ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการ พุทธศักราช 2471"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 3: | บรรทัดที่ 3: | ||
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' : ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ | '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' : ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ | ||
| | ||
บรรทัดที่ 12: | บรรทัดที่ 8: | ||
<span style="font-size:x-large;">'''ความนำ'''</span> | <span style="font-size:x-large;">'''ความนำ'''</span> | ||
ในสมัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งให้มีการจัดทำกฎหมายเพื่อจัดระเบียบแก่ข้าราชการเพื่อสรรหาผู้ที่มีความรู้และความสามารถ พร้อมทั้งกำหนดหน้าที่และวินัยอันข้าราชการประเภทต่าง ๆ | ในสมัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งให้มีการจัดทำกฎหมายเพื่อจัดระเบียบแก่ข้าราชการเพื่อสรรหาผู้ที่มีความรู้และความสามารถ พร้อมทั้งกำหนดหน้าที่และวินัยอันข้าราชการประเภทต่าง ๆ ควรต้องปฏิบัติในปี พุทธศักราช 2471 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนฯ ขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ต่อมาในเดือนมีนาคมปีเดียวกันได้มีการประการใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการฯ เพื่อเพิ่มเติมกฎหมายอันมีอยู่แล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติฯ ขึ้นโดยมีเนื้อหาหลักดังต่อไปนี้ | ||
| | ||
บรรทัดที่ 18: | บรรทัดที่ 14: | ||
<span style="font-size:x-large;">'''สาระสำคัญของกฎหมาย'''</span> | <span style="font-size:x-large;">'''สาระสำคัญของกฎหมาย'''</span> | ||
'''ระยะเวลาที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ''' | '''ระยะเวลาที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ''' | ||
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการฯ กำหนดให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2472 ซึ่งห่างจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พุทธศักราช 2471 เป็นระยะเวลาถึงหนึ่งปี | พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการฯ กำหนดให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2472 ซึ่งห่างจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พุทธศักราช 2471 เป็นระยะเวลาถึงหนึ่งปี | ||
'''หน้าที่ของเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม''' | '''หน้าที่ของเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม''' | ||
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการ พุทธศักราช 2471 กำหนดให้ '''“เสนาบดีกระทรวงยุตติธรรม”''' เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ | พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการ พุทธศักราช 2471 กำหนดให้ '''“เสนาบดีกระทรวงยุตติธรรม”''' เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ยังได้กำหนดอำนาจหน้าที่ไว้ ดังนี้ | ||
''1) อำนาจออกกฎเสนาบดีและนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลใช้บังคับ (มาตรา 3)'' | ''1) อำนาจออกกฎเสนาบดีและนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลใช้บังคับ (มาตรา 3)'' | ||
