ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560"
สร้างหน้าด้วย "<div> ผู้แต่ง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล ผู้..." |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 1: | บรรทัดที่ 1: | ||
<div> | <div> | ||
ผู้เรียบเรียง: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล | |||
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายภัทระ คำพิทักษ์ | ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายภัทระ คำพิทักษ์ | ||
---- | ---- | ||
บรรทัดที่ 245: | บรรทัดที่ 245: | ||
== '''5. บรรณานุกรม''' == | == '''5. บรรณานุกรม''' == | ||
</div> | </div> | ||
คำชี้แจงของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญประกอบการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติในประเด็นเพิ่มเติม. สืบค้นจาก https://cdc.parliament.go.th/draftconstitution2/download/article/article_20160908100646.pdf สืบค้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2562. | คำชี้แจงของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญประกอบการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติในประเด็นเพิ่มเติม. สืบค้นจาก [https://cdc.parliament.go.th/draftconstitution2/download/article/article_20160908100646.pdf https://cdc.parliament.go.th/draftconstitution2/download/article/article_20160908100646.pdf] สืบค้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2562. | ||
ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง กำหนดวันออกเสียงประชามติ. ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 133 ตอนที่ 32 ก ลงวันที่ 20 เมษายน 2559. | ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง กำหนดวันออกเสียงประชามติ. ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 133 ตอนที่ 32 ก ลงวันที่ 20 เมษายน 2559. | ||
ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ผลการออกเสียงประชามติ. ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 133 ตอนที่ 69 ก ลงวันที่ 11 เมษายน 2559. สืบค้นจาก https://library2.parliament.go.th/giventake/content_give/cdc58-ect-110859-11.pdf เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2562. | ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ผลการออกเสียงประชามติ. ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 133 ตอนที่ 69 ก ลงวันที่ 11 เมษายน 2559. สืบค้นจาก [https://library2.parliament.go.th/giventake/content_give/cdc58-ect-110859-11.pdf https://library2.parliament.go.th/giventake/content_give/cdc58-ect-110859-11.pdf] เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2562. | ||
ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ. ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2558 | ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ. ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2558 | ||
พิมลพัชร์ อริยะฌานกุล, สรุปคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญที่ ๖/๒๕๕๙ วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๙, จุลนิติ: พ.ย. - ธ.ค. ๕๙ สืบค้นจาก เมื่อวันที่ http://web.senate.go.th/lawdatacenter/includes/FCKeditor/upload/Image/b/con79.pdf | พิมลพัชร์ อริยะฌานกุล, สรุปคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญที่ ๖/๒๕๕๙ วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๙, จุลนิติ: พ.ย. - ธ.ค. ๕๙ สืบค้นจาก เมื่อวันที่ [http://web.senate.go.th/lawdatacenter/includes/FCKeditor/upload/Image/b/con79.pdf http://web.senate.go.th/lawdatacenter/includes/FCKeditor/upload/Image/b/con79.pdf] | ||
รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2558 | รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2558 | ||
บรรทัดที่ 275: | บรรทัดที่ 275: | ||
[[#_ftnref4|[4]]] ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง กำหนดวันออกเสียงประชามติ, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 133 ตอนที่ 32 ก ลงวันที่ 20 เมษายน 2559. | [[#_ftnref4|[4]]] ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง กำหนดวันออกเสียงประชามติ, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 133 ตอนที่ 32 ก ลงวันที่ 20 เมษายน 2559. | ||
</div> <div id="ftn5"> | </div> <div id="ftn5"> | ||
ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ผลการออกเสียงประชามติ, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 133 ตอนที่ 69 ก ลงวันที่ 11 เมษายน 2559, สืบค้นจาก https://library2.parliament.go.th/giventake/content_give/cdc58-ect-110859-11.pdf เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2562. | ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ผลการออกเสียงประชามติ, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 133 ตอนที่ 69 ก ลงวันที่ 11 เมษายน 2559, สืบค้นจาก [https://library2.parliament.go.th/giventake/content_give/cdc58-ect-110859-11.pdf https://library2.parliament.go.th/giventake/content_give/cdc58-ect-110859-11.pdf] เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2562. | ||
</div> <div id="ftn6"> | </div> <div id="ftn6"> | ||
[[#_ftnref6|[6]]] พิมลพัชร์ อริยะฌานกุล, สรุปคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญที่ ๖/๒๕๕๙ วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๙, จุลนิติ: พ.ย. - ธ.ค. ๕๙ สืบค้นจาก เมื่อวันที่ http://web.senate.go.th/lawdatacenter/includes/FCKeditor/upload/Image/b/con79.pdf. | [[#_ftnref6|[6]]] พิมลพัชร์ อริยะฌานกุล, สรุปคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญที่ ๖/๒๕๕๙ วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๙, จุลนิติ: พ.ย. - ธ.ค. ๕๙ สืบค้นจาก เมื่อวันที่ [http://web.senate.go.th/lawdatacenter/includes/FCKeditor/upload/Image/b/con79.pdf http://web.senate.go.th/lawdatacenter/includes/FCKeditor/upload/Image/b/con79.pdf]. | ||
