ์ จำปาขาว : ตัวอย่างของคนเกิดในประเทศลาวจากบิดาสัญชาติไทยและมารดาสัญชาติลาว แต่เขาตกเป็นคนไร้รัฐเพราะไร้สถานะทางกฎหมายทะเบียนราษฎร


กรณีที่ ๒ นายโชบี ตัวอย่างของคนเกิดในประเทศไทยจากบิดาและมารดาโรฮินญาหนีภัยความตายเข้ามาในประเทศไทย เขาประสบความไร้รัฐเพราะไร้สถานะทางกฎหมายทะเบียนราษฎร แต่บุตรสาวของเขามีสัญชาติไทย ไม่ไร้รัฐไม่ไร้สัญชาติเช่นเดียวกับเขา เพราะภริยาของเขามีสัญชาติไทย


กรณีที่ ๓ เด็กหญิงศรีกาบาง ตัวอย่างของคนเกิดในประเทศไทยจากบิดาและมารดามอแกน ซึ่งยังพิสูจน์สัญชาติไทยไม่แล้วเสร็จ พวกเขาจึงไร้สัญชาติเพราะไร้สถานะทางกฎหมายสัญชาติ แต่พวกเขาไม่ไร้รัฐอีกต่อไป พวกเขาได้รับการบันทึกโดยอำเภอเมืองระนองในทะเบียนประวัติตามกฎหมายทะเบียนราษฎร (ท.ร.๓๘ ข) ของรัฐไทยแล้ว


กรณีที่ ๔ ซ่างเห่า แซ่ก่อ ตัวอย่างของคนเกิดนอกประเทศไทยจากบิดาและมารดาเชื้อสายจีน เป็นคนหนีภัยความตายเข้ามาในประเทศไทย เธอไร้สัญชาติ แต่เธอเป็นมารดาของคนสัญชาติไทย


นางซางเห่า แซ่ก่อ เกิดที่ยูนาน ประเทศจีนเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๒ เธอเป็นบุตรสาวคนเดียวของมารดา บิดาทิ้งมารดาไปตั้งแต่ก่อนซ่างเห่าเกิด ภายหลังการเกิด ครอบครัวได้อพยพมาอยู่ในประเทศพม่า ซึ่งมารดามาเสียชีวิตในประเทศนี้ จึงทำให้ซ่างเห่าเป็นกำพร้าตั้งแต่อายุ ๑๑ ปี ซ่างเห่าได้รับการเลี้ยงดูจากเพื่อนของมารดา

ในวัยสาวของซ่างเห่าในประเทศพม่า ซ่างเห่าได้พบรักกับสามีซึ่งเป็นคนจีนจากแผ่นดินใหญ่ซึ่งอพยพเข้ามาในพม่าเช่นกัน หลังจากการอยู่กินกันฉันสามีภริยา ซ่างเห่าและสามีได้อพยพเข้ามาในเมืองไทยในราว พ.ศ.๒๕๑๔

ซ่างเห่าและสามีมีบุตรด้วยกัน ๓ คน บุตรทุกคนเกิดในประเทศไทย กล่าวคือ (๑) .นายชงหาง แซ่จู (๒) นายชงหัว แซ่จู และ (๓) นางสาวหลิ่งหลิง แซ่จู สามีเสียชีวิตลงภายหลังการเกิดของบุตรคนที่สาม