บรรทัดที่ 34: | บรรทัดที่ 30: | ||
'' 4) สั่งให้บุคคลเข้าฝึกหัดเป็นผู้พิพากษา (มาตรา 6 วรรคสอง)'' | '' 4) สั่งให้บุคคลเข้าฝึกหัดเป็นผู้พิพากษา (มาตรา 6 วรรคสอง)'' | ||
'''คุณสมบัติของผู้เข้ารับราชการเป็นข้าราชการตุลาการ (มาตรา 5)''' | '''คุณสมบัติของผู้เข้ารับราชการเป็นข้าราชการตุลาการ (มาตรา 5)''' | ||
ผู้เข้ารับราชการเป็นข้าราชการตุลาการ ต้องเป็นผู้มีนิสัยดีและต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ | ผู้เข้ารับราชการเป็นข้าราชการตุลาการ ต้องเป็นผู้มีนิสัยดีและต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ | ||
บรรทัดที่ 62: | บรรทัดที่ 58: | ||
'' 3. เป็นบุคคลสัญชาติต่างประเทศซึ่งรัฐบาลได้ทำสัญญาจ้างไว้เป็นข้าราชการตุลาการ (มาตรา 7)'' | '' 3. เป็นบุคคลสัญชาติต่างประเทศซึ่งรัฐบาลได้ทำสัญญาจ้างไว้เป็นข้าราชการตุลาการ (มาตรา 7)'' | ||
'''ยศของข้าราชการตุลาการ''' | '''ยศของข้าราชการตุลาการ''' | ||
| กฎหมายกำหนดให้นำยศตาม มาตรา 26 วรรค 1 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช 2471 มาใช้บังคับแก่ยศของข้าราชการตุลาการ ดังนี้ (มาตรา 8) | ||
- '''ชั้นสัญญาบัตร''' ได้แก่ มหาอำมาตย์เอก มหาอำมาตยโท มหาอำมาตย์ตรี อำมาตย์เอก อำมาตย์โท อำมาตย์ตรี รองอำมาตย์เอก รองอำมาตย์โท รองอำมาตย์ตรี | - '''ชั้นสัญญาบัตร''' ได้แก่ มหาอำมาตย์เอก มหาอำมาตยโท มหาอำมาตย์ตรี อำมาตย์เอก อำมาตย์โท อำมาตย์ตรี รองอำมาตย์เอก รองอำมาตย์โท รองอำมาตย์ตรี | ||
- '''ชั้นราชบุรุษ''' ได้แก่ ราชบุรุษ | - '''ชั้นราชบุรุษ''' ได้แก่ ราชบุรุษ | ||
'''เงินเดือนและสวัสดิการของข้าราชการตุลาการ''' | '''เงินเดือนและสวัสดิการของข้าราชการตุลาการ''' | ||
ข้าราชการตุลาการจะได้รับพระราชทานเงินเดือนตามอัตราที่ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาติไว้ และเมื่อออกจากราชการมีสิทธิได้รับพระราชทานบำเหน็จบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญฯ | ข้าราชการตุลาการจะได้รับพระราชทานเงินเดือนตามอัตราที่ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาติไว้ และเมื่อออกจากราชการมีสิทธิได้รับพระราชทานบำเหน็จบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญฯ (มาตรา 9) | ||
'''วินัยและข้อห้ามของข้าราชการตุลาการ''' | '''วินัยและข้อห้ามของข้าราชการตุลาการ''' | ||
ข้าราชการตุลาการต้องรักษาวินัย รวมถึง ข้อห้ามดำเนินการ ดังนี้ | ข้าราชการตุลาการต้องรักษาวินัย รวมถึง ข้อห้ามดำเนินการ ดังนี้ | ||
บรรทัดที่ 84: | บรรทัดที่ 80: | ||
'' 3. ข้าราชการตุลาการจะประกอบกิจการค้าหรือเป็นตัวกระทำการในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทไม่ได้ (มาตรา11)'' | '' 3. ข้าราชการตุลาการจะประกอบกิจการค้าหรือเป็นตัวกระทำการในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทไม่ได้ (มาตรา11)'' | ||
'''โทษและกระบวนการลงโทษข้าราชการตุลาการที่กระทำผิดวินัยหรือข้อห้าม''' | '''โทษและกระบวนการลงโทษข้าราชการตุลาการที่กระทำผิดวินัยหรือข้อห้าม''' | ||
โทษผิดวินัยตามพระราชบัญญัตินี้ มี 4 สถาน คือ | โทษผิดวินัยตามพระราชบัญญัตินี้ มี 4 สถาน คือ | ||
บรรทัดที่ 100: | บรรทัดที่ 96: | ||