</div> <div id="ftn7"> | </div> <div id="ftn7"> | ||
[[#_ftnref7|[7]]] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 134 ตอน 40 ก หน้า 1. | [[#_ftnref7|[7]]] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 134 ตอน 40 ก หน้า 1. | ||
</div> </div> | </div> </div> | ||
[[Category:รัฐธรรมนูญ]] | | ||
[[Category:รัฐธรรมนูญ]][[Category:กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 17:11, 19 กุมภาพันธ์ 2563
ผู้เรียบเรียง: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายภัทระ คำพิทักษ์
กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้เข้ายึดและควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ และได้มีการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ยกเว้นในหมวด 2 พระมหากษัตริย์ โดยให้เหตุผลว่าได้มีการเกิดสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นในกรุงเทพหมานครและพื้นที่ใกล้เคียงต่อเนื่องเป็นเวลานาน จนลุกลามไปสู่แทบทุกภูมิภาคของประเทศ ประชาชนแตกแยกเป็นฝ่ายต่าง ๆ ขาดความสามัคคีและมีทัศนคติไม่เป็นมิตรต่อกัน จนนำไปสู่การใช้กำลัง ส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพและการดำรงชีวิตของประชาชน การพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองการปกครองการใช้อำนาจในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร และในทางตุลาการ การบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ผล คณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงจำเป็นต้องเข้ายึดและควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ โดยได้กำหนดแนวทางการแก้ปัญหาไว้สามระยะคือ ระยะเฉพาะหน้า เป็นการใช้อำนาจสกัดการใช้กำลังและการนำอาวุธมาใช้คุกคามประชาชน ยุติความหวาดระแวง และแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองการปกครอง ที่สะสมมากว่าหกเดือนให้คลี่คลายลง เพื่อเตรียมเข้าสู่ระยะที่สองซึ่งจะจัดให้มีรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว จัดตั้งสภาขึ้นทำหน้าที่ในทางนิติบัญญัติ และให้มีคณะรัฐบาลบริหารราชการแผ่นดิน แก้ไขสถานการณ์อันวิกฤติให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ ฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย ความรู้รักสามัคคี และความเป็นธรรม แก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง จัดให้มีกฎหมายที่จำเป็นเร่งด่วน จัดตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติและองค์กรต่าง ๆ เพื่อให้มีการปฏิรูปในด้านการเมืองและด้านอื่น ๆ และให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่วางกติกาการเมืองให้รัดกุม เหมาะสม ป้องกันและปราบปรามการทุจริต สามารถตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเป็นธรรม
หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ประกาศประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ซึ่งกำหนดกระบวนและขั้นตอนในการร่างรัฐธรรมนูญไว้โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้เกิดจากกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญของคณะผู้จัดทำ ๒ ชุด คือ ๑) คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 36 คน โดยมีศาสตราจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานคณะกรรมาธิการ และ ๒) คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน ๒๑ คน โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธานคณะกรรมการ ซึ่งกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญของแต่ละคณะทำงานมีกระบวนการและขั้นตอนดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญโดยคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 กำหนดให้ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติแต่งตั้ง “คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ” ขึ้น เพื่อร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน นับแต่วันที่ได้รับความเห็นหรือข้อเสนอแนะจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ
ที่มาของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ
การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วัน นับแต่ที่มีการเรียกประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติครั้งแรก[1] ซึ่งประกอบด้วยบุคคล ดังนี้
- ประธานคณะกรรมาธิการตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
- ผู้ซึ่งสภาปฏิรูปแห่งชาติ จำนวน ๒๐ คน
- ผู้ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จำนวน ๕ คน
- ผู้ซึ่งคณะรัฐมนตรี จำนวน ๕ คน
- ผู้ซึ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ จำนวน ๕ คน
ในกรณีที่กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญพ้นจากตำแหน่งไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ โดยให้ถือว่าคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเท่าที่เหลืออยู่ แต่ให้ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติแต่งตั้งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญแทนตำแหน่งที่ว่างตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่ง ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญพ้นจากตำแหน่ง
คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่ต้องจัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน ๑๒๐ นับแต่วันที่ได้รับความเห็นหรือข้อเสนอแนะจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามมาตรา ๓๑(๒) ซึ่งสภาปฏิรูปแห่งชาติจะต้องเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะดังกล่าวต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติครั้งแรก เมื่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จให้นำร่างดังกล่าวเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติเพื่อพิจารณาเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญนั้นทั้งฉบับ
๑.๑ กรอบและเนื้อหาสาระในการร่างรัฐธรรมนูญ
การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญต้องจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๓๕ ครอบคลุมเรื่องดังต่อไปนี้ด้วย
(๑) การรับรองความเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้
(๒) การให้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่เหมาะสมกับสภาพสังคมของไทย
(๓) กลไกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน ตรวจสอบ และขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งกลไกในการกำกับและควบคุมให้การใช้อำนาจรัฐเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชน
(๔) กลไกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและตรวจสอบมิให้ผู้เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือเคยกระทำการอันทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรม เข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างเด็ดขาด
(๕) กลไกที่มีประสิทธิภาพที่ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและพรรคการเมือง สามารถปฏิบัติหน้าที่หรือดำเนินกิจกรรมได้โดยอิสระ ปราศจากการครอบงำหรือชี้นำโดยบุคคลหรือคณะบุคคลใด ๆ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(๖) กลไกที่มีประสิทธิภาพในการสร้างเสริมความเข้มแข็งของหลักนิติธรรม และการสร้างเสริมคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลในทุกภาคส่วนและทุกระดับ
(๗) กลไกที่มีประสิทธิภาพในการปรับโครงสร้างและขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและสังคมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมอย่างยั่งยืน และป้องกันการบริหารราชการแผ่นดินที่มุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว
(๘) กลไกที่มีประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินของรัฐให้เป็นไปอย่างคุ้มค่า และตอบสนองต่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนโดยสอดคล้องกับสถานะทางการเงินการคลังของประเทศ และกลไกการตรวจสอบและเปิดเผยการใช้จ่ายเงินของรัฐที่มีประสิทธิภาพ
(๙) กลไกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันมิให้มีการทำลายหลักการสำคัญที่รัฐธรรมนูญจะได้วางไว้
(๑๐) กลไกที่จะผลักดันให้มีการปฏิรูปเรื่องสำคัญต่าง ๆ ให้สมบูรณ์ต่อไป
โดยคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะต้องพิจารณาถึงความจำเป็นและความคุ้มค่าที่ต้องมีองค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่จำเป็นต้องมี ให้พิจารณามาตรการที่จะให้การดำเนินงานขององค์กรดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้วย
นอกจากนี้ ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะต้องนำความเห็นหรือข้อเสนอแนะจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อประกอบการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญด้วย ดังนี้
- สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
- คณะรัฐมนตรี และ
- คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และ
- ภาคประชาชน และ
- หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
1.2 ระยะเวลาในการร่างรัฐธรรมนูญ
คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่ต้องจัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน ๑๒๐ นับแต่วันที่ได้รับความเห็นหรือข้อเสนอแนะจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามมาตรา ๓๑(๒) ซึ่งสภาปฏิรูปแห่งชาติจะต้องเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะดังกล่าวต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติครั้งแรก เมื่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จให้นำร่างดังกล่าวเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติเพื่อพิจารณาเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญนั้นทั้งฉบับ
ในกรณีที่สภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญไม่แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนด หรือไม่ให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ หรือร่างรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไปตามมาตรา ๓๗ ให้สภาปฏิรูปแห่งชาติและคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นอันสิ้นสุดลง และให้มีการดำเนินการเพื่อแต่งตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติและคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่ขึ้น เพื่อดำเนินการแทนตามอำนาจหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้
หากคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญยกร่างรัฐธรรมนูญไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นอันสิ้นสุดลง และให้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลง ทั้งนี้ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดเดิมที่สิ้นสุดนี้ จะเป็นประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ รองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แล้วแต่กรณีชุดใหม่มิได้
1.3 ขั้นตอนการการนำร่างรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาขอความเห็นชอบ
เมื่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ ให้ดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๓๖ ดังนี้