หลิ่งหลิง ซึ่งเป็นบุตรสาวคนสุดท้องเล่าว่า “เท่าที่จำความได้ แม่ก็ทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่มาโดยตลอด แม่เลี้ยงลูกๆ ด้วยความลำบาก เพราะพ่อไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้เราเลย ที่อยู่ก็อยู่ในโรงงานทำไม้กวาด โดยเจ้าของบริษัทไม่เก็บค่าเช่า แม่กับพี่ชายคนโตจะทำงาน พี่ชายคนโตทำงานโดยที่ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะต้องไปช่วยแม่ทำงานเพื่อให้น้องๆได้เรียนหนังสือ และวันเสาร์-อาทิตย์ข้าพเจ้าและพี่ชายคนเล็กก็จะมาช่วยแม่ทำงาน ข้าพเจ้ายังจำได้ดีตอนนั้นข้าพเจ้ายังเด็ก ได้ไปรอแม่ที่ทำงาน แม่ทำงานถึง ตี ๑ - ๒ ข้าพเจ้าต้องนอนรอข้างๆ ที่ทำงานของแม่จนหลับไป แม่อุ้มกลับตอนไหนก็ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็เช้าแล้ว..พอข้าพเจ้าเรียนสูงขึ้น รายได้ที่แม่หามาได้ก็ไม่พอจุนเจือครอบครัว แม่จึงต้องมาหางานทำในกรุงเทพฯ และได้ฝากข้าพเจ้าและพี่ชายไว้กับเพื่อนของแม่ แม่มาทำงานในกรุงเทพฯ เงินเดือนน้อยมาก ๓๐๐๐ บาท ทั้งๆ ที่แม่ของคนอื่นๆ ไปทำงานที่ไต้หวันได้เงินเดือนเยอะ ถ้าแม่ได้ไปไต้หวันก็คงไม่ลำบากอย่างนี้ ตอนแม่ไปกรุงเทพฯ ครั้งแรกข้าพเจ้ายังจำได้ติดตา แม่ร้องไห้....พอแม่ได้เงินเดือนก็จะส่งกลับมาให้ลูกๆ พร้อมเสื้อผ้า แม่จะเป็นคนประหยัดมาก ..แม่จะโทรศัพท์มาหาลูกๆ บ่อยมาก แต่เวลาที่โทรศัพท์มา แม่ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย แม่จะบอกว่า แม่มีความสุขมาก.”

ผลตอบแทนความดีของซ่างเห่าได้เริ่มบังเกิดขึ้นแล้วในวันนี้ หลิ่งหลิงจบปริญญาตรีแล้ว ท่ามกลางความยากลำบากที่ยังคงมีอยู่ เพราะทุกคนในครอบครัวยังไร้สัญชาติ แต่รัฐไทยก็ยอมรับทุกคนในครอบครัวของซ่างเห่าในสถานะของราษฎรไทยประเภทอยู่ชั่วคราว พวกเขาจึงไม่ไร้รัฐ นอกจากนั้น คณะรัฐมนตรีเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๓ ยังยอมรับให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอนุญาตให้สถานะคนต่างด้าวที่ถูกกฎหมายและมีสิทธิอาศัยอยู่ถาวรในประเทศไทยแก่ซ่างเห่า และยอมรับรัฐมนตรีดังกล่าวให้สัญชาติไทยแก่บุตรทุกคนของซ่างเห่า วันนี้ สิ่งที่ทุกคนในครอบครัวของซ่างเห่ารอคอย ก็คือ หนังสืออนุญาตให้สถานะดังกล่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งคาดว่า จะมาถึงในไม่ช้า

วันนี้ หลิ่งหลิงมีสถานะเป็นคนสัญชาติไทยเสียแล้ว และซ่างเห่าก็มีสถานะเป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองถูกกฎหมายและมีสิทธิอาศัยถาวรแล้ว แต่ยังไร้สัญชาติ



กรณีที่ ๕ เซาะเล้ง บุรสินสง่า

ตัวอย่างของคนเกิดนอกประเทศไทยจากบิดาและมารดาเชื้อสายจีนในกัมพูชา เป็นคนหนีภัยความตายเข้ามาในประเทศไทย เธอไร้รัฐและไร้สัญชาติ แต่เธอเป็นภริยาและมารดาของคนสัญชาติไทย


เซาะเล้ง แซ่เต้ เกิดที่เมืองพนมเปญ ประเทศกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ จากบิดาและมารดาซึ่งเป็นคนเชื้อสายจีน ครอบครัวของนางเซาะเล้งทำการค้าข้าวสาร ซึ่งกิจการรุ่งเรืองดี จนถือได้ว่ามีฐานะที่ไม่ลำบากเลย แต่เมื่อประเทศกัมพูชาเกิดสงครามกลางเมือง นางเซาะเล้งและครอบครัวจึงต้องหนีภัยสงครามเข้ามาในประเทศไทย เซาะเล้งมาพักอาศัยกับญาติซึ่งทำการค้าขายอยู่ที่อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย และได้พบรักกับนายพาที บุรสินสง่า คนสัญชาติไทย เชื้อชาติจีน ซึ่งเป็นญาติกัน จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๑๗ เซาะเล้งและพาทีก็ได้แต่งงานกัน เมื่อครอบครัวถูกเสนอให้เดินทางไปลี้ภัยในประเทศฝรั่งเศส เซาะเล้งจึงตัดสินใจที่จะไม่ติดตามครอบครัวไปฝรั่งเศส ยอมรับที่จะอาศัยอยู่ในประเทศไทยอย่างซุกซ่อน เพราะไม่มีเอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลใดๆ เลย