'''กระบวนการพิจารณาโทษฐานผิดวินัย (มาตรา 17)''' | '''กระบวนการพิจารณาโทษฐานผิดวินัย (มาตรา 17)''' | ||
พระราชบัญญัตินี้กำหนดกระบวนการพิจารณาโทษทางวินัยว่าต้องให้โอกาสแก่ข้าราชการตุลาการเพื่อ '''“ชี้แจงหรือแก้ตัว”''' หรือ '''“นำพยานมาแสดง”''' ต่อหัวหน้าก่อน คำชี้แจงหรือข้อแก้ตัวนั้น | พระราชบัญญัตินี้กำหนดกระบวนการพิจารณาโทษทางวินัยว่าต้องให้โอกาสแก่ข้าราชการตุลาการเพื่อ '''“ชี้แจงหรือแก้ตัว”''' หรือ '''“นำพยานมาแสดง”''' ต่อหัวหน้าก่อน คำชี้แจงหรือข้อแก้ตัวนั้น ถ้าทำเป็นลายลักษณ์อักษรหรือหัวหน้าได้บันทึกไว้และลงลายมือชื่อทั้งสองคนแล้วให้เสนอต่อเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม | ||
เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมจะตั้ง '''“กรรมการไต่สวน”''' จำนวนไม่น้อยกว่าสามนายก็ได้ โดยกรรมการต้องเป็นข้าราชการตุลาการและนายหนึ่งต้องมียศเสมอหรือสูงกว่าข้าราชการผู้ที่ต้องไต่สวนนั้น ในการไต่สวนกรรมการมีอำนาจหมายเรียกพยานมาสาบานเบิกความได้ | เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมจะตั้ง '''“กรรมการไต่สวน”''' จำนวนไม่น้อยกว่าสามนายก็ได้ โดยกรรมการต้องเป็นข้าราชการตุลาการและนายหนึ่งต้องมียศเสมอหรือสูงกว่าข้าราชการผู้ที่ต้องไต่สวนนั้น ในการไต่สวนกรรมการมีอำนาจหมายเรียกพยานมาสาบานเบิกความได้ | ||
บรรทัดที่ 114: | บรรทัดที่ 110: | ||
<span style="font-size:x-large;">'''บรรณานุกรม'''</span> | <span style="font-size:x-large;">'''บรรณานุกรม'''</span> | ||
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 45/หน้า 410/วันที่ 31 มีนาคม 2471. '''พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการ พุทธศักราช 2471''' | |||
<div> | <div> | ||
| |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:36, 9 มิถุนายน 2565
ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ
ความนำ
ในสมัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งให้มีการจัดทำกฎหมายเพื่อจัดระเบียบแก่ข้าราชการเพื่อสรรหาผู้ที่มีความรู้และความสามารถ พร้อมทั้งกำหนดหน้าที่และวินัยอันข้าราชการประเภทต่าง ๆ ควรต้องปฏิบัติในปี พุทธศักราช 2471 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนฯ ขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ต่อมาในเดือนมีนาคมปีเดียวกันได้มีการประการใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการฯ เพื่อเพิ่มเติมกฎหมายอันมีอยู่แล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติฯ ขึ้นโดยมีเนื้อหาหลักดังต่อไปนี้
สาระสำคัญของกฎหมาย
ระยะเวลาที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการฯ กำหนดให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2472 ซึ่งห่างจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พุทธศักราช 2471 เป็นระยะเวลาถึงหนึ่งปี
หน้าที่ของเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการ พุทธศักราช 2471 กำหนดให้ “เสนาบดีกระทรวงยุตติธรรม” เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ยังได้กำหนดอำนาจหน้าที่ไว้ ดังนี้
1) อำนาจออกกฎเสนาบดีและนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลใช้บังคับ (มาตรา 3)
