ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจ"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าใหม่: '''ผู้เรียบเรียง''' นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ---- '''ผู้ทรงคุณวุฒิป...
 
Teeraphan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 9: บรรทัดที่ 9:
== การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจ ==
== การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจ ==


การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจ มักจะเป็นพรรคที่มีเจ้าของซึ่งเป็นนายทุนเป็นกลุ่มคนจำนวนไม่มาก ซึ่งโดยทั่วไปมักมีเป้าหมายเพื่อใช้อำนาจทางการเมืองในการปกป้องหรือแสวงหาผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มของตนเอง จึงทำให้พรรคการเมืองในลักษณะนี้ส่วนใหญ่ ไม่ใช่พรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง   นอกจากนี้แล้ว ยังอาจพบลักษณะของการใช้เงินจำนวนมากในการลงทุนเพื่อแสวงหาการยอมรับจากประชาชน โดยที่สมาชิกพรรคไม่ได้อยู่ร่วมกันด้วยอุดมการณ์เดียวกัน แต่เป็นสมาชิกพรรคบนพื้นฐานของผลประโยชน์ และสมาชิกเหล่านี้พร้อมที่จะเปลี่ยนหรือย้ายสังกัดพรรคเมื่อถูกขัดผลประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ตามที่ตนเองต้องการ
การก่อตั้ง[[พรรคการเมือง]]โดยกลุ่ม[[ผู้นำทางเศรษฐกิจ]] มักจะเป็นพรรคที่มีเจ้าของซึ่งเป็น[[นายทุ]]นเป็นกลุ่มคนจำนวนไม่มาก ซึ่งโดยทั่วไปมักมีเป้าหมายเพื่อใช้[[อำนาจทางการเมือ]]งในการปกป้องหรือแสวงหาผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มของตนเอง จึงทำให้พรรคการเมืองในลักษณะนี้ส่วนใหญ่ ไม่ใช่พรรคการเมืองที่เป็น[[ประชาธิปไตย]]อย่างแท้จริง   นอกจากนี้แล้ว ยังอาจพบลักษณะของการใช้เงินจำนวนมากในการลงทุนเพื่อแสวงหาการยอมรับจากประชาชน โดยที่สมาชิกพรรคไม่ได้อยู่ร่วมกันด้วยอุดมการณ์เดียวกัน แต่เป็นสมาชิกพรรคบนพื้นฐานของผลประโยชน์ และสมาชิกเหล่านี้พร้อมที่จะเปลี่ยนหรือย้ายสังกัดพรรคเมื่อถูกขัดผลประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ตามที่ตนเองต้องการ


== การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทย ==
== การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทย ==


การก่อตั้งพรรคโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทยนั้น เป็นผลมาจากบริบททางด้านเศรษฐกิจของไทยที่มีลักษณะเปิดกว้างมากขึ้นและการเติบโตของภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา  นอกจากนี้แล้ว พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นมาส่วนใหญ่ มักมีความต้องการหรือขาดแคลนเงินทุนในการดำเนินบทบาททางการเมือง ซึ่งเงินทุนของพรรคมักมาจากชนชั้นนำในพรรคการเมืองและนายทุนจากภาคธุรกิจที่อยู่นอกพรรค ทำให้กลุ่มนายทุนพรรคเหล่านี้เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากภายในพรรค จนกลายเป็นกลุ่มผู้ผูกขาดการตัดสินใจที่สำคัญในพรรค และส่วนใหญ่มักนำไปสู่การขาดเอกภาพในการบริหารงานพรรค เนื่องจากเกิดช่องว่างทางอำนาจในการตัดสินใจระหว่างสมาชิกอื่นๆ ในพรรคกับกลุ่มนายทุนพรรคเหล่านี้
การก่อตั้งพรรคโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทยนั้น เป็นผลมาจากบริบททางด้านเศรษฐกิจของไทยที่มีลักษณะเปิดกว้างมากขึ้นและการเติบโตของภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การใช้[[แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ]] เมื่อปี พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา  นอกจากนี้แล้ว พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นมาส่วนใหญ่ มักมีความต้องการหรือขาดแคลนเงินทุนในการดำเนินบทบาททางการเมือง ซึ่งเงินทุนของพรรคมักมาจากชนชั้นนำในพรรคการเมืองและ[[นายทุน]]จากภาคธุรกิจที่อยู่นอกพรรค ทำให้กลุ่มนายทุนพรรคเหล่านี้เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากภายในพรรค จนกลายเป็นกลุ่มผู้ผูกขาดการตัดสินใจที่สำคัญในพรรค และส่วนใหญ่มักนำไปสู่การขาดเอกภาพใน[[การบริหารงานพรรค]] เนื่องจากเกิดช่องว่างทางอำนาจในการตัดสินใจระหว่างสมาชิกอื่นๆ ในพรรคกับกลุ่มนายทุนพรรคเหล่านี้