เซาะเล้งและพาที มีบุตรด้วยกัน ๓ คน กล่าวคือ (๑) นางสาวพรพรรณ บุรสินสง่า (๒) นางสาวมนัสนันท์ บุรสินสง่า และ (๓) นายวิทยา บุรสินสง่า บุตรทุกคนมีสัญชาติไทย เฉพาะเซาะเล้งเท่านั้นที่ตกเป็น “คนไร้รัฐ”

พรพรรณบุตรสาวคนโตของเซาะเล้งเล่าถึงมารดาว่า “ปี ๒๕๑๙ ได้มีประกาศให้ผู้หนีภัยในประเทศเข้าไปอยู่ศูนย์อพยพ เพื่อลี้ภัยไปฝรั่งเศส คุณยายขอร้องให้คุณแม่ไปเข้าศูนย์อพยพด้วย แต่ขณะนั้นคุณแม่มีดิฉันซึ่งยังเล็กอยู่จึงไม่อยากทิ้งดิฉันและคุณพ่อไป จึงตัดสินใจไม่ไปฝรั่งเศส ซึ่งขณะที่ตัดสินใจนั้นท่านก็ยังไม่รู้เลยว่าชีวิตที่เมืองไทยต่อไปจะเป็นอย่างไร ดิฉันคิดว่าถ้าวันนั้นท่านจากดิฉันและคุณพ่อไปฝรั่งเศส ชีวิตของท่านคงมีความสุข และไม่ต้องทุกข์จนถึงทุกวันนี้ เพราะหลังจากที่คุณยายและน้าไปฝรั่งเศสก็พบกับชีวิตที่ดี คุณยายและน้าได้รับสัญชาติฝรั่งเศส และน้าทั้ง ๒ คน ก็ได้แต่งงานและเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น ซึ่งคุณยายและน้าได้เขียนจดหมายติดต่อกับคุณแม่มาตลอด นานๆ ครั้งคุณยายมีเวลาก็บินมาเยี่ยมคุณแม่ ในบรรดาลูกๆ ของคุณยายทั้งหมดท่านจะเป็นห่วงคุณแม่ที่สุด เพราะอยู่ไกลและท่านรู้ถึงความทุกข์ที่คุณแม่ดี ตลอดเวลาที่ผ่านมาในเมืองไทยคุณแม่กลายเป็นคนไร้รัฐ ไร้สัญชาติ อยู่แบบไม่มีตัวตน .....เมื่อครั้งที่คุณแม่ตัดสินใจที่จะอยู่เมืองไทยกับดิฉันและพ่อ ท่านคิดทำการค้าเล็กๆ เพื่อเลี้ยงลูกๆ ท่านพอมีทองเล็กๆ ที่คุณยายทิ้งไว้ให้ก่อนไปฝรั่งเศสจึงนำไปขายเพื่อนำเงินมาลงทุนค้าขาย ดิฉันจำได้อาชีพแรกเริ่มที่แม่ทำตอนอยู่เมืองไทยคือ การทำน้ำเต้าหู้ขาย ดิฉันยังจำภาพของแม่ที่นั่งโม่ถั่วเหลืองเอาไปต้มแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง จนตักใส่ถุงพลาสติครัดยาง แม่นำน้ำเต้าหู้ใส่กระติก ก่อนเอาไปใส่ท้ายรถจักรยานเก่าๆ แล้วนำไปขายที่ตลาด...คุณแม่เป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ และไม่เคยกินทิ้งกินขว้าง ท่านจะกินข้าวเป็นคนสุดท้ายต่อจากปู่ ย่า พ่อ และลูกๆ....”

วันนี้ เซาะเล้งก็ยังเป็นคนไร้รัฐ แต่เรื่องของเซาะเล้งถูกร้องเข้ามาที่ศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายหลังจากการศึกษาถึงสาเหตุและความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหาให้แก่เซาะเล้ง คณะทำงานจึงเริ่มต้นที่จะร้องขอให้อธิบดีกรมการปกครองพิจารณาให้สถานะ “บุคคลผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน” แก่เซาะเล้ง โดยอาศัยอำนาจตามข้อ ๔ แห่งระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการสำรวจและจัดทำทะเบียนสำหรับบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน พ.ศ.๒๕๔๘ เพื่อให้เซาะเล้งมีชื่อในทะเบียนราษฎรของรัฐไทยในระหว่างกระบวนการขจัดความไร้สัญชาติให้เซาะเล้ง ซึ่งอาจจะเกิดจากการพิสูจน์สัญชาติกัมพูชา หรือการร้องขอสัญชาติไทยโดยการสมรสให้แก่เซาะเล้ง คงต้องใช้ความเป็นไปได้ทางกฎหมายทุกหนทางเพื่อแก้ปัญหาความไร้รัฐให้แก่เซาะเล้ง



กรณีที่ ๖ อายุ นามเทพ

ตัวอย่างของคนเกิดนอกประเทศไทยจากบิดาและมารดาเชื้อสายกะเหรี่ยงในพม่า เป็นคนหนีภัยความตายเข้ามาในประเทศไทย เธอไร้รัฐและไร้สัญชาติ แต่เธอเป็นภริยาและมารดาของคนสัญชาติไทย


อายุ โพ เกิดเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๘ ณ ปาพัน คอทุเรย์ ประเทศพม่า จากบิดาชื่อ ดร.ยอร์ช แมนชรา โพ และนางแอตแนส โพ ซึ่งบุคคลทั้งสองนี้เป็นคนเชื้อชาติกะเหรี่ยง และมีสัญชาติพม่า แม้เกิดในประเทศพม่า รัฐพม่าไม่เคยยอมรับความเป็นคนสัญชาติพม่าของอายุ และไม่ปรากฏว่า มีการยอมรับอายุในทะเบียนราษฎรของประเทศใดเลยในโลก

ครอบครัวของอายุได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยพร้อมกับบิดามารดาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๙ ซึ่งในช่วงต่อมา ดร.ยอร์ช ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลไทยในสถานะ “คนอพยพลี้ภัยทางการเมือง” และได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในประเทศไทย อายุได้เข้าศึกษาชั้นประถมปีที่ ๑ – ๒ ที่โรงเรียนทองสวัสดิ์วิทยาคาร อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และต่อมา ได้มาศึกษาในโรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ จนจบมัธยมศึกษาปีที่ ๕ และจบปริญญาตรีที่วิทยาลัยพายัพเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๑

ในวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๑ อาจารย์อายุได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายไทยกับนายเธียรชัย นามเทพ คนสัญชาติไทย บุคคลทั้งสองมีบุตรด้วยกัน ๒ คน กล่าวคือ (๑) นายเรมีย์ นามเทพ และ (๒) นายศิลา นามเทพ ซึ่งบุตรทั้งสองมีสัญชาติไทย นายเธียรชัยได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๘ อายุได้ทำงานเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาดุริยศิลป์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลับพายัพ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๑ จนถึงปัจจุบัน รวมเป็นระยะเวลากว่า ๒๘ ปี ที่ได้สอนดนตรีให้แก่นักศึกษา และเป็นกำลังหลักทางวิชาการด้านดุริยศิลป์ของประเทศไทย จนทำให้นักศึกษาของมหาวิทยาลัยพายัพจำนวนมากมายได้มีอาชีพด้านดนตรีทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ อาจารย์อายุในวันนี้ จึงเป็น นักดนตรีระดับโลก แต่ไร้รัฐ....

เรมีย์ได้เขียนจดหมายเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๘ ถึงนายกรัฐมนตรี ฯพณฯ ทักษิณ ชินวัตรเพื่อเล่าถึงปัญหาความไร้รัฐของอาจารย์อายุว่า “ปัญหาที่แม่เป็นคนไร้สัญชาติ ได้ส่งผลกระทบถึงพวกผมในช่วงที่อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะอยู่หลายครั้ง เช่น ตอนที่เราสองคนพี่น้องอายุ ๑๓, ๑๑ ขวบ เราเคยได้รับคัดเลือกให้เข้าในคณะนักร้องประสานเสียงสยช. ไปที่ฟิลิปปินส์ คราวนั้นเราเกือบจะไม่ได้ไปแล้ว เพราะแม่ไม่มีเอกสารยืนยันตนจากทางราชการเพื่อเซ็นรับรองเรา แต่ก็ยังโชคดีที่งานครั้งนั้น ประธานของคณะนักร้องเยาวชนไทยคือ ดร.สายสุรีย์ จุติกุล ท่านช่วยรับรองให้ แต่ต่อมา ตอนที่ผมอายุ ๑๖ ปี อาจารย์ที่สอนเปียโนผม คือ Miss Jamie Shark ได้ติดต่อให้ผมไปร่วม Music Camp สำหรับเยาวชนดนตรีที่อเมริกา แต่ก็มาติดที่ปัญหาเดิมอีก คุณแม่ไปติดต่อที่ ตม. แต่ก็กลับได้รับคำแนะนำมาว่า ให้อยู่เงียบๆ อย่างนี้ก็ดีแล้ว ขืนโวยวายเรียกร้องมากมาย พวกผมอาจจะถูกถอนสัญชาติก็ได้ แม่ก็เลยต้องกลับมาอยู่เงียบๆ อย่างที่เขาบอก เพื่อไม่ให้พวกผมเดือดร้อน แต่ความจริง ก็เดือดร้อนไปแล้ว เพราะผมก็พลาดโอกาสที่ดีในครั้งนั้นไป ผมจึงต้องหาทางออกด้วยการหาโอกาสเท่าที่จะมีได้ในเมืองไทยเท่านั้น ผมได้เข้าร่วมการแข่งขันดนตรีในประเทศไทยหลายครั้ง เคยได้แชมป์อิเลคโทนประเทศไทย ๒ ครั้งซ้อน น้องชายผมก็ตั้งวงดนตรี เคยได้รับรางวัล ที่ ๓ ของรายการ Nescafe Open Up ครั้งที่ ๒ ระดับประเทศ ปัจจุบันผมกับน้องชายก็บรรลุนิติภาวะแล้ว มีบัตรประชาชนโดยถือสัญชาติตามบิดาทั้ง ๒ คน และผ่านการเกณฑ์ทหารมาแล้ว แต่แม่ก็ยังมีปัญหาเดิมคือ เหมือนคนไร้ตัวตนอยู่ ตอนนี้คุณแม่กำลังดำเนินการเพื่อขอสัญชาติไทยอยู่ แต่ก็ติดขัดตรงที่ไม่มีใบแสดงตน ไม่อาจทำอะไรคืบหน้าได้เลย เราอยากจะตอบแทนพระคุณคุณแม่บ้างที่ได้ลำบากมาเพื่อเรามานาน จึงได้เขียนจดหมายนี้มาถึงท่านนายกฯ ......ผมอยากให้แม่ได้รับรางวัลชีวิตบ้าง เป็นของขวัญวันแม่ที่ผมและน้องอยากหาให้ที่สุดครับ”

เรื่องของอาจารย์อายุ นามเทพได้รับการศึกษาทั้งโดยศูนย์นิติศาสตร์ของทั้งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ และของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยยอมรับ อาจารย์อายุอาจร้องขอได้ทั้งสัญชาติไทยโดยการสมรสเพราะมีสามีที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคนสัญชาติไทย อันทำให้อาจร้องขอสัญชาติไทยโดยการสมรสตามมาตรา ๙ แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ และสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติเพราะว่ามีความกลมกลืนกับสังคมไทย อันทำให้อาจร้องขอแปลงสัญชาติเป็นไทย (มาตรา ๑๒ แห่ง พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘) แต่ในปัจจุบัน เมื่อสามีของอาจารย์อายุเสียชีวิตลงแล้ว อาจารย์อายุจึงไม่อาจจะร้องขอสัญชาติไทยโดยการสมรส จึงเหลือหนทางเดียวที่อาจารย์อายุจะมีสัญชาติไทยกล่าวคือ การแปลงสัญชาติเป็นไทยเท่านั้น โดยพิจารณาคุณานูปการที่อาจารย์อายุสอนดนตรีให้แก่นักศึกษาไทยมายาวนาน อาจารย์อายุจึงมีข้อเท็จจริงที่ทำให้อาจใช้สิทธิร้องขอแปลงสัญชาติไทยภายใต้เงื่อนไขพิเศษ อาจารย์อายุจึงได้ร้องขอแปลงสัญชาติเป็นไทยภายใต้เงื่อนไขทั่วไปตามมาตรา ๑๑ แห่ง พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ แต่อย่างไรก็ตาม อำนาจในการอนุญาตให้สัญชาติไทยเป็นอำนาจดุลพินิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนั้น

