ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระบรมราชานุสรณ์"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าด้วย " ด้วยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติ..."
 
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
'''ผู้เรียบเรียง : '''ภาพิศุทธิ์ สายจำปา
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ :''' รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์


ด้วยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนจึงมีพระบรมราชานุสรณ์หลายอย่างหลายประเภทเกิดขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ  อาทิ พระบรมราชานุสาวรีย์ สถาบัน อาคาร สถานที่ ถนน และสะพานเป็นต้น ในที่นี้จะเรียงประเภทตามที่กล่าวมาและในแต่ละประเภทเรียงตามลำดับการจัดสร้าง
ด้วยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนจึงมีพระบรมราชานุสรณ์หลายอย่างหลายประเภทเกิดขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ  อาทิ พระบรมราชานุสาวรีย์ สถาบัน อาคาร สถานที่ ถนน และสะพานเป็นต้น ในที่นี้จะเรียงประเภทตามที่กล่าวมาและในแต่ละประเภทเรียงตามลำดับการจัดสร้าง
บรรทัดที่ 12: บรรทัดที่ 16:
'''          พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ อาคารรัฐสภา ถนนอู่ทองใน เขต     ดุสิต กรุงเทพมหานคร'''
'''          พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ อาคารรัฐสภา ถนนอู่ทองใน เขต     ดุสิต กรุงเทพมหานคร'''


ด้วยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสละพระราชอำนาจในการปกครองแผ่นดินให้แก่ราษฎรทั้งหลาย และได้พระราชทานรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เปิดโอกาสสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาในสยามประเทศ นับได้ว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีส่วนสำคัญในการจรรโลงประวัติศาสตร์อันสำคัญยิ่งของประเทศไทย  ๓๗ ปี ต่อมา เมื่อจะมีการสร้างอาคารรัฐสภา บนพื้นที่ในบริเวณพระราชวังดุสิตถัดจากพระที่นั่งอนันตสมาคม ถัดจากพระที่นั่งอนันตสมาคมไปทางทิศเหนือ ซึ่งใน พ.ศ. ๒๕๑๕ ถึง ๒๕๑๔ รัฐสภาได้เสนอความคิดว่าควรมีพระบรมราชาสาวรีย์ไว้ที่หน้าอาคารหลังใหม่นั้นต่อคณะรัฐมนตรี หากแต่ว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอีกหลายปีได้เกิดเหตุการณ์ผันผวนทางการเมืองการปกครองเป็นระลอก ส่งผลเป็นความชะงักงันและติดขัดในการดำเนินการ แม้ว่าจะได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต และได้เริ่มเรี่ยไรเงินเพื่อสมทบกับงบประมาณแผ่นดินในการสร้างแล้วก็ตาม จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๒๐ ประธานรัฐสภาคนใหม่ คือ พลอากาศเอกหะริน หงสกุล ได้มีความแข็งขันในการผลักดันโดยการกราบบังคมทูลขอและได้รับพระบรมราชานุญาตเป็นคำรบสอง ของบประมาณให้เป็นที่แน่นอน และเรี่ยไรเงินอีกครั้งจนหาทุนได้เพียงพอ จึงได้เดินหน้าออกแบบพระบรมรูปและปรับพื้นที่ประดิษฐาน เมื่อปั้นหุ่นจำลองแล้ว สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ ได้เสด็จพระราชดำเนินในยามที่ทรงพระชราไปที่โรงหล่อที่บริเวณรัฐสภาเพื่อทอดพระเนตรและทรงติชม[[#_ftn1|[1]]]
ด้วยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสละพระราชอำนาจในการปกครองแผ่นดินให้แก่ราษฎรทั้งหลาย และได้พระราชทานรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เปิดโอกาสสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาในสยามประเทศ นับได้ว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีส่วนสำคัญในการจรรโลงประวัติศาสตร์อันสำคัญยิ่งของประเทศไทย  ๓๗ ปี ต่อมา เมื่อจะมีการสร้างอาคารรัฐสภา บนพื้นที่ในบริเวณพระราชวังดุสิตถัดจากพระที่นั่งอนันตสมาคม ถัดจากพระที่นั่งอนันตสมาคมไปทางทิศเหนือ ซึ่งใน พ.ศ. ๒๕๑๕ ถึง ๒๕๑๔ รัฐสภาได้เสนอความคิดว่าควรมีพระบรมราชาสาวรีย์ไว้ที่หน้าอาคารหลังใหม่นั้นต่อคณะรัฐมนตรี หากแต่ว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอีกหลายปีได้เกิดเหตุการณ์ผันผวนทางการเมืองการปกครองเป็นระลอก ส่งผลเป็นความชะงักงันและติดขัดในการดำเนินการ แม้ว่าจะได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต และได้เริ่มเรี่ยไรเงินเพื่อสมทบกับงบประมาณแผ่นดินในการสร้างแล้วก็ตาม จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๒๐ ประธานรัฐสภาคนใหม่ คือ พลอากาศเอกหะริน หงสกุล ได้มีความแข็งขันในการผลักดันโดยการกราบบังคมทูลขอและได้รับพระบรมราชานุญาตเป็นคำรบสอง ของบประมาณให้เป็นที่แน่นอน และเรี่ยไรเงินอีกครั้งจนหาทุนได้เพียงพอ จึงได้เดินหน้าออกแบบพระบรมรูปและปรับพื้นที่ประดิษฐาน เมื่อปั้นหุ่นจำลองแล้ว สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ ได้เสด็จพระราชดำเนินในยามที่ทรงพระชราไปที่โรงหล่อที่บริเวณรัฐสภาเพื่อทอดพระเนตรและทรงติชม[1]


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเททองหล่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ณ สำนักงานเลขาธิการรัฐสภาเมื่อวันเสาร์ที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๒   และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ ในวันที่๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๓  ในวันที่ ๑๐ ธันวาคมของทุกปีจะมีพิธีวางพานพุ่มถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  เนื่องในวันรัฐธรรมนูญและในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ของทุกปี มีพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าวันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อเป็ฯการเทิดพระเกียรติยิ่งขึ้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเททองหล่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ณ สำนักงานเลขาธิการรัฐสภาเมื่อวันเสาร์ที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๒   และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ ในวันที่๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๓  ในวันที่ ๑๐ ธันวาคมของทุกปีจะมีพิธีวางพานพุ่มถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  เนื่องในวันรัฐธรรมนูญและในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ของทุกปี มีพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าวันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อเป็ฯการเทิดพระเกียรติยิ่งขึ้น
บรรทัดที่ 18: บรรทัดที่ 22:
 
 


          ''รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ'' : พระบรมราชานุสาวรีย์นี้มีขนาดหนึ่งเท่าครึ่งพระองค์จริง ทรงเครื่องพระบรมราชภูษิตาภรณ์ฉลองพระองค์ครุย สวมพระชฎามหากฐินปักขนนกการเวก เสด็จประทับเหนือพระที่นั่งพุดตาลกาญจนสิงหาสน์ พระหัตถ์วางเหนือพระเพลาทั้งสองข้าง ไม่มีฉากหลัง ฐานแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์ด้านหน้าปรากฏรอยจารึกลายพระราชหัตถเลขาทรงสละราชสมบัติบางส่วนพร้อมพระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ออกแบบปั้นโดยนาวาเอก[http://th.wikipedia.org/wiki/สมภพ_ภิรมย์ สมภพ ภิรมย์]  มีนายสาโรช จารักษ์ ประติมากรกองหัตถ์ศิลป์ (ในสมัยนั้น) นายสนั่น ศิลากรณ์ ผู้ปั้นพระบรมรูป นายประเทือง ธรรมรักษ์ ผู้ปั้นพระที่นั่งพุดตาลกาญจนสิงหาสน์ ม.ร.ว. จักรรถ  จิตรพงศ์ เป็นผู้ออกแบบฐานและบริเวณโดยรอบ[[#_ftn2|[2]]] และควบคุมการปั้นโดยกรมศิลปากร[[#_ftn3|[3]]]
          ''รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ'' : พระบรมราชานุสาวรีย์นี้มีขนาดหนึ่งเท่าครึ่งพระองค์จริง ทรงเครื่องพระบรมราชภูษิตาภรณ์ฉลองพระองค์ครุย สวมพระชฎามหากฐินปักขนนกการเวก เสด็จประทับเหนือพระที่นั่งพุดตาลกาญจนสิงหาสน์ พระหัตถ์วางเหนือพระเพลาทั้งสองข้าง ไม่มีฉากหลัง ฐานแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์ด้านหน้าปรากฏรอยจารึกลายพระราชหัตถเลขาทรงสละราชสมบัติบางส่วนพร้อมพระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ออกแบบปั้นโดยนาวาเอกสมภพ ภิรมย์  มีนายสาโรช จารักษ์ ประติมากรกองหัตถ์ศิลป์ (ในสมัยนั้น) นายสนั่น ศิลากรณ์ ผู้ปั้นพระบรมรูป นายประเทือง ธรรมรักษ์ ผู้ปั้นพระที่นั่งพุดตาลกาญจนสิงหาสน์ ม.ร.ว. จักรรถ  จิตรพงศ์ เป็นผู้ออกแบบฐานและบริเวณโดยรอบ[2] และควบคุมการปั้นโดยกรมศิลปากร[3]