2) หน้าที่นำความกราบบังคับทูลพระกรุณาแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินให้ทรงตั้งเลื่อน หรือ ถอน ข้าราขการตุลาการ (มาตรา 4 วรรคแรก)
3) หน้าที่กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุมัติสั่งย้ายข้าราชการตุลาการ (มาตรา 4 วรรคสอง)
4) สั่งให้บุคคลเข้าฝึกหัดเป็นผู้พิพากษา (มาตรา 6 วรรคสอง)
คุณสมบัติของผู้เข้ารับราชการเป็นข้าราชการตุลาการ (มาตรา 5)
ผู้เข้ารับราชการเป็นข้าราชการตุลาการ ต้องเป็นผู้มีนิสัยดีและต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
1. มีสัญชาติเป็นชาวสยาม
2. อายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี
3. ไม่เป็นผู้มีโรคหรือกายพิการทุพพลภาพหรือจิตต์ฟั่นเฟือนไม่สมประกอบเป็นเหตุให้ไร้สามารถหรือไม่สมควรที่จะรับราชการ
4. ไม่เป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว
5. ไม่เคยต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาให้จำคุก เว้นแต่ความผิดฐานลหุโทษหรือความผิดอันได้กระทำโดยฐานประมาท
6. สอบไล่กฎหมายได้รับประกาศนียบัตรชั้นเนติบัณฑิตและเป็นสมาชิกแห่งเนติบัณฑิตยสภาแล้ว หรือได้รับประกาศนัยบัตรจากโรงเรียนกฎหมายในเมืองต่างประเทศซึ่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมรับรองว่าเสมอด้วยประกาศนียบัตรเนติบัณฑิต
7. เคยกระทำการใช้วิชากฎหมายในสำนักทนายความหรือในกรมอัยการ หรือในกรมหรือศาลใด ๆ ซึ่งขึ้นอยู่ในกระทรวงยุติธรรม
นอกจากนี้ผู้ที่จะได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการตุลาการ จะต้องได้ฝึกหัดเป็นผู้พิพากษามาแล้วไม่น้อยกว่าปีหนึ่งเป็นที่พอใจของเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม (มาตรา 6)
ข้อยกเว้นคุณสมบัติและยกเว้นการฝึกหัดเป็นผู้พิพากษา ได้แก่
1. เป็นข้าราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าชั้นปลัดกรมในกระทรวงยุติธรรมหรือในกรมอัยการ (มาตรา 6 วรรคท้าย (ก))
2. เป็นทนายความซึ่งได้ว่าความมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี (มาตรา 6 วรรคท้าย (ข))
3. เป็นบุคคลสัญชาติต่างประเทศซึ่งรัฐบาลได้ทำสัญญาจ้างไว้เป็นข้าราชการตุลาการ (มาตรา 7)
ยศของข้าราชการตุลาการ
กฎหมายกำหนดให้นำยศตาม มาตรา 26 วรรค 1 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช 2471 มาใช้บังคับแก่ยศของข้าราชการตุลาการ ดังนี้ (มาตรา 8)
- ชั้นสัญญาบัตร ได้แก่ มหาอำมาตย์เอก มหาอำมาตยโท มหาอำมาตย์ตรี อำมาตย์เอก อำมาตย์โท อำมาตย์ตรี รองอำมาตย์เอก รองอำมาตย์โท รองอำมาตย์ตรี
- ชั้นราชบุรุษ ได้แก่ ราชบุรุษ
เงินเดือนและสวัสดิการของข้าราชการตุลาการ
ข้าราชการตุลาการจะได้รับพระราชทานเงินเดือนตามอัตราที่ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาติไว้ และเมื่อออกจากราชการมีสิทธิได้รับพระราชทานบำเหน็จบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญฯ (มาตรา 9)
วินัยและข้อห้ามของข้าราชการตุลาการ
ข้าราชการตุลาการต้องรักษาวินัย รวมถึง ข้อห้ามดำเนินการ ดังนี้
1. ข้าราชการตุลาการต้องรักษาตนให้เป็นผู้มีชื่อเสียงดีและอุทิศเวลาทั้งหมดของตนให้แก่ราชการ (มาตรา 10)
2. ข้าราชการต้องปฏิบัติตามคำสั่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม หรือ หัวหน้าศาลในประเภทงานที่เกี่ยวกับกิจการภายในของศาล แต่มีอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดี (มาตรา 12)