1. เสนอร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำเสร็จต่อประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ และให้ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติจัดให้สภาปฏิรูปแห่งชาติประชุมกันเพื่อพิจารณาเสนอแนะ หรือให้ความเห็นให้แล้วเสร็จภายใน ๑๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญ
2. ส่งร่างรัฐธรรมนูญให้คณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติด้วย
1.4 การเสนอความคิดเห็นหรือยื่นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ
ร่างรัฐธรรมนูญที่แล้วเสร็จนี้ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ สามารถเสนอความคิดเห็นหรือยื่นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมได้ โดยการยื่นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมต่อประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ดังนี้
๑. สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติอาจขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่สภาปฏิรูปแห่งชาติเสร็จสิ้นการพิจารณาตามวรรคหนึ่ง คำขอแก้ไขเพิ่มเติมของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติต้องมีสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติลงชื่อรับรองไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติที่ยื่นคำขอหรือที่ให้คำรับรองคำขอของสมาชิกอื่นแล้ว จะยื่นคำขอหรือรับรองคำขอของสมาชิกอื่นอีกมิได้
๒. คณะรัฐมนตรีหรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะเสนอความคิดเห็นหรือยื่นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญ
1.5 การพิจารณาความเห็นหรือคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ
ให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาคำขอแก้ไขเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่ครบกำหนดยื่นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง ในการนี้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญอาจแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญได้ตามที่เห็นสมควร ในกรณีที่คำขอแก้ไขเพิ่มเติมมีประเด็นที่ต้องพิจารณาเป็นจำนวนมากหรืออาจมีผลกระทบต่อโครงสร้างของร่างรัฐธรรมนูญและคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเห็นว่าไม่อาจพิจารณาให้แล้วเสร็จได้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะมีมติให้ขยายระยะเวลาพิจารณาคำขอแก้ไขเพิ่มเติมออกไปได้อีกครั้งหนึ่งซึ่งต้องไม่เกิน ๓๐ วัน นับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาพิจารณาคำขอแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว และให้แจ้งมติขยายระยะเวลาพร้อมเหตุผลให้สภาปฏิรูปแห่งชาติทราบก่อนครบกำหนดเวลานั้นด้วย[2]
1.6 การพิจารณาเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ
เมื่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้แก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ให้เสนอร่างรัฐธรรมนูญต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ แล้วให้สภาปฏิรูปแห่งชาติรอไว้ ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญจากคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อพ้นกำหนดนี้แล้ว ให้สภาปฏิรูปแห่งชาติประชุมเพื่อลงมติให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญนั้นทั้งฉบับภายใน ๓ วัน นับแต่วันที่ครบกำหนดดังกล่าว ในการนี้จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ มิได้ เว้นแต่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นผู้แก้ไขเฉพาะในกรณีพบเห็นข้อผิดพลาดที่มิใช่สาระสำคัญและจำเป็นต้องแก้ไขให้ถูกต้องครบถ้วน
และเมื่อสภาปฏิรูปแห่งชาติมีมติเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ ให้แจ้งคณะรัฐมนตรีทราบและให้คณะรัฐมนตรีแจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้งทราบโดยเร็ว โดยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งในการดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ ให้นำพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. ๒๕๕๒ ในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดและบทกำหนดโทษมาใช้บังคับแก่การดำเนินการออกเสียงประชามติตามรัฐธรรมนูญนี้ด้วย
คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้นำเสนอร่างรัฐธรรมนูญที่แล้วเสร็จและนำต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ในวันที่ 6 กันยายน 2558 และที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติได้ลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ด้วยคะแนน 135 ต่อ 105 เสียง งดออกเสียง 7 คน เป็นผลทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นอันตกไป และมีผลทำให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นอันสิ้นสุดลง ในการนี้ การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการชุดใหม่นี้ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ รองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดที่สิ้นสุดลงตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง จะเป็นประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ รองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แล้วแต่กรณีมิได้
ต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ (ฉบับที่ ๑) พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๓๙/๑ ได้กำหนดให้ “ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่สภาปฏิรูปแห่งชาติและคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลง หรือนับแต่วันที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลงตามมาตรา ๓๙ หรือนับแต่วันที่ร่างรัฐธรรมนูญเป็นอันตกไปตามมาตรา ๓๗ วรรคแปด แล้วแต่กรณี ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยประธานกรรมการคนหนึ่งและกรรมการอื่นอีกไม่เกิน 21 คน เพื่อทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง โดยให้นำมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๕ มาใช้บังคับโดยอนุโลม”