พระบรมราชานุสาวรีย์นี้นับเป็นแห่งแรกที่มีการสร้างและถือได้ว่าเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ระดับชาติด้วย สร้างขึ้นโดยรัฐสภาจากเงินงบประมาณแผ่นดินและเงินบริจาคของประชาชน
พระบรมราชานุสาวรีย์นี้นับเป็นแห่งแรกที่มีการสร้างและถือได้ว่าเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ระดับชาติด้วย สร้างขึ้นโดยรัฐสภาจากเงินงบประมาณแผ่นดินและเงินบริจาคของประชาชน


         
'''          พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศ'''''ยาน'''''เกียกกาย ถนนทหาร กรุงเทพมหานคร'''
 
         
 
'''          พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศ''''''          ยาน ''''''เกียกกาย ถนนทหาร กรุงเทพมหานคร'''


กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว   และด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีต่อทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ด้วยขณะที่ทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ทรงรับราชการเป็นนายทหารเหล่าปืนใหญ่และผู้บังคับกองร้อยที่ ๒ กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ ตามลำดับ พื้นที่ตั้งหน่วยทหารนี้ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน
กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว   และด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีต่อทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ด้วยขณะที่ทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ทรงรับราชการเป็นนายทหารเหล่าปืนใหญ่และผู้บังคับกองร้อยที่ ๒ กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ ตามลำดับ พื้นที่ตั้งหน่วยทหารนี้ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน
บรรทัดที่ 36: บรรทัดที่ 36:
         
         


'''          พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ''''''จังหวัดนนทบุรี'''
'''พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ''''''จังหวัดนนทบุรี'''


พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวประดิษฐานอยู่หน้าศาลาพุ่มข้าวบิณฑ์ในบริเวณ  อุทยานการศึกษารัชมังคลาภิเษก มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ทรงเปิดเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๖ เนื่องในโอกาสครบ ๑๐๐ ปี วันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกเสด็จเป็นประธานในพิธีเททองหล่อพระบรมรูป เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๖
พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวประดิษฐานอยู่หน้าศาลาพุ่มข้าวบิณฑ์ในบริเวณ  อุทยานการศึกษารัชมังคลาภิเษก มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ทรงเปิดเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๖ เนื่องในโอกาสครบ ๑๐๐ ปี วันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกเสด็จเป็นประธานในพิธีเททองหล่อพระบรมรูป เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๖
บรรทัดที่ 44: บรรทัดที่ 44:
''รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ'':  วัสดุที่ใช้หล่อพระรูปคือ โลหะสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความคงทนถาวรยาวนานตลอดจนง่ายต่อการบำรุงรักษา ขนาดสองเท่าของพระองค์จริง ในพระอิริยาบทยืน ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูติตาภรณ์  ทรงฉลองพระองค์ครุย ทรงพระมาลาเส้าสูงปักขนนกการเวก ทรงพระมหาสังวาลนพรัตน์และสังวาลพระนพ (เฉียงจากขวาไปซ้าย) ทรงคาดสายรัดพระองค์นพรัตน์ ทรงถือพระแสงดาบฝักทองเกลี้ยงและทรงพระภูษาทับสนับเชิงงอน ทรงเครื่องเต็มยศอย่างโบราณราชประเพณี  ฉากหลังเป็นอาคารสัญลักษณ์ศาลาพุ่มข้าวบิณฑ์ ฐานแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์จารึกพระราชประวัติและประวัติชื่อของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
''รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ'':  วัสดุที่ใช้หล่อพระรูปคือ โลหะสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความคงทนถาวรยาวนานตลอดจนง่ายต่อการบำรุงรักษา ขนาดสองเท่าของพระองค์จริง ในพระอิริยาบทยืน ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูติตาภรณ์  ทรงฉลองพระองค์ครุย ทรงพระมาลาเส้าสูงปักขนนกการเวก ทรงพระมหาสังวาลนพรัตน์และสังวาลพระนพ (เฉียงจากขวาไปซ้าย) ทรงคาดสายรัดพระองค์นพรัตน์ ทรงถือพระแสงดาบฝักทองเกลี้ยงและทรงพระภูษาทับสนับเชิงงอน ทรงเครื่องเต็มยศอย่างโบราณราชประเพณี  ฉากหลังเป็นอาคารสัญลักษณ์ศาลาพุ่มข้าวบิณฑ์ ฐานแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์จารึกพระราชประวัติและประวัติชื่อของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช


 
'''พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ สวนพฤกษชาติ เหมืองแม่เมาะ ''''''''' '''อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง'''


         
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงประกอบพิธีเปิดพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๙ ซึ่งเริ่มดำเนินการสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๕ โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย  เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยในรัชกาลของพระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการให้สงวนบ่อถ่านศิลา (หรือเหมืองแร่) ที่มีอยู่ในประเทศไว้เพื่อทางราชการ ยังผลให้เหมืองแม่เมาะมีถ่านหินไว้ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อประโยชน์แก่ประเทศไทยในปัจจุบัน


 
          '''รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ''''':'' พระบรมรูปหล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์  ขนาดสองเท่าของพระองค์จริง ประทับนั่งบนพระเก้าอี้ ทอดพระเนตรไปทางทิศเหนือ ในฉลองพระองค์ชุดลำลอง  พระมาลาแบบสากลวางที่พระเพลา  ไม่มีฉากหลัง  ภูมิทัศน์หลังเป็นภูเขาไม้ แท่นหินประดิษฐานมีแผ่นทองเหลืองจารึกพระราชหัตเลขาที่ทรงลงพระปรมาภิไธยเกี่ยวเนื่องกับการเหมืองแร่ให้สงวนบ่อถ่านศิลาเพื่อกิจการของประเทศ


'''          พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ สวนพฤกษชาติ เหมืองแม่เมาะ ''''''          อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง'''
'''          พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ''''''ณ สวนสาธารณะเขาหินเหล็ก ไฟ ''''''          จังหวัดประจวบคีรีขันธ์'''
 
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงประกอบพิธีเปิดพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๙ ซึ่งเริ่มดำเนินการสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๕ โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย  เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยในรัชกาลของพระองค์ทรงมี                  พระบรมราชโองการให้สงวนบ่อถ่านศิลา (หรือเหมืองแร่) ที่มีอยู่ในประเทศไว้เพื่อทางราชการ ยังผลให้เหมืองแม่เมาะมีถ่านหินไว้ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อประโยชน์แก่ประเทศไทยในปัจจุบัน
 
          ''รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ'''':'' พระบรมรูปหล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์  ขนาดสองเท่าของพระองค์จริง ประทับนั่งบนพระเก้าอี้ ทอดพระเนตรไปทางทิศเหนือ ในฉลองพระองค์ชุดลำลอง  พระมาลาแบบสากลวางที่พระเพลา  ไม่มีฉากหลัง  ภูมิทัศน์หลังเป็นภูเขาไม้ แท่นหินประดิษฐานมีแผ่นทองเหลืองจารึกพระราชหัตเลขาที่ทรงลงพระปรมาภิไธยเกี่ยวเนื่องกับการเหมืองแร่ให้สงวนบ่อถ่านศิลาเพื่อกิจการของประเทศ
 
 
 
'''          พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ''''''ณ สวนสาธารณะเขาหินเหล็ก ไฟ ''''''          จังหวัดประจวบคีรีขันธ์'''


เทศบาลตำบล หัวหิน สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ทรงคุณูปการต่อการพัฒนาท้องถิ่นหัวหิน โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา “พระราชบัญญัติการจัดบำรุงสถานที่ชายทะเลทิศตะวันตก พุทธศักราช ๒๔๖๙” เพื่อจัดตั้งองค์กรนำร่องการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาล เป็นรากฐานของการจัดตั้งเทศบาลตำบลหัวหินในเวลาต่อมา
เทศบาลตำบล หัวหิน สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ทรงคุณูปการต่อการพัฒนาท้องถิ่นหัวหิน โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา “พระราชบัญญัติการจัดบำรุงสถานที่ชายทะเลทิศตะวันตก พุทธศักราช ๒๔๖๙” เพื่อจัดตั้งองค์กรนำร่องการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาล เป็นรากฐานของการจัดตั้งเทศบาลตำบลหัวหินในเวลาต่อมา


พระบรมราชานุสาวรีย์นี้ เริ่มเตรียมการ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๔  หยุดชะงักไประยะหนึ่ง และเริ่มใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ.๒๕๓๐ ได้รับพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้างได้ในปี พ.ศ.๒๕๓๗ พระวรวงศ์เธอ                   พระพระองค์เจ้าสุธสิริโสภา เสด็จเป็นประธานพิธีวางศิลาฤกษ์พระแท่น เมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๙ และมีพิธีอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์ขึ้นประดิษฐาน เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๔ 
พระบรมราชานุสาวรีย์นี้ เริ่มเตรียมการ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๔  หยุดชะงักไประยะหนึ่ง และเริ่มใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ.๒๕๓๐ ได้รับพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้างได้ในปี พ.ศ.๒๕๓๗ พระวรวงศ์เธอ พระพระองค์เจ้าสุธสิริโสภา เสด็จเป็นประธานพิธีวางศิลาฤกษ์พระแท่น เมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๙ และมีพิธีอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์ขึ้นประดิษฐาน เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๔ 
 