3. ข้าราชการตุลาการจะประกอบกิจการค้าหรือเป็นตัวกระทำการในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทไม่ได้ (มาตรา11)
โทษและกระบวนการลงโทษข้าราชการตุลาการที่กระทำผิดวินัยหรือข้อห้าม
โทษผิดวินัยตามพระราชบัญญัตินี้ มี 4 สถาน คือ
1. ไล่ออก[1]
2. ลดตำแหน่งหรือลดชั้น
3. ตัดเงินเดือน
4. ตำหนิโทษเป็นลายลักษณ์อักษร
ส่วนการลงโทษสถานอื่นนอกเหนือจากโทษไล่ออก เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมมีอำนาจทำได้โดยลำพัง อนึ่ง ถ้าเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมเห็นว่าจะให้คงอยู่ในหน้าที่ระวางไต่สวนหรือพิจารณาจะเป็นการเสียหายแก่ราชการ จะสั่งพักหน้าที่ราชการระวางนั้นก็ได้ (มาตรา 18) การสั่งให้พักหน้าที่ราชการจะให้พักได้ไม่เกินเวลาไต่สวนหรือพิจารณา ถ้าปรากฎว่าข้าราชการมิได้มีมลทินความผิดต้องให้กลับคืนเข้าตำแหน่งเดิม ถ้าปรากฏว่าถึงแม้การไต่สวนหรือพิจารณาจะไม่ได้ความเป็นสัตย์ว่าผู้ที่ถูกสั่งให้พักได้กระทำความผิดแต่ก็มีมลทินอยู่ เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมสามรถสั่งให้กลับคืนเข้าตำแหน่งเดิมอาจเสียหายแก่ราชการ จะไม่ให้กลับคืนเข้าตำแหน่งเดิมก็ได้ แต่ถ้าเห็นว่าผู้นั้นยังอาจจะเป็นประโยชน์แก่ราชการในตำแหน่งอื่นใดที่เสมอหรือต่ำกว่าตำแหน่งเดิม จะรับเข้าตำแหน่งเช่นนั้นก็ได้ (มาตรา 19)
กระบวนการพิจารณาโทษฐานผิดวินัย (มาตรา 17)
พระราชบัญญัตินี้กำหนดกระบวนการพิจารณาโทษทางวินัยว่าต้องให้โอกาสแก่ข้าราชการตุลาการเพื่อ “ชี้แจงหรือแก้ตัว” หรือ “นำพยานมาแสดง” ต่อหัวหน้าก่อน คำชี้แจงหรือข้อแก้ตัวนั้น ถ้าทำเป็นลายลักษณ์อักษรหรือหัวหน้าได้บันทึกไว้และลงลายมือชื่อทั้งสองคนแล้วให้เสนอต่อเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม
เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมจะตั้ง “กรรมการไต่สวน” จำนวนไม่น้อยกว่าสามนายก็ได้ โดยกรรมการต้องเป็นข้าราชการตุลาการและนายหนึ่งต้องมียศเสมอหรือสูงกว่าข้าราชการผู้ที่ต้องไต่สวนนั้น ในการไต่สวนกรรมการมีอำนาจหมายเรียกพยานมาสาบานเบิกความได้
บทสรุป
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการ พุทธศักราช 2471 มีผลใช้บังคับมาจนกระทั่งมีการประกาศ “พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการแก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2477” ขึ้นเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2477 และมีการประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการ พุทธศักราช 2471 ด้วย “พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการ พุทธศักราช 2479” เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2480
บรรณานุกรม
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 45/หน้า 410/วันที่ 31 มีนาคม 2471. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการ พุทธศักราช 2471
อ้างอิง
[1] การไล่ออกจากราชการจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต (มาตรา 14) สำหรับการกระทำผิดในกรณีดังต่อไปนี้ (มาตรา 15) 1. ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต 2. ต้องพระราชอาชญาจำคุกในความผิดอาชญา 3. มีหนี้สินล้นพ้นตัว และ 4. ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง