ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กระบวนการจัดทำพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 7: บรรทัดที่ 7:
----
----


พระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543 ได้บัญญัติขึ้นตามมาตรา 89 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามหมวดว่าด้วยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ให้รัฐจัดให้มีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งให้ความเห็นเกี่ยวกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและแผนอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติก่อนพิจารณาประกาศใช้ ทั้งนี้ องค์ประกอบ ที่มา อำนาจหน้าที่ และการดำเนินงานของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
[[พระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543]] ได้บัญญัติขึ้นตามมาตรา 89 ของ[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540]] โดยเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามหมวดว่าด้วย[[แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ]] ให้รัฐจัดให้มีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะต่อ[[คณะรัฐมนตรี]]ในปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งให้ความเห็นเกี่ยวกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและแผนอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติก่อนพิจารณาประกาศใช้ ทั้งนี้ องค์ประกอบ ที่มา อำนาจหน้าที่ และการดำเนินงานของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้เป็นไปตามที่[[กฎหมาย]]บัญญัติ
   
   
== ความเป็นมา ==
== ความเป็นมา ==


หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2540 นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้แก่ ฯพณฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานการดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญซึ่งจะต้องจัดทำกฎหมายหลายลักษณะด้วยกัน รวมทั้งจะต้องตราพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติขึ้นมารองรับการดำเนินงานให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฯ เช่นกัน  
หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2540 นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้แก่ ฯพณฯ [[ชวลิต ยงใจยุทธ|พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ]] ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานการดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญซึ่งจะต้องจัดทำกฎหมายหลายลักษณะด้วยกัน รวมทั้งจะต้องตราพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติขึ้นมารองรับการดำเนินงานให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฯ เช่นกัน  


ในเบื้องต้นนั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นหน่วยงานในการรับไปดำเนินการโดยมีข้อสังเกตว่า ควรจะออกกฎหมายใหม่หรือแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2521  
ในเบื้องต้นนั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นหน่วยงานในการรับไปดำเนินการโดยมีข้อสังเกตว่า ควรจะออกกฎหมายใหม่หรือแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2521  

รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:04, 10 มิถุนายน 2554

ผู้เรียบเรียง วัชรา ไชยสาร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ พรรณราย ขันธกิจ


พระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543 ได้บัญญัติขึ้นตามมาตรา 89 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามหมวดว่าด้วยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ให้รัฐจัดให้มีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งให้ความเห็นเกี่ยวกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและแผนอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติก่อนพิจารณาประกาศใช้ ทั้งนี้ องค์ประกอบ ที่มา อำนาจหน้าที่ และการดำเนินงานของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ

ความเป็นมา

หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2540 นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้แก่ ฯพณฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานการดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญซึ่งจะต้องจัดทำกฎหมายหลายลักษณะด้วยกัน รวมทั้งจะต้องตราพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติขึ้นมารองรับการดำเนินงานให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฯ เช่นกัน

ในเบื้องต้นนั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นหน่วยงานในการรับไปดำเนินการโดยมีข้อสังเกตว่า ควรจะออกกฎหมายใหม่หรือแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2521

สศช. ได้จัดแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาปรับบทบาทและโครงสร้าง สศช. เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยมีนายธรรมรักษ์ การพิศิษฎ์ เป็นประธาน และนางสาวพรรณราย ขันธกิจ เป็นคณะทำงานและเลขานุการ มีหน้าที่พิจารณาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 89 ในการจัดตั้ง สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแนวทางการออกพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

นายธรรมรักษ์ การพิศิษฎ์ ประธานคณะทำงานพิจารณาปรับบทบาทและโครงสร้าง สศช. เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฯ 2540

ต่อมาเปลี่ยนรัฐบาลจาก ฯพณฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี เป็น ฯพณฯ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2540 ได้ระบุชัดเจนว่า จะจัดตั้งสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

คณะกรรมการนโยบายและประสานการดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย รัตตกุล) เป็นประธาน ได้มอบหมายให้ สศช. รับไปตรวจสอบและดำเนินการให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแล สศช. ได้มอบนโยบายการดำเนินการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาฯ โดยแบ่งงานออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ [1]

(1)กำหนดกรอบแนวคิดเรื่องสภาที่ปรึกษาฯ โดยตั้งคณะทำงานฯ ร่วมระหว่างผู้ทรงคุณวุฒิจากในและนอกสำนักงานฯ รวมทั้งศาสตราจารย์ ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตเลขาธิการสภาร่างรัฐธรรมนูญฯ

(2) นำกรอบแนวคิดไปรับฟังความคิดเห็นจากอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญฯ (สสร.) ที่เกี่ยวข้องกับการบทบัญญัติมาตรา 89 ตัวแทนกลุ่มประชาชนจากภาคส่วนต่างๆ ได้แก่ ตัวแทนผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายสาขา ตัวแทนอาชีพและกิจกรรม หัวหน้าหน่วยงานที่จะเกี่ยวข้องกับสภาฯ คณะกรรมการสภาพัฒน์ และคณะผู้บริหารของสภาพัฒน์

(3) จัดตั้ง “คณะกรรมการดำเนินการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” จากผู้ทรงคุณวุฒิกับบุคคลจากภาคประชาชนในทุกภาคส่วน โดยมีนายวิษณุ เครืองาม เป็นประธานคณะกรรมการ และนางสาวพรรณราย ขันธกิจ เป็นกรรมการและเลขานุการ กำหนดให้ทำหน้าที่พิจารณากำหนดรูปแบบองค์กรสภาที่ปรึกษาฯ ให้มีบทบาทและหน้าที่สอดคล้องตามบทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญ พร้อมจัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับรูปแบบขององค์กรการดำเนินงานของสภาที่ปรึกษาฯ และความสัมพันธ์กับรัฐบาล ยกร่างกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาฯ

(4) มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการดำเนินการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำ “โครงการรับฟังความคิดเห็นเรื่อง สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” โดยมีร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ของคณะกรรมการดำเนินการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นร่างต้นแบบออกรับความคิดเห็นจากประชาชน

นายอานันท์ ปันยารชุน นายวิษณุ เครืองาม และนางสาวพรรณราย ขันธกิจ งาน 3 ปี สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (5 กันยายน 2547)

กระบวนการตราพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

(1) การรับฟังความคิดเห็น

วัตถุประสงค์: เพื่อให้ได้ข้อคิดเห็นที่จะนำไปสู่การจัดตั้งองค์กรสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และตรงความต้องการของประชาชนทุกกลุ่ม

เป้าหมาย : เพื่อให้การร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของรัฐบาลได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน สะท้อนความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง และสามารถนำมาซึ่งกฎหมายรองรับการจัดตั้งองค์กรให้คำปรึกษาทางเศรษฐกิจและสังคม โดยการมีส่วนร่วมจากประชาชนอย่างแท้จริง

ขั้นตอนการดำเนินงาน : ขั้นที่ 1 สร้างแบบสอบถามเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ขั้นที่ 2 เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกับตัวบุคคลและองค์กร ขั้นที่ 3 จัดเวทีสัมมนารับฟังความคิดเห็น

ผลการสำรวจความคิดเห็น สรุปได้ 5 ประเด็นหลัก ดังนี้

(1) ส่วนใหญ่เห็นว่า ควรจัดตั้งสภาที่ปรึกษาฯ โดยเร็ว เพื่อสนองตอบต่อหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญในการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน

(2) เสนอให้ระบุอำนาจหน้าที่ของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 89

(3) ลักษณะขององค์กรเป็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นอิสระ สมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ มาจากหลากหลายอาชีพในฐานะตัวแทนของเครือข่าย ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศมีความรู้ ภูมิปัญญาในกลุ่มอาชีพของตนเป็นอย่างดี

(4) การดำเนินงานของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นองค์กรที่ดำเนินงานในลักษณะการมีส่วนร่วม สร้างและเชื่อมต่อเครือข่าย โปร่งใสผ่านสื่อมวลชนให้ประชาชนรับทราบ โดยมีสำนักงานเลขานุการอย่างถาวร ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของ สศช. หรือจัดตั้งสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติขึ้นมาใหม่ ทั้งนี้ในระยะเริ่มต้นให้อยู่ใน สศช. ตามข้อเสนอในร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ

(5) สร้างระบบการเข้าเป็นสมาชิกโดยยึดหลักการทำงานเพื่อรับใช้ชาติ และไม่คำนึงถึงค่าตอบแทนเป็นแรงจูงใจ

(2) การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ….

1) การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 มกราคม – 7 มีนาคม 2543 รัฐบาลได้เห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติฯ โดยมีขั้นตอนดังนี้

- คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี นายพิชัย รัตตกุล เป็นประธาน มีมติเห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรี

- คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543

- คณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฯ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 6 มีนาคม 2543

- คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติฯ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2543

2) การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 15 มีนาคม – 12 กรกฎาคม 2543

- วาระที่ 1 สภาผู้แทนราษฎรรับหลักการ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2543

- วาระที่ 2 แต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยมีนายสาวิตต์ โพธิวิหค เป็นประธาน และนายชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ เป็นกรรมาธิการและเลขานุการคณะกรรมาธิการ

- วาระที่ 3 มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาฯ

3) การพิจารณาของวุฒิสภา เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม – 16 กันยายน 2543

- วาระที่ 1 วุฒิสภารับหลักการ

- วาระที่ 2 แต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยมีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นประธาน และนายนิรันดร์ พิทักษ์วัชระ เป็นกรรมาธิการและเลขานุการคณะกรรมการวิสามัญฯ

- วาระที่ 3 มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาฯ

จากนั้นสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ที่วุฒิสภาแก้ไขแล้วมีมติเห็นชอบและนายกรัฐมนตรีได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้เป็นกฎหมาย เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2543 โดยให้มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2543.

ดูเพิ่มเติม

สถาพร วชิรโรจน์. ความคิดเห็นของประชาชนต่อสาระสำคัญในร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. ภาคนิพนธ์ หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (พัฒนาสังคม)สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2543.

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. ประมวลความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. ม.ป.ท., 2542

www.nesac.go.th/

ที่มา

พรรณราย ขันธกิจ. บทบาทและหน้าที่ขององค์กรสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. นนทบุรี : สถาบันพระปกเกล้า, 2548

พระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543.

อ้างอิง

  1. พรรณราย ขันธกิจ. บทบาทและหน้าที่ขององค์กรสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. นนทบุรี : สถาบันพระปกเกล้า, 2548 หน้า 47 – 52.