หากมองจากสนามกอล์ฟหลวงหัวหิน ริมแฟร์เวย์ด้านทิศตะวันตก แล้วแหงนหน้าขึ้นมองข้างบน จะเห็นเขาหินเล็กไฟ ซึ่งประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์นี้อยุ่เบื้องหน้า[[#_ftn4|[4]]]
 
          ''รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ '''':'' พระบรมรูปหล่อโลหะ โดยช่างกรมศิลปากร  ขนาดเท่าครึ่งของพระองค์จริง พระอิริยาบทยืนบนพระแท่น ทรงชุดทหารบก ผินพระพักตร์ไปทางซ้ายเล็กน้อย คล้ายทอดพระเนตรไปยัง สวนไกลกังวล (วังไกลกังวล) ที่ทรงสร้างและทรงใช้เป็นที่แปรพระราชฐานมาประทับในรัชกาล ฉากหลังเป็นทัศนียภาพของป่าที่สวยงาม


 
หากมองจากสนามกอล์ฟหลวงหัวหิน ริมแฟร์เวย์ด้านทิศตะวันตก แล้วแหงนหน้าขึ้นมองข้างบน จะเห็นเขาหินเล็กไฟ ซึ่งประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์นี้อยุ่เบื้องหน้า[4]


         
          ''รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ :'' พระบรมรูปหล่อโลหะ โดยช่างกรมศิลปากร  ขนาดเท่าครึ่งของพระองค์จริง พระอิริยาบทยืนบนพระแท่น ทรงชุดทหารบก ผินพระพักตร์ไปทางซ้ายเล็กน้อย คล้ายทอดพระเนตรไปยัง สวนไกลกังวล (วังไกลกังวล) ที่ทรงสร้างและทรงใช้เป็นที่แปรพระราชฐานมาประทับในรัชกาล ฉากหลังเป็นทัศนียภาพของป่าที่สวยงาม
 
         


 
 


'''          พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัด''''''จันทบุรี'''
       '''   พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัด''''''จันทบุรี'''


หลังจากที่ได้สร้างอาคารประชาธิปกศักดิเดชน์แล้ว  คณะกรรมการการบริหารโรงพยาบาลพระปกเกล้าได้มีมติเห็นชอบให้จัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นที่หน้าอาคารนั้น[[#_ftn5|[5]]] และเมื่อได้รับความเห็นชอบจากกรมศิลปากรในปี พ.ศ.๒๕๓๘แล้ว จึงได้เริ่มการปั้นและหล่อพระบรมรูปเสร็จเสร็จในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๓ ต่อมาในวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๕  มีพิธีอัญเชิญพระบรมรูปขึ้นสู่แท่นประทับ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑
หลังจากที่ได้สร้างอาคารประชาธิปกศักดิเดชน์แล้ว  คณะกรรมการการบริหารโรงพยาบาลพระปกเกล้าได้มีมติเห็นชอบให้จัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นที่หน้าอาคารนั้น[5] และเมื่อได้รับความเห็นชอบจากกรมศิลปากรในปี พ.ศ.๒๕๓๘แล้ว จึงได้เริ่มการปั้นและหล่อพระบรมรูปเสร็จเสร็จในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๓ ต่อมาในวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๕  มีพิธีอัญเชิญพระบรมรูปขึ้นสู่แท่นประทับ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑


พระบรมราชานุสาวรีย์ตั้งอยู่ที่หน้าอาคารประชาธิปกศักดิเดชน์ บนลานแกรนิตยกสูงจากพื้นอย่างสง่างาม งานภูมิสถาปัตยกรรมจัดวางอย่างลงตัวและสมพระเกียรติยิ่ง เบื้องหลังล้อมไปด้วยต้นลีลาวดีที่สมบูรณ์ทั้งดอกสีขาวและใบ  ส่งผลให้ทัศนียภาพที่ฉากหลังเป็นอาคาร ประชาธิปกศักดิเดชน์ สวยงามยิ่งขึ้น   ด้านหน้าของพระบรมราชานุสาวรีย์คือสวนสาธารณะจังหวัดอันสวยงาม มีสระน้ำขนาดใหญ่ ร่มไม้นานาพรรณและบ้านเมือง ประดุจดั่งพระองค์ทอดพระเนตรทุกข์สุขของประชาชนอยู่เสมอ
พระบรมราชานุสาวรีย์ตั้งอยู่ที่หน้าอาคารประชาธิปกศักดิเดชน์ บนลานแกรนิตยกสูงจากพื้นอย่างสง่างาม งานภูมิสถาปัตยกรรมจัดวางอย่างลงตัวและสมพระเกียรติยิ่ง เบื้องหลังล้อมไปด้วยต้นลีลาวดีที่สมบูรณ์ทั้งดอกสีขาวและใบ  ส่งผลให้ทัศนียภาพที่ฉากหลังเป็นอาคาร ประชาธิปกศักดิเดชน์ สวยงามยิ่งขึ้น   ด้านหน้าของพระบรมราชานุสาวรีย์คือสวนสาธารณะจังหวัดอันสวยงาม มีสระน้ำขนาดใหญ่ ร่มไม้นานาพรรณและบ้านเมือง ประดุจดั่งพระองค์ทอดพระเนตรทุกข์สุขของประชาชนอยู่เสมอ
บรรทัดที่ 84: บรรทัดที่ 70:
ในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ของทุกปี ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนจะร่วมกันจัดพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะเพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ของทุกปี ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนจะร่วมกันจัดพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะเพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว


          ''รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ '''':'' พระบรมรูปหล่อด้วยโลหะ มีพันโทนภดล สุวรรณสมบัติ ประติมากร สถาบันศิลปกรรม กรมศิลปากรเป็นผู้ปั้น องค์พระบรมรูปมีขนาดสองเท่าของพระองค์จริง ประทับในพระอิริยาบถยืน ฉลองพระองค์จอมทัพไทย พระหัตถ์ถือกระบี่ พระพักตร์ตรง ประดิษฐานเด่นสง่าบนพื้นแกรนิตและหินอ่อน
          ''รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ :'' พระบรมรูปหล่อด้วยโลหะ มีพันโทนภดล สุวรรณสมบัติ ประติมากร สถาบันศิลปกรรม กรมศิลปากรเป็นผู้ปั้น องค์พระบรมรูปมีขนาดสองเท่าของพระองค์จริง ประทับในพระอิริยาบถยืน ฉลองพระองค์จอมทัพไทย พระหัตถ์ถือกระบี่ พระพักตร์ตรง ประดิษฐานเด่นสง่าบนพื้นแกรนิตและหินอ่อน


 
 


'''          พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ''''''ณ  สำนักงาน ก.พ. ตำบลตลาด''''''          ขวัญ อำเภอเมือง นนทบุรี'''
'''          พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ''''''ณ  สำนักงาน ก.พ. ตำบลตลาด''''''  ขวัญ อำเภอเมือง นนทบุรี'''


ด้วยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวางรากฐานระบบข้าราชการพลเรือน ปรากฏหลักฐานเด่นชัด ว่าในวันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำริว่าสมควรที่จะวางระเบียบข้าราชการพลเรือน  ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพได้ทรงสนองพระราชดำริด้วยการทรงเรียบเรียงระเบียบข้าราชการพลเรือน ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เป็นที่มาของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๑
ด้วยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวางรากฐานระบบข้าราชการพลเรือน ปรากฏหลักฐานเด่นชัด ว่าในวันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำริว่าสมควรที่จะวางระเบียบข้าราชการพลเรือน  ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพได้ทรงสนองพระราชดำริด้วยการทรงเรียบเรียงระเบียบข้าราชการพลเรือน ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เป็นที่มาของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๑
บรรทัดที่ 94: บรรทัดที่ 80:
ต่อมาได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เมื่อวันที่ ๒๕ ซึ่งเป็นวาระครบรอบ ๘๐ ปี ของการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๑ นายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือ (ก.พ.) ในขณะนั้นจึงได้พิจารณาเห็นว่าสำนักงาน ก.พ. ซึ่งเป็นองค์กรกลางในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลในราชการพลเรือน สมควรดำเนินการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ประดิษฐานภายในสำนักงาน ก.พ. จังหวัดนนทบุรี โดยวันพุธที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒ คณะโหรพราหมณ์จากฝ่ายพราหมณ์กองพระราชพิธีเป็นผู้ดำเนินการประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์   นายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการ ก.พ. ในขณะนั้นเป็นประธานในพิธี และได้อัญเชิญพระบรมรูปขึ้นประดิษฐานยังแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒
ต่อมาได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เมื่อวันที่ ๒๕ ซึ่งเป็นวาระครบรอบ ๘๐ ปี ของการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๑ นายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือ (ก.พ.) ในขณะนั้นจึงได้พิจารณาเห็นว่าสำนักงาน ก.พ. ซึ่งเป็นองค์กรกลางในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลในราชการพลเรือน สมควรดำเนินการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ประดิษฐานภายในสำนักงาน ก.พ. จังหวัดนนทบุรี โดยวันพุธที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒ คณะโหรพราหมณ์จากฝ่ายพราหมณ์กองพระราชพิธีเป็นผู้ดำเนินการประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์   นายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการ ก.พ. ในขณะนั้นเป็นประธานในพิธี และได้อัญเชิญพระบรมรูปขึ้นประดิษฐานยังแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒


          ''รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ '''':'' สำนักงาน ก.พ. ได้ใช้พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นต้นแบบในการหล่อพระรูปด้วยโลหะสัมฤทธิ์มีขนาดหนึ่งเท่าครึ่งของพระองค์จริงประทับในในพระอิริยาบถยืน ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ทรงฉลองพระองค์ครุย ทรงพระมาลาเส้าสูงปักขนนกการเวก ทรงพระมหาสังวาลนพรัตน์และสังวาลพระนพ (เฉียงจากขวาไปซ้าย) ทรงคาดสายรัดพระองค์นพรัตน์ ทรงถือพระแสงดาบฝักทองเกลี้ยงและทรงพระภูษาทับสนับเชิงงอน แท่นฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ออกแบบให้สามารถเห็นพระบรมราชานุสาวรีย์ ที่ประดิษฐานโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงบริเวณกลางพื้นที่ บริเวณแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์มีแผ่นจารึกเฉลิมพระเกียรติ ลานพระบรมรูปราชานุสาวรีย์เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กปูหินแกรนิต
     ''     รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ :  ''สำนักงาน ก.พ. ได้ใช้พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นต้นแบบในการหล่อพระรูปด้วยโลหะสัมฤทธิ์มีขนาดหนึ่งเท่าครึ่งของพระองค์จริงประทับในในพระอิริยาบถยืน ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ทรงฉลองพระองค์ครุย ทรงพระมาลาเส้าสูงปักขนนกการเวก ทรงพระมหาสังวาลนพรัตน์และสังวาลพระนพ (เฉียงจากขวาไปซ้าย) ทรงคาดสายรัดพระองค์นพรัตน์ ทรงถือพระแสงดาบฝักทองเกลี้ยงและทรงพระภูษาทับสนับเชิงงอน แท่นฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ออกแบบให้สามารถเห็นพระบรมราชานุสาวรีย์ ที่ประดิษฐานโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงบริเวณกลางพื้นที่ บริเวณแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์มีแผ่นจารึกเฉลิมพระเกียรติ ลานพระบรมรูปราชานุสาวรีย์เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กปูหินแกรนิต


พลอากาศตรี อาวุธ เงินชูกลิ่น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปกรรมสถาปัตยกรรม (สถาปัตยกรรมไทย) พุทธศักราช ๒๕๔๐ เป็นที่ปรึกษาและได้มอบหมายให้นางวงขวัญ อุตตะมะ และนายพีระพงษ์ พีระสมบัติ จากกรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบ 
พลอากาศตรี อาวุธ เงินชูกลิ่น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปกรรมสถาปัตยกรรม (สถาปัตยกรรมไทย) พุทธศักราช ๒๕๔๐ เป็นที่ปรึกษาและได้มอบหมายให้นางวงขวัญ อุตตะมะ และนายพีระพงษ์ พีระสมบัติ จากกรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบ 
 


'''สถาบัน อาคารสถานที่'''
'''สถาบัน อาคารสถานที่'''


 
          '''มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช'''
 
          [http://th.wikipedia.org/wiki/มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช '''มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช''']


          ที่ตั้ง : ๙/๙  หมู่ ๙ ตำบล บางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ๑๑๑๒๐ โทรศัพท์ :๐ ๒๕๐๔ ๗๗๗๗  เวบไซต์ : http://www.stou.ac.th
          ที่ตั้ง : ๙/๙  หมู่ ๙ ตำบล บางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ๑๑๑๒๐ โทรศัพท์ :๐ ๒๕๐๔ ๗๗๗๗  เวบไซต์ : http://www.stou.ac.th


มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็น[http://th.wikipedia.org/wiki/มหาวิทยาลัยเปิด มหาวิทยาลัยเปิด]โดยใช้ระบบการศึกษาทางไกล และโดยที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินพระบรมราโชบายขยายโอกาสทางการศึกษาทั้งโดยการเร่งรัดการจัดการศึกษาภาคบังคับ การยกเลิกการเก็บเงินค่าศึกษาพลี และการยกระดับมหาวิทยาลัยให้ประสาทปริญญาได้ ตลอดจนมีพระราชหฤทัยใส่ในการวิทยุกระจายเสียงและการภาพยนตร์  มหาวิทยาลัยจึงประสงค์ที่จะเทิดพระเกียรติว่าได้ทรงวางรากฐานการศึกษาทางไกลในระดับมหาวิทยาลัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อมหาวิทยาลัยว่า “สุโขทัยธรรมาธิราช”  คล้ายพระนามกรมเดิมตามพระนามเดิมของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ "กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา" นอกจากนี้ ยังพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระราชลัญจกรในรัชกาลที่ ๗  มาประกอบกับรูปเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ[http://th.wikipedia.org/wiki/กรุงสุโขทัย ศิลปะสุโขทัย]เป็นตราเครื่องหมายประจำมหาวิทยาลัยและใช้สีเขียวทองเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย ด้วยสีเขียวเป็นสีประจำวันพุธ วันพระราชสมภพในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นมหาวิทยาลัยเปิดโดยใช้ระบบการศึกษาทางไกล และโดยที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินพระบรมราโชบายขยายโอกาสทางการศึกษาทั้งโดยการเร่งรัดการจัดการศึกษาภาคบังคับ การยกเลิกการเก็บเงินค่าศึกษาพลี และการยกระดับมหาวิทยาลัยให้ประสาทปริญญาได้ ตลอดจนมีพระราชหฤทัยใส่ในการวิทยุกระจายเสียงและการภาพยนตร์  มหาวิทยาลัยจึงประสงค์ที่จะเทิดพระเกียรติว่าได้ทรงวางรากฐานการศึกษาทางไกลในระดับมหาวิทยาลัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อมหาวิทยาลัยว่า “สุโขทัยธรรมาธิราช”  คล้ายพระนามกรมเดิมตามพระนามเดิมของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ "กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา" นอกจากนี้ ยังพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระราชลัญจกรในรัชกาลที่ ๗  มาประกอบกับรูปเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศิลปะสุโขทัยเป็นตราเครื่องหมายประจำมหาวิทยาลัยและใช้สีเขียวทองเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย ด้วยสีเขียวเป็นสีประจำวันพุธ วันพระราชสมภพในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว


เมื่อวันที่ ๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๒๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงลงพระปรมาภิไธย ในพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยจึงกำหนดวันที่ ๕ กันยายน ของทุกปีเป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัย
เมื่อวันที่ ๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๒๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงลงพระปรมาภิไธย ในพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยจึงกำหนดวันที่ ๕ กันยายน ของทุกปีเป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัย
บรรทัดที่ 114: บรรทัดที่ 96:
 
 


          [http://th.wikipedia.org/wiki/สถาบันพระปกเกล้า '''สถาบันพระปกเกล้า''']
          '''สถาบันพระปกเกล้า'''


          ที่ตั้ง :ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐พรรษา แขวงทุ่งสองห้อง ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ๑๐๒๑๐ โทรศัพท์ : ๐๒ ๑๔๑ ๙๖๐๐ เว็บไซต์ : [http://www.kpi.ac.th/ http://www.kpi.ac.th/]
          ที่ตั้ง :ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐พรรษา แขวงทุ่งสองห้อง ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ๑๐๒๑๐ โทรศัพท์ : ๐๒ ๑๔๑ ๙๖๐๐ เว็บไซต์ : http://www.kpi.ac.th/


สถาบันพระปกเกล้ามีฐานะเป็นนิติบุคคลในการกำกับดูแลของรัฐสภาเป็นสถาบันทางวิชาการ เผยแพร่ความรู้ด้านการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสู่ประชาชน ตามประกาศใช้พระราชบัญญัติสถาบันพระปกเกล้า พ.ศ. ๒๕๔๑   
สถาบันพระปกเกล้ามีฐานะเป็นนิติบุคคลในการกำกับดูแลของรัฐสภาเป็นสถาบันทางวิชาการ เผยแพร่ความรู้ด้านการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสู่ประชาชน ตามประกาศใช้พระราชบัญญัติสถาบันพระปกเกล้า พ.ศ. ๒๕๔๑   
บรรทัดที่ 125: บรรทัดที่ 107:


'''          ห้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ณ       สำนักบรรณสารสนเทศ ชั้น ๒  มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จังหวัดนนทบุรี'''
'''          ห้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ณ       สำนักบรรณสารสนเทศ ชั้น ๒  มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จังหวัดนนทบุรี'''
'''[[File:|395x313px|คำอธิบาย: 2015-01-22 13]]'''
 


          ห้องนี้เป็นห้องสมุดเฉพาะที่จัดเก็บหนังสือเอกสารและให้บริการสารสนเทศเกี่ยวกับทั้งสองพระองค์และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสมัยรัชกาลที่ ๗  ในสำนักบรรณสารสนเทศ (หอสมุดกลาง) ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชนี้ มีที่มาสืบเนื่องจาก ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๖ ที่มูลนิธิบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีได้เสนอให้การสนับสนุนแก่ มสธ. ในการจัดทำถาวรวัตถุเพื่อเฉลิมพระเกียรติ แต่โดยที่ในขณะนั้น มสธ. ยังไม่มีที่ทำการถาวร ต่อมาเมื่อ มสธ. ได้ย้ายมาอยู่ ณ ที่ตั้งปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๒๙  ได้เริ่มดำเนินการไปสู่การจัดตั้งห้องเอกสารพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยการให้สำนักบรรณสารสนเทศจัดทำบรรณานุกรมประกอบบรรณนิทัศน์เอกสาร จัดพิมพ์เผยแพร่โดยความสนับสนุนของมูลนิธิฯขึ้นก่อน เพื่อนำร่องการจัดหาเอกสารขึ้น ต่อมาได้จัดสรรพื้นที่ และได้ดำเนินการจัดสร้างห้องขึ้น ให้มีบรรยากาศสะท้อนให้เห็นถึงพระราชจริยวัตร แต่มีเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยไว้จัดเก็บและให้บริการหนังสือเอกสารและสารสนเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 
          ห้องนี้เป็นห้องสมุดเฉพาะที่จัดเก็บหนังสือเอกสารและให้บริการสารสนเทศเกี่ยวกับทั้งสองพระองค์และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสมัยรัชกาลที่ ๗  ในสำนักบรรณสารสนเทศ (หอสมุดกลาง) ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชนี้ มีที่มาสืบเนื่องจาก ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๖ ที่มูลนิธิบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีได้เสนอให้การสนับสนุนแก่ มสธ. ในการจัดทำถาวรวัตถุเพื่อเฉลิมพระเกียรติ แต่โดยที่ในขณะนั้น มสธ. ยังไม่มีที่ทำการถาวร ต่อมาเมื่อ มสธ. ได้ย้ายมาอยู่ ณ ที่ตั้งปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๒๙  ได้เริ่มดำเนินการไปสู่การจัดตั้งห้องเอกสารพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยการให้สำนักบรรณสารสนเทศจัดทำบรรณานุกรมประกอบบรรณนิทัศน์เอกสาร จัดพิมพ์เผยแพร่โดยความสนับสนุนของมูลนิธิฯขึ้นก่อน เพื่อนำร่องการจัดหาเอกสารขึ้น ต่อมาได้จัดสรรพื้นที่ และได้ดำเนินการจัดสร้างห้องขึ้น ให้มีบรรยากาศสะท้อนให้เห็นถึงพระราชจริยวัตร แต่มีเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยไว้จัดเก็บและให้บริการหนังสือเอกสารและสารสนเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 
บรรทัดที่ 134: บรรทัดที่ 112:
 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมงกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์มาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดในวันพุธที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๘
 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมงกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์มาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดในวันพุธที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๘


         
'''มูลนิธิประชาธิปก ''''''- รำไพพรรณี'''


 
          ที่ตั้ง : อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี ชั้น ๙ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร
 
'''          มูลนิธิประชาธิปก ''''''- รำไพพรรณี'''
 
          ที่ตั้ง : อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี ชั้น ๙ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร


          ด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปประทับเป็นส่วนใหญ่อยู่ที่สวนบ้านแก้วในจังหวัดจันทบุรี ตั้งแต่พ.ศ.๒๔๙๓ ถึง พ.ศ.๒๕๑๑ และได้ทรงสร้าง “ตึกประชาธิปก” ตึกผ่าตัดที่ทันสมัยพระราชทานโรงพยาบาลประจำจังหวัด ซึ่งคือโรงพยาบาลพระปกเกล้าในปัจจุบัน ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ในกิจการโรงพยาบาลและวิทยาลัยพยาบาล  ด้วยการพระราชทานทุนสนับสนุนโดยทรงใช้ชื่อว่า “ทุนประชาธิปก”         
          ด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปประทับเป็นส่วนใหญ่อยู่ที่สวนบ้านแก้วในจังหวัดจันทบุรี ตั้งแต่พ.ศ.๒๔๙๓ ถึง พ.ศ.๒๕๑๑ และได้ทรงสร้าง “ตึกประชาธิปก” ตึกผ่าตัดที่ทันสมัยพระราชทานโรงพยาบาลประจำจังหวัด ซึ่งคือโรงพยาบาลพระปกเกล้าในปัจจุบัน ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ในกิจการโรงพยาบาลและวิทยาลัยพยาบาล  ด้วยการพระราชทานทุนสนับสนุนโดยทรงใช้ชื่อว่า “ทุนประชาธิปก”         
บรรทัดที่ 150: บรรทัดที่ 124:
         
         


'''          มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพ''''''          พรรณี'''
'''มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพ''''''พรรณี'''


          ที่ตั้ง : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ถนนอู่ทองใน เขตดุสิต   กรุงเทพมหานคร
          ที่ตั้ง : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ถนนอู่ทองใน เขตดุสิต   กรุงเทพมหานคร


สืบเนื่องมาจากการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ คณะกรรมการอำนวยการสร้างฯซึ่งประธานรัฐสภาแต่งตั้ง จึงเห็นควรนำเงินส่วนที่เหลือมาจัดตั้งเป็นมูลนิธิ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสนองศรัทธาของประชาชนชาวไทยผู้บริจาคเป็นการสืบเนื่อง
สืบเนื่องมาจากการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ คณะกรรมการอำนวยการสร้างฯซึ่งประธานรัฐสภาแต่งตั้ง จึงเห็นควรนำเงินส่วนที่เหลือมาจัดตั้งเป็นมูลนิธิ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสนองศรัทธาของประชาชนชาวไทยผู้บริจาคเป็นการสืบเนื่อง
บรรทัดที่ 164: บรรทัดที่ 138:
'''          โรงพยาบาลพระปกเกล้า'''
'''          โรงพยาบาลพระปกเกล้า'''


          ที่ตั้ง : เลขที่ ๓๔ ถนนเลียบเมือง ตำบลวัดใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี
          ที่ตั้ง : เลขที่ ๓๔ ถนนเลียบเมือง ตำบลวัดใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี


โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี เดิมชื่อว่าโรงพยาบาลจันทบุรี โดยใน ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลวงนรินทร์ประสารทเวช (เจน สุนทโรทัย)  อดีตสาธารณสุขมณฑลจันทบุรี เป็นผู้ริเริ่ม[[#_ftn6|[6]]] และในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗  เมื่อครั้งเสด็จมาประทับ ณ สวนบ้านแก้ว จังหวัดจันทบุรี ได้ทรงตระหนักพระราชหฤทัยในกุศลจิตและดำริเป็นการสมควรที่จะสร้างอาคารและจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ในการรักษาพยาบาลเพิ่มมากขึ้น จึงทรงพยายามจัดหาทุนทรัพย์ใช้ในการก่อสร้าง ตึกศัลยกรรมพร้อมเครื่องมือทันสมัย โดยพระราชทานทุนส่วนพระองค์เป็นทุนส่วนใหญ่สำเร็จเป็น “ตึกประชาธิปก”
โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี เดิมชื่อว่าโรงพยาบาลจันทบุรี โดยใน ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลวงนรินทร์ประสารทเวช (เจน สุนทโรทัย)  อดีตสาธารณสุขมณฑลจันทบุรี เป็นผู้ริเริ่ม[6] และในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗  เมื่อครั้งเสด็จมาประทับ ณ สวนบ้านแก้ว จังหวัดจันทบุรี ได้ทรงตระหนักพระราชหฤทัยในกุศลจิตและดำริเป็นการสมควรที่จะสร้างอาคารและจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ในการรักษาพยาบาลเพิ่มมากขึ้น จึงทรงพยายามจัดหาทุนทรัพย์ใช้ในการก่อสร้าง ตึกศัลยกรรมพร้อมเครื่องมือทันสมัย โดยพระราชทานทุนส่วนพระองค์เป็นทุนส่วนใหญ่สำเร็จเป็น “ตึกประชาธิปก”


ด้วยพระราชจริยวัตรของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ รัฐบาลสมัยนั้นจึงสนองพระราชดำริโดยการปรับปรุงโรงพยาบาลให้มีขนาดใหญ่และทันสมัยยิ่งขึ้น และได้สร้างวิทยาลัยพยาบาลเพื่อเป็นศูนย์กลางของการศึกษาวิชาพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัยของภาคตะวันออกทั้งให้มีการเปลี่ยนนามโรงพยาบาลเป็น “โรงพยาบาลพระปกเกล้า” เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ได้ทรงรับโรงพยาบาลพระปกเกล้า และวิทยาลัยพยาบาลไว้ในพระราชินูปถัมภ์ และได้พระราชทานทุนในการดำเนินงานของโรงพยาบาลชื่อ “ทุนประชาธิปก” ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้พัฒนาขึ้นเป็น “มูลนิธิประชาธิปก” ในปีพ.ศ. ๒๕๑๘ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบำรุงโรงพยาบาลพระปกเกล้า วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า และวิทยาลัยครูจันทบุรี (มหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณีในปัจจุบัน)  ในการก่อสร้าง จัดซื้อวัสดุเครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนเป็นทุนการศึกษาของนักเรียนพยาบาลและนักศึกษาวิทยาลัยครูจันทบุรีที่เรียนดี มีความประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เงื่อนไขสำคัญของการรับทุนคือผู้รับทุนต้องกลับมาทำงานพัฒนาท้องถิ่นของตนต่อไป
ด้วยพระราชจริยวัตรของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ รัฐบาลสมัยนั้นจึงสนองพระราชดำริโดยการปรับปรุงโรงพยาบาลให้มีขนาดใหญ่และทันสมัยยิ่งขึ้น และได้สร้างวิทยาลัยพยาบาลเพื่อเป็นศูนย์กลางของการศึกษาวิชาพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัยของภาคตะวันออกทั้งให้มีการเปลี่ยนนามโรงพยาบาลเป็น “โรงพยาบาลพระปกเกล้า” เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ได้ทรงรับโรงพยาบาลพระปกเกล้า และวิทยาลัยพยาบาลไว้ในพระราชินูปถัมภ์ และได้พระราชทานทุนในการดำเนินงานของโรงพยาบาลชื่อ “ทุนประชาธิปก” ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้พัฒนาขึ้นเป็น “มูลนิธิประชาธิปก” ในปีพ.ศ. ๒๕๑๘ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบำรุงโรงพยาบาลพระปกเกล้า วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า และวิทยาลัยครูจันทบุรี (มหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณีในปัจจุบัน)  ในการก่อสร้าง จัดซื้อวัสดุเครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนเป็นทุนการศึกษาของนักเรียนพยาบาลและนักศึกษาวิทยาลัยครูจันทบุรีที่เรียนดี มีความประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เงื่อนไขสำคัญของการรับทุนคือผู้รับทุนต้องกลับมาทำงานพัฒนาท้องถิ่นของตนต่อไป
บรรทัดที่ 178: บรรทัดที่ 152:
'''          วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี'''
'''          วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี'''


&nbsp;วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพ-<br/> พรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ โดยทรงรับวิทยาลัยพยาบาลแห่งนี้ ไว้ในพระราชินูปถัมภ์ ตั้งแต่เปิดทำการในปี พ.ศ.๒๕๐๘ จนถึงเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๗ เริ่มทำการสอนครั้งแรก พ.ศ.๒๕๐๘ หลักสูตรพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัย ปัจจุบันมีโครงสร้างการบริหารงาน ตามแผนผัง[[#_ftn7|[7]]]
&nbsp;วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพ-<br/> พรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ โดยทรงรับวิทยาลัยพยาบาลแห่งนี้ ไว้ในพระราชินูปถัมภ์ ตั้งแต่เปิดทำการในปี พ.ศ.๒๕๐๘ จนถึงเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๗ เริ่มทำการสอนครั้งแรก พ.ศ.๒๕๐๘ หลักสูตรพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัย ปัจจุบันมีโครงสร้างการบริหารงาน ตามแผนผัง[7]


&nbsp;
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;
 
&nbsp;
 
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;


'''&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ตึกประชาธิปก&nbsp; ณ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี'''
'''&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ตึกประชาธิปก&nbsp; ณ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี'''


สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรที่ดินที่จังหวัดจันทบุรีและ<br/> ระหว่างทรงช่วยข้าราชบริพารเตรียมพระกระยาหารและทรงทำมีดบาดพระดัชนีเป็นรอยแผล จึงเสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงพยาบาลประจำจังหวัด และทราบด้วยพระองค์เองว่าโรงพยาบาลจังหวัดจันทบุรีในขณะนั้นเป็นเพียงอาคารขนาดเล็กและยากไร้ด้วยเครื่องมือแพทย์&nbsp; จึงโปรดเกล้า ฯ ให้จัดการแสดงละครในพระราชินูปถัมภ์เพื่อจัดหาทุนก่อสร้างตึกผ่าตัดให้แก่โรงพยาบาล เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จในพ.ศ. ๒๔๙๗ ได้พระราชทานนามตึกหลังนี้ว่า “ตึกประชาธิปก” และพระราชทานตราศักดิเดชน์ ซึ่งเป็นตราประจำพระองค์สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ อันเป็นพระนามเดิมของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เป็นตราประจำตึกและพระบรมรูปหล่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ประดิษฐานที่ห้องโถงของตึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงกระทำพิธีเปิดแพรคลุมป้าย เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙[[#_ftn8|[8]]]
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรที่ดินที่จังหวัดจันทบุรีและ<br/> ระหว่างทรงช่วยข้าราชบริพารเตรียมพระกระยาหารและทรงทำมีดบาดพระดัชนีเป็นรอยแผล จึงเสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงพยาบาลประจำจังหวัด และทราบด้วยพระองค์เองว่าโรงพยาบาลจังหวัดจันทบุรีในขณะนั้นเป็นเพียงอาคารขนาดเล็กและยากไร้ด้วยเครื่องมือแพทย์&nbsp; จึงโปรดเกล้า ฯ ให้จัดการแสดงละครในพระราชินูปถัมภ์เพื่อจัดหาทุนก่อสร้างตึกผ่าตัดให้แก่โรงพยาบาล เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จในพ.ศ. ๒๔๙๗ ได้พระราชทานนามตึกหลังนี้ว่า “ตึกประชาธิปก” และพระราชทานตราศักดิเดชน์ ซึ่งเป็นตราประจำพระองค์สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ อันเป็นพระนามเดิมของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เป็นตราประจำตึกและพระบรมรูปหล่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ประดิษฐานที่ห้องโถงของตึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงกระทำพิธีเปิดแพรคลุมป้าย เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙[8]


&nbsp;
&nbsp;
บรรทัดที่ 212: บรรทัดที่ 182:
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เป็นอาคารสูง ๔ ชั้น ตั้งอยู่ในบริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรุงเทพมหานคร '''เป็นสถานที่ปฏิบัติงาน'''ของ กองจักษุกรรม ภาควิชาจักษุวิทยา &nbsp;โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ให้บริการผู้ป่วยโรคตา มีห้องผ่าตัดตา หอผู้ป่วยพิเศษตา &nbsp;&nbsp;อาคารนี้คุณหญิง มณี สิริวรสาร พันเอกนายแพทย์ ปชา สิริวรสาร หม่อมราชวงศ์ เดชนศักดิ์ ศักดิเดชน์ ภานุพันธุ์ หม่อมราชวงศ์ ทินศักดิ์ ศักดิเดชน์ ภานุพันธุ์ รวมทั้งผู้บริจาคอื่นๆ ร่วมกันสมทบทุนสร้างน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว&nbsp; และได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำพระนาม&nbsp; "ศักดิเดชน์" มาใช้เป็นชื่ออาคารพร้อมอัญเชิญตราพระจำพระองค์มาประดิษฐาน ณ อาคารหลังนี้ด้วย&nbsp;
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เป็นอาคารสูง ๔ ชั้น ตั้งอยู่ในบริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรุงเทพมหานคร '''เป็นสถานที่ปฏิบัติงาน'''ของ กองจักษุกรรม ภาควิชาจักษุวิทยา &nbsp;โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ให้บริการผู้ป่วยโรคตา มีห้องผ่าตัดตา หอผู้ป่วยพิเศษตา &nbsp;&nbsp;อาคารนี้คุณหญิง มณี สิริวรสาร พันเอกนายแพทย์ ปชา สิริวรสาร หม่อมราชวงศ์ เดชนศักดิ์ ศักดิเดชน์ ภานุพันธุ์ หม่อมราชวงศ์ ทินศักดิ์ ศักดิเดชน์ ภานุพันธุ์ รวมทั้งผู้บริจาคอื่นๆ ร่วมกันสมทบทุนสร้างน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว&nbsp; และได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำพระนาม&nbsp; "ศักดิเดชน์" มาใช้เป็นชื่ออาคารพร้อมอัญเชิญตราพระจำพระองค์มาประดิษฐาน ณ อาคารหลังนี้ด้วย&nbsp;


ตึกศักดิ์เดชน์ เปิดวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๔ โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก[http://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี_พระบรมราชินี สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี]&nbsp;เสด็จฯ ทรงทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ[[#_ftn9|[9]]]
ตึกศักดิ์เดชน์ เปิดวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๔ โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี&nbsp;เสด็จฯ ทรงทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ[9]