ตัวอย่างพรรคการเมืองไทยที่กลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจมีบทบาทในการก่อตั้งพรรคการเมือง ได้แก่ พรรคชาติไทย โดย “กลุ่มซอยราชครู” ซึ่งเป็นเครือข่ายทหาร-นักธุรกิจที่เป็นเครือญาติโดยตรงของจอมพลผิน ชุณหะวัณ อดีตผู้บัญชาการทหารบกและบุตรเขย คือ พลตรีประมาณ อดิเรกสาร ผู้เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก จนถึงการขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคของบุตรชายของจอมพลผิน คือ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเป็นได้เป็นนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา ทั้งนี้กล่าวได้ว่าในช่วงปี พ.ศ. 2490-2500 กลุ่มซอยราชครู เป็นกลุ่มที่มีอำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจสูงมาก ธุรกิจของกลุ่มนี้ เช่น บริษัทศรีอยุธยาประกันภัย บริษัทประกันชีวิตศรีอยุธยา บริษัททหารสามัคคี บริษัทส่งเสริมเศรษฐกิจแห่งชาติ บริษัทประมงไทย ไทยเดินเรือทะเล รวมทั้งกลุ่มยังให้การอุปถัมภ์ธุรกิจจำนวนมาก ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ บริษัทไทยประสิทธิ์ประกันภัย บริษัทประกันชีวิตบูรพา บริษัทเอเซียทรัสต์ เป็นต้น
ตัวอย่างพรรคการเมืองไทยที่กลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจมีบทบาทในการก่อตั้งพรรคการเมือง ได้แก่ พรรค[[ชาติไทย]] โดย “[[กลุ่มซอยราชครู]]” ซึ่งเป็นเครือข่ายทหาร-นักธุรกิจที่เป็นเครือญาติโดยตรงของ[[จอมพลผิน ชุณหะวัณ]] อดีตผู้บัญชาการทหารบกและบุตรเขย คือ [[พลตรีประมาณ อดิเรกสาร]] ผู้เป็น[[หัวหน้าพรรค]]คนแรก จนถึงการขึ้นมาเป็น[[หัวหน้าพรรค]]ของบุตรชายของจอมพลผิน คือ [[พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ]] ซึ่งเป็นได้เป็น[[นายกรัฐมนตรี]]ในเวลาต่อมา ทั้งนี้กล่าวได้ว่าในช่วงปี พ.ศ. 2490-2500 กลุ่มซอยราชครู เป็นกลุ่มที่มีอำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจสูงมาก ธุรกิจของกลุ่มนี้ เช่น บริษัทศรีอยุธยาประกันภัย บริษัทประกันชีวิตศรีอยุธยา บริษัททหารสามัคคี บริษัทส่งเสริมเศรษฐกิจแห่งชาติ บริษัทประมงไทย ไทยเดินเรือทะเล รวมทั้งกลุ่มยังให้การ[[อุปถัมภ์]]ธุรกิจจำนวนมาก ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ บริษัทไทยประสิทธิ์ประกันภัย บริษัทประกันชีวิตบูรพา บริษัทเอเซียทรัสต์ เป็นต้น