คณะรักษาความสงบเรียบร้อยจึงได้ออกประกาศรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานกรรมการ และกรรมการอื่นอีก จำนวน 20 คน ทำหน้าที่ในการร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้ง
2. กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ
คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่ในการร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วัน กรอบในการร่างรัฐธรรมนูญ ยังคงยึดตามหลักการในมาตรา ๓๕ ทั้งนี้ ในระหว่างการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญรับฟังความคิดเห็นของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และประชาชน ประกอบด้วย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และภายในกำหนดเวลาที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญกำหนด โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้เสนอกรอบในการร่างรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม ๕ ประการ ดังนี้
1. ให้ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นที่ยอมรับนับถือของสากล แต่ขณะเดียวกันต้องสอดคล้องกับสภาพปัญหา ประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของประเทศและคนไทยที่มีอยู่หรือเป็นอยู่
2. ให้มีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการปฏิรูปและสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นให้ได้
3. ให้มีมาตรการป้องกันไม่ให้การเมืองใช้อำนาจแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้อง โดยใช้เงินแผ่นดินไปอ่อยเหยื่อกับประชาชนเพื่อสร้างความชอบธรรม โดยมิได้มุ่งหมายให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขในระยะยาว จนเกิดความเสียหายแก่ประเทศอย่างร้ายแรง และเกิดวิกฤตที่หาทางออกไม่ได้
4. มีแนวทางการขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างได้ผล
5. ให้สร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้มีการมีส่วนร่วมของประชาชนในอันที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ และร่วมกันรับรู้และรับผิดชอบต่อความเจริญและการพัฒนาประเทศและสังคมโดยรวม
2.1 ขั้นตอนการการนำร่างรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาขอความเห็นชอบ
เมื่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วให้แจ้งคณะรัฐมนตรีทราบ และให้คณะรัฐมนตรีแจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้งทราบโดยเร็ว โดยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งในการดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและประกาศในราชกิจจานุเบกษา[3]
2.2 การจัดให้มีการออกเสียงประชามติ
เมื่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ ให้นำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปดำเนินการออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญนั้นทั้งฉบับโดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของสภาใดๆ และให้แจ้งคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบ และให้คณะรัฐมนตรีแจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้งทราบโดยเร็ว เพื่อดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติตามมาตรานี้ และให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจัดทำคำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญโดยสรุปในลักษณะที่ประชาชนจะสามารถเข้าใจเนื้อหาสำคัญ ๆ ของร่างรัฐธรรมนูญได้โดยสะดวก และส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันถัดจากวันที่แจ้งคณะรัฐมนตรี
การจัดให้มีการออกเสียงประชามติ ให้ออกเสียงประชามติว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญนั้นทั้งฉบับ โดยต้องกระทำในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร ในการนี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติจะมีมติเสนอประเด็นอื่นใดไม่เกินหนึ่งประเด็นที่สมควรให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพิ่มเติมว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบพร้อมไปในคราวเดียวกันด้วยก็ได้ แต่ทั้งนี้ ต้องเสนอภายในสิบวันนับแต่วันถัดจากวันที่ได้รับแจ้งจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญตามวรรคสามเพื่อประโยชน์แห่งการนี้ ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติรับฟังความคิดเห็นของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศประกอบการพิจารณาด้วย
กำหนดเวลาการออดเสียงประชามติ
ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันออกเสียงประชามติ ซึ่งต้องไม่เร็วกว่าเก้าสิบวันแต่ไม่ช้ากว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันถัดจากวันที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญส่งคำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง
2.3 การเสนอประเด็นเพื่ออกเสียงประชามติเพิ่มเติม
สภานิติบัญญัติแห่งชาติจะมีมติเสนอประเด็นอื่นที่สมควรให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพิ่มเติมว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบพร้อมไปในคราวเดียวกันด้วยก็ได้ โดยต้องเสนอภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันถัดจากวันที่ได้รับแจ้งจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและเพื่อประโยชน์แห่งการนี้ ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติรับฟังความคิดเห็นของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศประกอบการพิจารณาด้วย
และในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นเพิ่มเติมดังกล่าว และเสียงข้างมากของผู้ออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วยกับประเด็นนั้น หากจะมีผลให้บทบัญญัติของร่างรัฐธรรมนูญไม่สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติ ให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญดำเนินการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันประกาศผลการออกเสียงประชามติ แล้วส่งร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าเป็นการชอบด้วยกับผลการออกเสียงประชามติแล้วหรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญ
หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าได้มีการแก้ไขให้สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติแล้วหรือในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าบทบัญญัติใดยังไม่สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติและได้ส่งร่างรัฐธรรมนูญคืนให้แก่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้ดำเนินการแก้ไขตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วซึ่งต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วัน
ในการออกเสียงประชามติ ถ้าผลการออกเสียงประชามติมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญมากกว่าคะแนนเสียงไม่เห็นชอบ ให้นายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันประกาศผลการออกเสียงประชามติ และเมื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและใช้บังคับได้ โดยให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
เมื่อนายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมแล้ว หากมีกรณีที่พระมหากษัตริย์พระราชทานข้อสังเกตว่าสมควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อความใดภายใน ๙๐ วัน ให้นายกรัฐมนตรีขอรับพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญนั้นคืนมา เพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะประเด็นตามข้อสังเกตนั้นและประเด็นที่เกี่ยวเนื่อง และแก้ไขเพิ่มเติมคำปรารภของร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกัน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายใหม่ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับพระราชทานคืนมาตามที่ขอ เมื่อนายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายและทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและใช้บังคับได้ โดยให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมและพระราชทานคืนมา หรือเมื่อพ้น ๙๐ วัน นับแต่วันที่นายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติม แล้วแต่กรณี ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแล้วมิได้พระราชทานคืนมา ให้ร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นเป็นอันตกไป
สำหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 คณะกรรมการเลือกตั้งได้กำหนดให้มีการลงประชามติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ พร้อมด้วยประเด็นคำถามพ่วงพ่วงซึ่งเป็นประเด็นเพิ่มเติมจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ สมควรกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ในระหว่าง 5 ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี” โดยจัดให้มีการลงประชามติ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559[4] ผลการลงประชามติปรากฏว่าประชนมีมติเสียงข้างมากเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญด้วยคะแนนเสียง 16,820,402 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 61.35 ขณะที่คำถามพ่วงว่าด้วยการกำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาเลือกนายกรัฐมนตรีภายในระยะเวลา 5 ปีแรกผ่านความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 15,132,050 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 58.7 [5] ซึ่งผลจากคำถามพ่วงนี้ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจึงได้นำร่างรัฐธรรมนูญไปปรับปรุงในบางมาตราและในบทเฉพาะกาลเพื่อให้สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติในประเด็นเพิ่มเติมนั้น โดยได้มีการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗๒ ซึ่งเป็นบทเฉพาะกาล และส่งร่างรัฐธรรมนูญให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา
ผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญสามารถสรุปได้ ดังนี้[6]
๑. ผู้ที่มีสิทธิเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีและผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรี
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ตามที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูนได้แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๗๒ วรรคแรก โดยกำหนดให้ผู้มีสิทธิเสนอชื่อบุคคลที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของทั้งสองสภานั้นสอดคล้องและชอบด้วยกับผลการออกเสียงประชามติแล้ว
๒. ผู้มีสิทธิเสนอขอยกเว้นการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อ และมติในการให้ความเห็นชอบ
ร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗๒ วรรคสองที่กำหนดให้ในกรณีที่ไม่แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้ที่มีชื่ออยู่บัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ ให้เป็นหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่เข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาเพื่อขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่างรัฐธรรมนูญซึ่งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขในมาตรา ๒๗๒ วรรคสองในประเด็นยกเว้นไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ นี้ ไม่สอดคล้องและไม่ชอบด้วยผลการออกเสียงประชามติ ส่วนมติในการให้ความเห็นให้ยกเว้น คือ มติไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภานั้นชอบด้วยกับผลการออกเสียงประชามติแล้ว
๓. กำหนดเวลาและวันเริ่มนับเวลาตามร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗๒ วรรคหนึ่งและวรรคสอง