&nbsp;
&nbsp;


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; [http://th.wikipedia.org/wiki/พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว '''พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว''']
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; '''พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว'''


สืบเนื่องมาจากการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒&nbsp; การนี้อดีตประธานรัฐสภา พลอากาศเอก หะริน หงสกุล ได้ดำริว่าสมควรจะใช้ห้องใต้ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ที่อยู่บริเวณด้านหน้าอาคารสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จัดสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์เผยแพร่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้เป็นสถานที่ซึ่งประชาชนผู้มีส่วนบริจาคเงินสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์จะได้ทราบ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงทราบ&nbsp; พระองค์จึงได้พระราชทานสิ่งของส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมาเพื่อจัดแสดง ณ ห้องใต้ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์&nbsp; ดำเนินการโดยสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา
สืบเนื่องมาจากการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒&nbsp; การนี้อดีตประธานรัฐสภา พลอากาศเอก หะริน หงสกุล ได้ดำริว่าสมควรจะใช้ห้องใต้ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ที่อยู่บริเวณด้านหน้าอาคารสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จัดสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์เผยแพร่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้เป็นสถานที่ซึ่งประชาชนผู้มีส่วนบริจาคเงินสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์จะได้ทราบ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงทราบ&nbsp; พระองค์จึงได้พระราชทานสิ่งของส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมาเพื่อจัดแสดง ณ ห้องใต้ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์&nbsp; ดำเนินการโดยสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา


[http://th.wikipedia.org/wiki/พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว] เปิดบริการครั้งแรก ในงานพิธีเปิดพระบรม<br/> ราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๔๑ ตามพระราชบัญญัติสถาบันพระปกเกล้า พ.ศ. ๒๕๔๑ &nbsp;ซึ่งมีการจัดตั้งสถาบันพระปกเกล้าขึ้นมีมาตราหนึ่งกำหนดให้โอนงานในส่วนของพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไปอยู่ในความรับผิดชอบของสถาบันพระปกเกล้า ต่อมาสถาบันพระปกเกล้าได้รับมอบสิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์มาจัดแสดง ณ อาคารอนุรักษ์ เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เขตป้อมปราบ กรุงเทพมหานคร&nbsp; ซึ่งสถาบันพระปกเกล้าได้บูรณะเพื่อจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เปิดบริการครั้งแรก ในงานพิธีเปิดพระบรม<br/> ราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๔๑ ตามพระราชบัญญัติสถาบันพระปกเกล้า พ.ศ. ๒๕๔๑ &nbsp;ซึ่งมีการจัดตั้งสถาบันพระปกเกล้าขึ้นมีมาตราหนึ่งกำหนดให้โอนงานในส่วนของพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไปอยู่ในความรับผิดชอบของสถาบันพระปกเกล้า ต่อมาสถาบันพระปกเกล้าได้รับมอบสิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์มาจัดแสดง ณ อาคารอนุรักษ์ เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เขตป้อมปราบ กรุงเทพมหานคร&nbsp; ซึ่งสถาบันพระปกเกล้าได้บูรณะเพื่อจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์


ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในสังกัดใหม่และสถานที่ใหม่นี้ จัดแสดงนิทรรศการถาวรพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ชั้น ๒ และ ๓ และนิทรรศการถาวรสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ที่ชั้น ๑ และศูนย์ข้อมูลพระปกเกล้าศึกษาให้บริการอยู่ที่ชั้นล่าง อาคารรำไพพรรณีด้านหลัง
ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในสังกัดใหม่และสถานที่ใหม่นี้ จัดแสดงนิทรรศการถาวรพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ชั้น ๒ และ ๓ และนิทรรศการถาวรสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ที่ชั้น ๑ และศูนย์ข้อมูลพระปกเกล้าศึกษาให้บริการอยู่ที่ชั้นล่าง อาคารรำไพพรรณีด้านหลัง
บรรทัดที่ 275: บรรทัดที่ 245:


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อมระหว่างถนนจรัญสนิทวงศ์ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี กับ ถนนวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร สะพานนี้เป็นสะพานแบบคอนกรีตอัดแรงชนิดต่อเนื่อง มีช่องทางรถวิ่งจำนวน ๖ ช่องทางจราจร เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕&nbsp; &nbsp;เชื่อว่า สะพานพระราม ๗ เพราะอู่คู่ขนานกับสะพานพระราม ๖ สะพานรถไฟวิ่งซึ่งเริ่มสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๖ แต่สร้างเสร็จในสมัยรัชการที่ ๗ โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อและเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙ (พ.ศ. ๒๔๗๐ นับตามปฏิทินปัจจุบัน)
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อมระหว่างถนนจรัญสนิทวงศ์ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี กับ ถนนวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร สะพานนี้เป็นสะพานแบบคอนกรีตอัดแรงชนิดต่อเนื่อง มีช่องทางรถวิ่งจำนวน ๖ ช่องทางจราจร เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕&nbsp; &nbsp;เชื่อว่า สะพานพระราม ๗ เพราะอู่คู่ขนานกับสะพานพระราม ๖ สะพานรถไฟวิ่งซึ่งเริ่มสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๖ แต่สร้างเสร็จในสมัยรัชการที่ ๗ โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อและเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙ (พ.ศ. ๒๔๗๐ นับตามปฏิทินปัจจุบัน)
&nbsp;
&nbsp;
&nbsp;


= '''บรรณานุกรม''' =
= '''บรรณานุกรม''' =
บรรทัดที่ 296: บรรทัดที่ 260:
ราชภัฏรำไพพรรณี,มหาวิทยาลัย: ๒๕๔๓ ''พระมิ่งขวัญรำไพพรรณี.'' กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้งแอนด์พับลิซซิ่ง.
ราชภัฏรำไพพรรณี,มหาวิทยาลัย: ๒๕๔๓ ''พระมิ่งขวัญรำไพพรรณี.'' กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้งแอนด์พับลิซซิ่ง.


พระปกเกล้า,โรงพยาบาล. ๒๕๕๕. ''๗๒ ปี โรงพยาบาลพระปกเกล้า'': กรุงเทพฯ : จามจุรีโปรดักท์.
พระปกเกล้า,โรงพยาบาล. ๒๕๕๕. ''๗๒ ปี โรงพยาบาลพระปกเกล้า'': กรุงเทพฯ&nbsp;: จามจุรีโปรดักท์.


หะริน หงสกุล, พลอากาศเอก ''พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในที่ระลึก ใน<br/> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; โอกาสอายุครบ ๖ รอบ''''.'' กรุงเทพฯ: กองทัพอากาศ, ๒๕๒๙.
หะริน หงสกุล, พลอากาศเอก ''พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในที่ระลึก ใน<br/> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; โอกาสอายุครบ ๖ รอบ''''.'''''<b>กรุงเทพฯ: กองทัพอากาศ, ๒๕๒๙.</b>


สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.). (๒๕๕๓). ''พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) พระผู้ทรงวางรากฐานระบบข้าราชการพลเรือน.'' กรุงเทพฯ: แอร์บอน พรินต์.
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.). (๒๕๕๓). ''พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) พระผู้ทรงวางรากฐานระบบข้าราชการพลเรือน.'' กรุงเทพฯ: แอร์บอน พรินต์.