จากนั้นเมื่อกลุ่มซอยราชครู สูญเสียอำนาจทางการเมืองจากการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อปี พ.ศ. 2500 และกลับมาก่อตั้งใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 2517 เพื่อเตรียมการเลือกตั้งในปีต่อมา ซึ่งตั้งแต่ พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา จนถึงก่อนที่จะกลายมาเป็นพรรคของผู้มีอิทธิพลและทุนท้องถิ่นนั้น กล่าวได้ว่า บทบาททางการเมืองของพรรคชาติไทย คือ การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลผสมหลายชุด โดยเป็นเครื่องมือทางการเมืองซึ่งเป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับทหาร ธุรกิจเหล่านี้เป็นแหล่งที่มาของเงินจำนวนมหาศาลที่ใช้ในการรณรงค์เลือกตั้ง
จากนั้นเมื่อกลุ่มซอยราชครู สูญเสียอำนาจทางการเมืองจากการ[[รัฐประหาร]]ของ[[จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์]] เมื่อปี พ.ศ. 2500 และกลับมาก่อตั้งใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 2517 เพื่อเตรียม[[การเลือกตั้ง]]ในปีต่อมา ซึ่งตั้งแต่ พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา จนถึงก่อนที่จะกลายมาเป็นพรรคของผู้มีอิทธิพลและ[[ทุนท้องถิ่น]]นั้น กล่าวได้ว่า บทบาททางการเมืองของพรรคชาติไทย คือ การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลผสมหลายชุด โดยเป็นเครื่องมือทางการเมืองซึ่งเป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับทหาร ธุรกิจเหล่านี้เป็นแหล่งที่มาของเงินจำนวนมหาศาลที่ใช้ใน[[การรณรงค์เลือกตั้ง]]


หลังจากนั้น การก่อตั้งพรรคการเมืองภายใต้การนำของกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจก็ยังคงเกิดขึ้นในระยะต่อมา ดังการจัดตั้ง “พรรคนำไทย” ของนายอำนวย วีรวรรณ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ  และได้ปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อ “พรรคไทยรักไทย” ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักธุรกิจด้านโทรคมนาคมและคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของประเทศ ที่มีเป้าหมายของพรรคในการปฎิรูปเศรษฐกิจและการเมือง โดยพรรคไทยรักไทยจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 ถือว่าเป็นพรรคการเมืองแรกที่ก่อตั้งขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540  และได้รับเลือกตั้งเป็นจำนวนมากในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่ พ.ศ. 2544 จนกระทั่งถูกยุบพรรคไปด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550  ความโดดเด่นของพรรคไทยรักไทยที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมาก ก็คือ พลังของทุนในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรค ซึ่งมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่จำนวนมากให้การสนับสนุนทั้งในฐานะผู้บริจาคเงินให้แก่พรรคและการเป็นผู้บริหารพรรค  โดยกลุ่มทุนเหล่านี้มีทั้งกลุ่มธุรกิจด้านการสื่อสารโทรคมนาคม กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ธุรกิจสายการบิน ธนาคาร กลุ่มบริษัทก่อสร้าง และกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
หลังจากนั้น การก่อตั้งพรรคการเมืองภายใต้การนำของกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจก็ยังคงเกิดขึ้นในระยะต่อมา ดังการจัดตั้ง “พรรค[[นำไทย]]” ของนายอำนวย วีรวรรณ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ  และได้ปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อ “พรรค[[ไทยรักไทย]]” ภายใต้การนำของ [[พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร]] นักธุรกิจด้านโทรคมนาคมและคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของประเทศ ที่มีเป้าหมายของพรรคใน[[การปฎิรูปเศรษฐกิจ]]และการเมือง โดยพรรคไทยรักไทยจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 ถือว่าเป็นพรรคการเมืองแรกที่ก่อตั้งขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540  และได้รับเลือกตั้งเป็นจำนวนมากใน[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]] ตั้งแต่ พ.ศ. 2544 จนกระทั่งถูกยุบพรรคไปด้วยคำวินิจฉัยของ[[ศาลรัฐธรรมนูญ]] เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550  ความโดดเด่นของพรรคไทยรักไทยที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมาก ก็คือ พลังของทุนในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรค ซึ่งมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่จำนวนมากให้การสนับสนุนทั้งในฐานะผู้บริจาคเงินให้แก่พรรคและการเป็นผู้บริหารพรรค  โดยกลุ่มทุนเหล่านี้มีทั้งกลุ่มธุรกิจด้านการสื่อสารโทรคมนาคม กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ธุรกิจสายการบิน ธนาคาร กลุ่มบริษัทก่อสร้าง และกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น