ในวันนี้ อาจารย์อายุได้ดำเนินการร้องขอแปลงสัญชาติเป็นไทยในกรณีพิเศษให้แก่อาจารย์อายุจนแล้วเสร็จทุกขั้นตอนแล้ว และได้รับความเห็นชอบมาแล้วทุกขั้นตอน รออยู่แต่เพียงหนังสืออนุญาตให้แปลงสัญชาติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อาจารย์อายุได้แต่หวังว่า ๕๐ ปีของความไร้รัฐจะสิ้นสุดลงใน พ.ศ.๒๕๔๙ หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะรักษาความมั่นสัญญาที่ท่านให้แก่ครูสอนดนตรีคนหนึ่งในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๙

แต่วันนี้ อาจารย์อายุมีสถานะเป็นคนต่างด้าวในทะเบียนประวัติประเภท ท.ร.๓๘ ข. ตามกฎหมายไทย เธอจึงไม่ไร้รัฐ แต่ยังไร้สัญชาติ ยังเป็นคนต่างด้าวที่มีลักษณะการเข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย และไม่มีสิทธิอาศัยในประเทศไทย ยังคงสอนดนตรีแก่เยาวชนไทย และยังเดินทางเพื่อแสดงดนตรีทั้งในและนอกประเทศไทย และทุกครั้งที่ปรากฏตัวนอกประเทศไทย ก็จะเดินทางออกไปจากประเทศไทยอย่างถูกกฎหมาย และเป็นคนที่เข้าเมืองถูกกฎหมายของรัฐต่างประเทศนั้นๆ และเมื่อกลับมาประเทศไทย ก็จะมีสถานะเป็นคนผิดกฎหมายไทยเหมือนที่เคยเป็นมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๒



กรณีที่ ๗ นางสาวศรีนวล เสาร์คำนวล

ตัวอย่างของคนเกิดในประเทศไทยจากบิดาและมารดาเชื้อสายไทยใหญ่ในพม่า เธอไม่ไร้รัฐเพราะได้รับบันทึกชื่อในทะเบียนบ้านตามกฎหมาย ประเภท ท.ร.๑๓ แต่ยังไร้สัญชาติ


ศูนย์พัฒนาการศึกษาเพื่อลูกหญิงและชุมชน ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนในจังหวัดเชียงราย ได้ร้องขอความช่วยเหลือทางกฎหมายให้แก่ครอบครัวเสาร์คำนวลที่ประสบความไร้สัญชาติมายังคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ปรากฏตามทะเบียนประวัติชุมชนบนพื้นที่สูงตามแผนแม่บทฯฉบับที่ ๒ ออกให้โดยสำนักทะเบียนอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายว่า นางแสง เสาร์คำนวล เกิด ณ เมืองเชียงตุง ประเทศพม่า จากคนในชาติพันธุ์ไทยใหญ่ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘

นางแสงได้สมรสกับนายหนุ่มในประเทศพม่า และมีบุตรด้วยกัน ๓ คน คือ (๑) นางสาวนาง ซึ่งเกิดใน พ.ศ.๒๕๒๒ (๒) นางบัวคำ ซึ่งเกิดใน พ.ศ.๒๕๒๗ และ (๓) นางสาวจันแสง ซึ่งเกิดใน พ.ศ.๒๕๒๘

ต่อมา นางแสงและนายหนุ่ม รวมถึงบุตรทั้งสามได้อพยพเข้ามาจากประเทศพม่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐ และเข้ามาอาศัยอยู่ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

ใน พ.ศ.๒๕๓๑ นางแสงตั้งท้องบุตรสาวอีก ๑ คน ซึ่ง กล่าวคือ นางสาวศรีนวล แต่ยังไม่ทันที่จะคลอดบุตร นางแสงได้แยกทางกับนายหนุ่ม เพราะนายหนุ่มทำร้ายร่างกายนางแสง และลูก ๆ เนื่องจากนายหนุ่มชอบดื่มสุรา และมีพฤติกรรมชอบเที่ยวกลางคืน เมื่อมีอาการเมา ก็จะทะเลาะตบตีภริยาและบุตร หลังจากนางแสงได้แยกทางกับนายหนุ่ม นางอามจึงพานางแสง และบุตรทั้งสามมาอาศัยอยู่ที่สวนลิ้นจี่ของนายแสงในหมู่บ้านสันเกล็ดทอง นางแสงได้คลอดนางสาวศรีนวลที่ในสวนลิ้นจี่ของนายแสง ที่บ้านสันเกล็ดทอง ซึ่งนางบัวใข ปันปิน สัญชาติไทย อายุ ๖๖ ปี ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านสันเกล็ดทอง ตำบลโป่งงาม อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้ยอมตนเป็นพยานบุคคลเพื่อรับรองว่า นางแสงได้ให้กำเนิดนางสาวศรีนวลในสวนลิ้นจี่ของนายแสง ที่บ้านสันเกล็ดทองจริง แต่ก็ยังไม่มีการทำหนังสือรับรองการเกิดตามกฎหมายไทยให้แก่นางสาวศรีนวล

ส่วนนายหนุ่มได้มาทำงานรับจ้างอยู่ที่สวนลิ้นจี่ที่บ้านน้ำจำ อำเภอแม่สาย แล้วได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลแม่สายในเวลาต่อมา กล่าวคือ ประมาณ ๔ – ๕ ปีหลังจากการเกิดของนางสาวศรีนวล

ในส่วนนางแสงได้ไปอยู่กินกับนายแก้ว ซึ่งเป็นสามีคนปัจจุบันของนางแสง

ใน พ.ศ.๒๕๔๒ เมื่อรัฐบาลไทยมีนโยบายให้สำรวจคนไร้รัฐบนพื้นที่สูงเพื่อบันทึกในทะเบียนประวัติชุมชนบนพื้นที่สูงตามแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ นายแก้ว นางแสง นางสาวนาง นางบัวคำ และนางสาวจันแสงได้ไปแสดงตนเพื่อให้สำนักทะเบียนอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย บันทึกรายการสถานะบุคคลในทะเบียนประวัติดังกล่าว แต่มิได้นำนางสาวศรีนวลซึ่งในขณะนั้น มีอายุเพียง ๓ ปีไปแสดงตนด้วย นางสาวศรีนวลจึงไม่มีชื่อในทะเบียนประวัติตามกฎหมายทะเบียนราษฎร

นอกจากนั้น แบบพิมพ์ทะเบียนประวัติที่บันทึกชื่อของนายแก้วและนางแสง รวมถึงบุตรอีก ๓ คน ยกเว้นนางสาวศรีนวลนี้ ระบุว่า บุคคลทั้งหมดเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๔ จึงเกิดข้อสันนิษฐานจากทางราชการว่า นางสาวศรีนวลน่าจะเกิดนอกประเทศไทย เพราะเมื่อนางแสงผู้เป็นมารดาเข้ามาเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๔ จึงไม่มีโอกาสให้กำเนิดนางสาวศรีนวลในประเทศไทยใน พ.ศ.๒๕๓๑ แต่อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา นางสาวศรีนวลก็ได้รับการเพิ่มชื่อในทะเบียนราษฎรของรัฐไทย

ปัจจุบัน นายแก้วและนางแสง ตลอดจนบุตรของนางแสงทุกคนถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยออกเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๐ ซึ่งหมายความว่า บุคคลทั้งหมดมีสถานะเป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย แต่มีสิทธิอาศัยชั่วคราวในประเทศไทย นายแก้วและนางแสง ประกอบอาชีพค้าขายข้าวแรมฟืน และข้าวซอยน้อย

ต่อมา ใน พ.ศ.๒๕๕๐ นางสาวศรีนวล เสาร์คำนวล ได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาในระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิล ประเทศสหรัฐอเมริกาให้ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา มีกำหนดระยะเวลาโดยประมาณ ๕ ปี