ร่างรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๗๒ ที่กำหนดว่า "ในระหว่าง ๕ ปี แรก นับแต่วันที่มีรัฐสภาภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา ๒๖๘..." จึงเป็นประเด็นว่า"รัฐสภา" หมายถึงสภาใด ซึ่งตามร่างรัฐธรรมนูญแปลเจตนารมณ์ว่า “รัฐสภา หมายถึง ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา” ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่างรัฐธรรมนูญซึ่งได้มีการแก้ไขในเรื่องกำหนดเวลาและวันเริ่มนับเวลาตามร่างรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๗๒ วรรคหนึ่งและวรรคสอง นี้ ไม่สอดคล้องและไม่ชอบด้วยกับผลการออกเสียงประชามติ
จากผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจึงได้แก้ไขตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ในร่างรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๗๒ ดังนี้
๑) ผู้ที่มีสิทธิขอยกเว้นไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อ คือ สมาชิกรัฐสภาจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
๒) กำหนดเวลาและวันเริ่มนับเวลา ตามมาตรา ๒๗๒ วรรคหนึ่งและวรรคสอง คือ ในระหว่าง ๕ ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้
หลังจากนั้นเมื่อปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นแล้วคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะทำการส่งร่างกลับคืนนายกรัฐมนตรีให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธยในร่างรัฐธรรมนูญ และประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560[7] ถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 ที่ผ่านการออกเสียงประชามติ ต่อจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
ตารางที่ 1 เปรียบเทียบกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
เนื้อหา |
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 |
'รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. '2560 |
1. ที่มาและองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ |
สภาร่างรัฐธรรมนูญแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นหรือไม่ได้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญก็ได้ จำนวน 35 คน เป็นคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ |
คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ มาจากการแต่งตั้งโดยประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ จำนวน 36 คน และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ มาจากการแต่งตั้งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน 21 คน |
2. กรอบในการร่างรัฐธรรมนูญ |
1) สิทธิเสรีภาพ การมีส่วนร่วมของประชาชน และการกระจายอำนาจ 2) สถาบันการเมือง 3) องค์กรตรวจสอบอิสระ |
เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 35 |
3. การเสนอประเด็นอื่นเพิ่มเติม |
ไม่สามารถเสนอประเด็นอื่นได้ |
สภาปฏิรูปแห่งชาติหรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอประเด็นอื่นใดที่สมควรได้ |
4. การเห็นชอบรัฐธรรมนูญ |
การออกเสียงประชามติ |
การออกเสียงประชามติ |
5. บรรณานุกรม
คำชี้แจงของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญประกอบการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติในประเด็นเพิ่มเติม. สืบค้นจาก https://cdc.parliament.go.th/draftconstitution2/download/article/article_20160908100646.pdf สืบค้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2562.
ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง กำหนดวันออกเสียงประชามติ. ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 133 ตอนที่ 32 ก ลงวันที่ 20 เมษายน 2559.
ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ผลการออกเสียงประชามติ. ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 133 ตอนที่ 69 ก ลงวันที่ 11 เมษายน 2559. สืบค้นจาก https://library2.parliament.go.th/giventake/content_give/cdc58-ect-110859-11.pdf เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2562.
ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ. ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2558
พิมลพัชร์ อริยะฌานกุล, สรุปคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญที่ ๖/๒๕๕๙ วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๙, จุลนิติ: พ.ย. - ธ.ค. ๕๙ สืบค้นจาก เมื่อวันที่ http://web.senate.go.th/lawdatacenter/includes/FCKeditor/upload/Image/b/con79.pdf
รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2558
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2558.
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 134 ตอน 40 ก.
[1] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557, มาตรา ๓2.
[2] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๓๗.
[3] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๓๙/๑.
[4] ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง กำหนดวันออกเสียงประชามติ, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 133 ตอนที่ 32 ก ลงวันที่ 20 เมษายน 2559.
ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ผลการออกเสียงประชามติ, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 133 ตอนที่ 69 ก ลงวันที่ 11 เมษายน 2559, สืบค้นจาก https://library2.parliament.go.th/giventake/content_give/cdc58-ect-110859-11.pdf เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2562.
[6] พิมลพัชร์ อริยะฌานกุล, สรุปคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญที่ ๖/๒๕๕๙ วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๙, จุลนิติ: พ.ย. - ธ.ค. ๕๙ สืบค้นจาก เมื่อวันที่ http://web.senate.go.th/lawdatacenter/includes/FCKeditor/upload/Image/b/con79.pdf.
[7] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 134 ตอน 40 ก หน้า 1.