== พัฒนาการของพรรคการเมืองไทยกับกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจ ==
== พัฒนาการของพรรคการเมืองไทยกับกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจ ==


การเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองของกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทยในอดีต มักมีลักษณะของการสงวนท่าทีและระมัดระวัง เนื่องจากความวิตกกังวลต่อเสถียรภาพทางการเมืองของไทยที่ไม่มีความมั่นคงนัก แต่เมื่อมีการเติบโตขึ้นของกลุ่มทุนจากภูมิภาคได้เป็นการกระตุ้นให้นักธุรกิจให้ความสนใจในการเข้ามามีบทบาททางการเมืองโดยตรง ในรูปแบบของการจัดตั้งพรรคการเมือง การเป็นผู้บริหารพรรค ตลอดจนการเป็นผู้สมัครของพรรคการเมืองนั้นๆ   
การเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองของกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทยในอดีต มักมีลักษณะของการสงวนท่าทีและระมัดระวัง เนื่องจากความวิตกกังวลต่อ[[เสถียรภาพทางการเมือง]]ของไทยที่ไม่มีความมั่นคงนัก แต่เมื่อมีการเติบโตขึ้นของกลุ่มทุนจากภูมิภาคได้เป็นการกระตุ้นให้นักธุรกิจให้ความสนใจในการเข้ามามีบทบาททางการเมืองโดยตรง ในรูปแบบของการจัดตั้ง[[พรรคการเมือง]] การเป็นผู้บริหารพรรค ตลอดจนการเป็นผู้สมัครของพรรคการเมืองนั้นๆ   


ปัจจัยที่ทำให้ผู้นำทางเศรษฐกิจหรือนักธุรกิจระดับชาติเข้ามามีบทบาทในการก่อตั้งพรรคการเมือง ได้แก่  
ปัจจัยที่ทำให้ผู้นำทางเศรษฐกิจหรือนักธุรกิจระดับชาติเข้ามามีบทบาทในการก่อตั้งพรรคการเมือง ได้แก่  


(1) การยกเลิกงบพัฒนาจังหวัด (งบ ส.ส.) นำไปสู่การลดอำนาจลงของนักการเมือง นักธุรกิจและเครือข่ายอุปถัมภ์ในระดับภูมิภาคส่งผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในภูมิภาคต้องพึ่งพาพรรคการเมืองและผู้นำพรรคการเมืองมากขึ้น
(1) การยกเลิกงบพัฒนา[[จังหวัด]] (งบ ส.ส.) นำไปสู่การลดอำนาจลงของ[[นักการเมือง]] นักธุรกิจและเครือข่ายอุปถัมภ์ในระดับภูมิภาคส่งผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในภูมิภาคต้องพึ่งพาพรรคการเมืองและผู้นำพรรคการเมืองมากขึ้น


(2) เงื่อนไข บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 เช่น การกำหนดวุฒิการศึกษาขั้นต่ำที่ระดับปริญญาตรี และใช้ระบบการเลือกตั้งทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อโดยใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ทั้งยังกำหนดคะแนนเสียงขั้นต่ำ ร้อยละ 5 ในการคำนวณที่นั่งจากบัญชีรายชื่อนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ให้แก่พรรคการเมืองใหญ่ที่มีเงินและทรัพยากรจำนวนมาก อีกทั้งนายทุนของพรรคมักจะได้อยู่ในระบบบัญชีรายชื่อของแต่พรรคการเมืองเสมอ
(2) เงื่อนไข บทบัญญัติของ[[รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540]] เช่น การกำหนดวุฒิการศึกษาขั้นต่ำที่ระดับปริญญาตรี และใช้ระบบการเลือกตั้งทั้งแบบแบ่งเขตและแบบ[[บัญชีรายชื่อ]]โดยใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ทั้งยังกำหนดคะแนนเสียงขั้นต่ำ ร้อยละ 5 ในการคำนวณที่นั่งจากบัญชีรายชื่อนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ให้แก่พรรคการเมืองใหญ่ที่มีเงินและทรัพยากรจำนวนมาก อีกทั้งนายทุนของพรรคมักจะได้อยู่ในระบบบัญชีรายชื่อของแต่พรรคการเมืองเสมอ


(3) บทบาทของสื่อมวลชนและเทคโนโลยีการสื่อสาร ทำให้พรรคการเมืองสามารถสื่อการกับประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวนมากได้ในคราวเดียวกัน เนื่องจากมีศักยภาพในการลงทุนงบประมาณด้านการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก
(3) [[บทบาทของสื่อมวลชน]]และเทคโนโลยีการสื่อสาร ทำให้พรรคการเมืองสามารถสื่อการกับประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวนมากได้ในคราวเดียวกัน เนื่องจากมีศักยภาพในการลงทุนงบประมาณด้านการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก


คุณลักษณะของพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทย
คุณลักษณะของพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทย
บรรทัดที่ 37: บรรทัดที่ 37:
(1)เสนอนโยบายที่ชัดเจน ซึ่งนโยบายมีเป้าหมายจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้พรรคการเมืองได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง  
(1)เสนอนโยบายที่ชัดเจน ซึ่งนโยบายมีเป้าหมายจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้พรรคการเมืองได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง  


(2)พยายามสร้างภาพว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ ที่หลากหลายในสังคม โดยใช้ยุทธศาสตร์การวิจัยแสวงหาความต้องการของประชาชน เพื่อนำไปพัฒนาเป็นนโยบายที่ใช้หาเสียง
(2)พยายามสร้างภาพว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ ที่หลากหลายในสังคม โดยใช้ยุทธศาสตร์การวิจัยแสวงหาความต้องการของประชาชน เพื่อนำไปพัฒนาเป็นนโยบายที่ใช้[[หาเสียง]]


(3) มีระบบการสื่อสารกับประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างมีประสิทธิภาพ
(3) มีระบบการสื่อสารกับประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างมีประสิทธิภาพ

รุ่นแก้ไขเมื่อ 18:21, 23 สิงหาคม 2553

ผู้เรียบเรียง นครินทร์ เมฆไตรรัตน์


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจ

การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจ มักจะเป็นพรรคที่มีเจ้าของซึ่งเป็นนายทุนเป็นกลุ่มคนจำนวนไม่มาก ซึ่งโดยทั่วไปมักมีเป้าหมายเพื่อใช้อำนาจทางการเมืองในการปกป้องหรือแสวงหาผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มของตนเอง จึงทำให้พรรคการเมืองในลักษณะนี้ส่วนใหญ่ ไม่ใช่พรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง นอกจากนี้แล้ว ยังอาจพบลักษณะของการใช้เงินจำนวนมากในการลงทุนเพื่อแสวงหาการยอมรับจากประชาชน โดยที่สมาชิกพรรคไม่ได้อยู่ร่วมกันด้วยอุดมการณ์เดียวกัน แต่เป็นสมาชิกพรรคบนพื้นฐานของผลประโยชน์ และสมาชิกเหล่านี้พร้อมที่จะเปลี่ยนหรือย้ายสังกัดพรรคเมื่อถูกขัดผลประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ตามที่ตนเองต้องการ

การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทย

การก่อตั้งพรรคโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทยนั้น เป็นผลมาจากบริบททางด้านเศรษฐกิจของไทยที่มีลักษณะเปิดกว้างมากขึ้นและการเติบโตของภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา นอกจากนี้แล้ว พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นมาส่วนใหญ่ มักมีความต้องการหรือขาดแคลนเงินทุนในการดำเนินบทบาททางการเมือง ซึ่งเงินทุนของพรรคมักมาจากชนชั้นนำในพรรคการเมืองและนายทุนจากภาคธุรกิจที่อยู่นอกพรรค ทำให้กลุ่มนายทุนพรรคเหล่านี้เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากภายในพรรค จนกลายเป็นกลุ่มผู้ผูกขาดการตัดสินใจที่สำคัญในพรรค และส่วนใหญ่มักนำไปสู่การขาดเอกภาพในการบริหารงานพรรค เนื่องจากเกิดช่องว่างทางอำนาจในการตัดสินใจระหว่างสมาชิกอื่นๆ ในพรรคกับกลุ่มนายทุนพรรคเหล่านี้

ตัวอย่างพรรคการเมืองไทยที่กลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจมีบทบาทในการก่อตั้งพรรคการเมือง ได้แก่ พรรคชาติไทย โดย “กลุ่มซอยราชครู” ซึ่งเป็นเครือข่ายทหาร-นักธุรกิจที่เป็นเครือญาติโดยตรงของจอมพลผิน ชุณหะวัณ อดีตผู้บัญชาการทหารบกและบุตรเขย คือ พลตรีประมาณ อดิเรกสาร ผู้เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก จนถึงการขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคของบุตรชายของจอมพลผิน คือ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเป็นได้เป็นนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา ทั้งนี้กล่าวได้ว่าในช่วงปี พ.ศ. 2490-2500 กลุ่มซอยราชครู เป็นกลุ่มที่มีอำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจสูงมาก ธุรกิจของกลุ่มนี้ เช่น บริษัทศรีอยุธยาประกันภัย บริษัทประกันชีวิตศรีอยุธยา บริษัททหารสามัคคี บริษัทส่งเสริมเศรษฐกิจแห่งชาติ บริษัทประมงไทย ไทยเดินเรือทะเล รวมทั้งกลุ่มยังให้การอุปถัมภ์ธุรกิจจำนวนมาก ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ บริษัทไทยประสิทธิ์ประกันภัย บริษัทประกันชีวิตบูรพา บริษัทเอเซียทรัสต์ เป็นต้น

จากนั้นเมื่อกลุ่มซอยราชครู สูญเสียอำนาจทางการเมืองจากการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อปี พ.ศ. 2500 และกลับมาก่อตั้งใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 2517 เพื่อเตรียมการเลือกตั้งในปีต่อมา ซึ่งตั้งแต่ พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา จนถึงก่อนที่จะกลายมาเป็นพรรคของผู้มีอิทธิพลและทุนท้องถิ่นนั้น กล่าวได้ว่า บทบาททางการเมืองของพรรคชาติไทย คือ การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลผสมหลายชุด โดยเป็นเครื่องมือทางการเมืองซึ่งเป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับทหาร ธุรกิจเหล่านี้เป็นแหล่งที่มาของเงินจำนวนมหาศาลที่ใช้ในการรณรงค์เลือกตั้ง

หลังจากนั้น การก่อตั้งพรรคการเมืองภายใต้การนำของกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจก็ยังคงเกิดขึ้นในระยะต่อมา ดังการจัดตั้ง “พรรคนำไทย” ของนายอำนวย วีรวรรณ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ และได้ปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อ “พรรคไทยรักไทย” ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักธุรกิจด้านโทรคมนาคมและคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของประเทศ ที่มีเป้าหมายของพรรคในการปฎิรูปเศรษฐกิจและการเมือง โดยพรรคไทยรักไทยจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 ถือว่าเป็นพรรคการเมืองแรกที่ก่อตั้งขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และได้รับเลือกตั้งเป็นจำนวนมากในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่ พ.ศ. 2544 จนกระทั่งถูกยุบพรรคไปด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ความโดดเด่นของพรรคไทยรักไทยที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมาก ก็คือ พลังของทุนในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรค ซึ่งมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่จำนวนมากให้การสนับสนุนทั้งในฐานะผู้บริจาคเงินให้แก่พรรคและการเป็นผู้บริหารพรรค โดยกลุ่มทุนเหล่านี้มีทั้งกลุ่มธุรกิจด้านการสื่อสารโทรคมนาคม กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ธุรกิจสายการบิน ธนาคาร กลุ่มบริษัทก่อสร้าง และกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

พัฒนาการของพรรคการเมืองไทยกับกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจ

การเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองของกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทยในอดีต มักมีลักษณะของการสงวนท่าทีและระมัดระวัง เนื่องจากความวิตกกังวลต่อเสถียรภาพทางการเมืองของไทยที่ไม่มีความมั่นคงนัก แต่เมื่อมีการเติบโตขึ้นของกลุ่มทุนจากภูมิภาคได้เป็นการกระตุ้นให้นักธุรกิจให้ความสนใจในการเข้ามามีบทบาททางการเมืองโดยตรง ในรูปแบบของการจัดตั้งพรรคการเมือง การเป็นผู้บริหารพรรค ตลอดจนการเป็นผู้สมัครของพรรคการเมืองนั้นๆ

ปัจจัยที่ทำให้ผู้นำทางเศรษฐกิจหรือนักธุรกิจระดับชาติเข้ามามีบทบาทในการก่อตั้งพรรคการเมือง ได้แก่

(1) การยกเลิกงบพัฒนาจังหวัด (งบ ส.ส.) นำไปสู่การลดอำนาจลงของนักการเมือง นักธุรกิจและเครือข่ายอุปถัมภ์ในระดับภูมิภาคส่งผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในภูมิภาคต้องพึ่งพาพรรคการเมืองและผู้นำพรรคการเมืองมากขึ้น

(2) เงื่อนไข บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 เช่น การกำหนดวุฒิการศึกษาขั้นต่ำที่ระดับปริญญาตรี และใช้ระบบการเลือกตั้งทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อโดยใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ทั้งยังกำหนดคะแนนเสียงขั้นต่ำ ร้อยละ 5 ในการคำนวณที่นั่งจากบัญชีรายชื่อนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ให้แก่พรรคการเมืองใหญ่ที่มีเงินและทรัพยากรจำนวนมาก อีกทั้งนายทุนของพรรคมักจะได้อยู่ในระบบบัญชีรายชื่อของแต่พรรคการเมืองเสมอ

(3) บทบาทของสื่อมวลชนและเทคโนโลยีการสื่อสาร ทำให้พรรคการเมืองสามารถสื่อการกับประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวนมากได้ในคราวเดียวกัน เนื่องจากมีศักยภาพในการลงทุนงบประมาณด้านการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก

คุณลักษณะของพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทย

(1)เสนอนโยบายที่ชัดเจน ซึ่งนโยบายมีเป้าหมายจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้พรรคการเมืองได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง

(2)พยายามสร้างภาพว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ ที่หลากหลายในสังคม โดยใช้ยุทธศาสตร์การวิจัยแสวงหาความต้องการของประชาชน เพื่อนำไปพัฒนาเป็นนโยบายที่ใช้หาเสียง

(3) มีระบบการสื่อสารกับประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างมีประสิทธิภาพ

(4)มุ่งเน้นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของผู้นำพรรคในสายตาของประชาชน


ที่มา

“ปิดฉากกลุ่มทุนไทยรักไทย” , ประชาชาติธุรกิจ (4 มิถุนายน พ.ศ. 2550).ไมเคิล ลีเฟอร์ (เขียน) จุฬาพร เอื้อรักสกุล (แปล-เรียบเรียง) พรรณงาม เง่าธรรมสาร (บรรณาธิการ). พจนานุกรมการเมืองสมัยใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548 หน้า 388-389.

สังศิต พิริยะรังสรรค์, “พรรคชาติไทย จากกลุ่มซอยราชครูถึงกลุ่มเจ้าพ่อท้องถิ่น” ใน สังศิต พิริยะ รังสรรค์ และ ผาสุก พงษ์ไพจิตร (บรรณาธิการ).จิตสำนึกและอุดมการณ์ของขบวนการ ประชาธิปไตยร่วมสมัย.กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2539 หน้า 28-29.

สิริพรรณ นกสวน, “พรรคการเมืองและระบบพรรคการเมือง ” ใน เอก ตั้งทรัพย์วัฒนา และ ม.ร.ว. พฤทธิสาน ชุมพล (บรรณาธิการ) . คำและความคิดในรัฐศาสตร์ร่วมสมัย (Concepts in contemporary political science) .กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2550 หน้า 264-270.