อัษฎา ตียพันธ์,รองศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์ (๒๕๕๕). ''๗๒ ปี โรงพยาบาลพระปกเกล้า.'' กรุงเทพฯ: จามจุรีโปรดักท์.
อัษฎา ตียพันธ์,รองศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์ (๒๕๕๕). ''๗๒ ปี โรงพยาบาลพระปกเกล้า.'' กรุงเทพฯ: จามจุรีโปรดักท์.
<div>&nbsp;
<div>อ้างอิง
----
----
<div id="ftn1">
<div id="ftn1">
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; [1] หะริน หงสกุล, พลอากาศเอก ''พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในที่ระลึก ในโอกาสอายุครบ ๖ รอบ''''.'' กรุงเทพฯ: กองทัพอากาศ, ๒๕๒๙.
&nbsp;[1] หะริน หงสกุล, พลอากาศเอก ''พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในที่ระลึก ในโอกาสอายุครบ ๖ รอบ''''.'''''<b>กรุงเทพฯ: กองทัพอากาศ, ๒๕๒๙.</b>
</div> <div id="ftn2">
</div> <div id="ftn2">
[[#_ftnref2|[2]]] หะริน หงสกุล, พลอากาศเอก ''พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในที่ระลึก ในโอกาสอายุครบ ๖ รอบ''''.'' กรุงเทพฯ: กองทัพอากาศ, ๒๕๒๙. หน้า 144.
[2] หะริน หงสกุล, พลอากาศเอก ''พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในที่ระลึก ในโอกาสอายุครบ ๖ รอบ''''.'''''<b>กรุงเทพฯ: กองทัพอากาศ, ๒๕๒๙. หน้า 144.</b>
</div> <div id="ftn3">
</div> <div id="ftn3">
[[#_ftnref3|[3]]] มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี. รายงานประจำปี ๒๕๔๔.
[3] มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี. รายงานประจำปี ๒๕๔๔.
</div> <div id="ftn4">
</div> <div id="ftn4">
[[#_ftnref4|[4]]] มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี.รายงานประจำปี ๒๕๔๔.
[4] มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี.รายงานประจำปี ๒๕๔๔.
</div> <div id="ftn5">
</div> <div id="ftn5">
[[#_ftnref5|[5]]] โปรดศึกษาเรื่อง มูลนิธิประชาธิปก – รำไพพรรณี เพิ่มเติม
[5] โปรดศึกษาเรื่อง มูลนิธิประชาธิปก – รำไพพรรณี เพิ่มเติม
</div> <div id="ftn6">
</div> <div id="ftn6">
[[#_ftnref6|[6]]] ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา กองการศึกษา วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า. (๒๕๕๘ ก.พ. ๒๔). ww.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html. เรียกใช้เมื่อ ๒๔ ก.พ. ๒๕๕๘ จาก www.entpmk.pmk.ac.th: www.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html.
[6] ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา กองการศึกษา วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า. (๒๕๕๘ ก.พ. ๒๔). ww.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html. เรียกใช้เมื่อ ๒๔ ก.พ. ๒๕๕๘ จาก www.entpmk.pmk.ac.th: www.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html.
</div> <div id="ftn7">
</div> <div id="ftn7">
[[#_ftnref7|[7]]] ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา กองการศึกษา วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า. (๒๕๕๘ ก.พ. ๒๔). ww.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html. เรียกใช้เมื่อ ๒๔ ก.พ. ๒๕๕๘ จาก www.entpmk.pmk.ac.th: www.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html.
[7] ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา กองการศึกษา วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า. (๒๕๕๘ ก.พ. ๒๔). ww.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html. เรียกใช้เมื่อ ๒๔ ก.พ. ๒๕๕๘ จาก www.entpmk.pmk.ac.th: www.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html.
</div> <div id="ftn8">
</div> <div id="ftn8">
[[#_ftnref8|[8]]]พระปกเกล้า,โรงพยาบาล. ๒๕๕๕. ''๗๒ ปี โรงพยาบาลพระปกเกล้า'': กรุงเทพฯ : จามจุรีโปรดักท์, หน้า ๑๓๐.
[8]พระปกเกล้า,โรงพยาบาล. ๒๕๕๕. ''๗๒ ปี โรงพยาบาลพระปกเกล้า'': กรุงเทพฯ&nbsp;: จามจุรีโปรดักท์, หน้า ๑๓๐.
</div> <div id="ftn9">
</div> <div id="ftn9">
[[#_ftnref9|[9]]] ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา กองการศึกษา วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า. (๒๕๕๘ ก.พ. ๒๔). ww.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html. เรียกใช้เมื่อ ๒๔ ก.พ. ๒๕๕๘ จาก www.entpmk.pmk.ac.th: www.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html.
[9] ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา กองการศึกษา วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า. (๒๕๕๘ ก.พ. ๒๔). ww.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html. เรียกใช้เมื่อ ๒๔ ก.พ. ๒๕๕๘ จาก www.entpmk.pmk.ac.th: www.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html.
</div> </div>
</div> </div>

รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:24, 22 มีนาคม 2560

ผู้เรียบเรียง : ภาพิศุทธิ์ สายจำปา

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์

ด้วยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนจึงมีพระบรมราชานุสรณ์หลายอย่างหลายประเภทเกิดขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ  อาทิ พระบรมราชานุสาวรีย์ สถาบัน อาคาร สถานที่ ถนน และสะพานเป็นต้น ในที่นี้จะเรียงประเภทตามที่กล่าวมาและในแต่ละประเภทเรียงตามลำดับการจัดสร้าง

 

พระบรมราชานุสาวรีย์

 พระบรมราชานุสาวรีย์  หมายความถึงว่า  อนุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ผู้ซึ่งได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเป็นคุณยิ่งใหญ่แก่ชาติไทยในยุคสมัยต่าง ๆ ตามที่มีเรื่องราว หรือพระนามปรากฏในเอกสาร หรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี  เป็นสิ่งที่รัฐบาล หน่วยงานภาครัฐ เอกชนและประชาชน สร้างขึ้นด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และประดิษฐานไว้ในที่สาธารณะ หรือ ณ ที่ซึ่งเปิดให้มหาชนสักการะบูชาและชมได้ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ สถานที่ต่างๆ ในประเทศไทย มีดังนี้

 

          พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ อาคารรัฐสภา ถนนอู่ทองใน เขต     ดุสิต กรุงเทพมหานคร

ด้วยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสละพระราชอำนาจในการปกครองแผ่นดินให้แก่ราษฎรทั้งหลาย และได้พระราชทานรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เปิดโอกาสสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาในสยามประเทศ นับได้ว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีส่วนสำคัญในการจรรโลงประวัติศาสตร์อันสำคัญยิ่งของประเทศไทย  ๓๗ ปี ต่อมา เมื่อจะมีการสร้างอาคารรัฐสภา บนพื้นที่ในบริเวณพระราชวังดุสิตถัดจากพระที่นั่งอนันตสมาคม ถัดจากพระที่นั่งอนันตสมาคมไปทางทิศเหนือ ซึ่งใน พ.ศ. ๒๕๑๕ ถึง ๒๕๑๔ รัฐสภาได้เสนอความคิดว่าควรมีพระบรมราชาสาวรีย์ไว้ที่หน้าอาคารหลังใหม่นั้นต่อคณะรัฐมนตรี หากแต่ว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอีกหลายปีได้เกิดเหตุการณ์ผันผวนทางการเมืองการปกครองเป็นระลอก ส่งผลเป็นความชะงักงันและติดขัดในการดำเนินการ แม้ว่าจะได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต และได้เริ่มเรี่ยไรเงินเพื่อสมทบกับงบประมาณแผ่นดินในการสร้างแล้วก็ตาม จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๒๐ ประธานรัฐสภาคนใหม่ คือ พลอากาศเอกหะริน หงสกุล ได้มีความแข็งขันในการผลักดันโดยการกราบบังคมทูลขอและได้รับพระบรมราชานุญาตเป็นคำรบสอง ของบประมาณให้เป็นที่แน่นอน และเรี่ยไรเงินอีกครั้งจนหาทุนได้เพียงพอ จึงได้เดินหน้าออกแบบพระบรมรูปและปรับพื้นที่ประดิษฐาน เมื่อปั้นหุ่นจำลองแล้ว สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ ได้เสด็จพระราชดำเนินในยามที่ทรงพระชราไปที่โรงหล่อที่บริเวณรัฐสภาเพื่อทอดพระเนตรและทรงติชม[1]

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเททองหล่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ณ สำนักงานเลขาธิการรัฐสภาเมื่อวันเสาร์ที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๒   และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ ในวันที่๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๓  ในวันที่ ๑๐ ธันวาคมของทุกปีจะมีพิธีวางพานพุ่มถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  เนื่องในวันรัฐธรรมนูญและในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ของทุกปี มีพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าวันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อเป็ฯการเทิดพระเกียรติยิ่งขึ้น

 

          รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ : พระบรมราชานุสาวรีย์นี้มีขนาดหนึ่งเท่าครึ่งพระองค์จริง ทรงเครื่องพระบรมราชภูษิตาภรณ์ฉลองพระองค์ครุย สวมพระชฎามหากฐินปักขนนกการเวก เสด็จประทับเหนือพระที่นั่งพุดตาลกาญจนสิงหาสน์ พระหัตถ์วางเหนือพระเพลาทั้งสองข้าง ไม่มีฉากหลัง ฐานแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์ด้านหน้าปรากฏรอยจารึกลายพระราชหัตถเลขาทรงสละราชสมบัติบางส่วนพร้อมพระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ออกแบบปั้นโดยนาวาเอกสมภพ ภิรมย์  มีนายสาโรช จารักษ์ ประติมากรกองหัตถ์ศิลป์ (ในสมัยนั้น) นายสนั่น ศิลากรณ์ ผู้ปั้นพระบรมรูป นายประเทือง ธรรมรักษ์ ผู้ปั้นพระที่นั่งพุดตาลกาญจนสิงหาสน์ ม.ร.ว. จักรรถ  จิตรพงศ์ เป็นผู้ออกแบบฐานและบริเวณโดยรอบ[2] และควบคุมการปั้นโดยกรมศิลปากร[3]

พระบรมราชานุสาวรีย์นี้นับเป็นแห่งแรกที่มีการสร้างและถือได้ว่าเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ระดับชาติด้วย สร้างขึ้นโดยรัฐสภาจากเงินงบประมาณแผ่นดินและเงินบริจาคของประชาชน

          พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานเกียกกาย ถนนทหาร กรุงเทพมหานคร

กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว   และด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีต่อทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ด้วยขณะที่ทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ทรงรับราชการเป็นนายทหารเหล่าปืนใหญ่และผู้บังคับกองร้อยที่ ๒ กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ ตามลำดับ พื้นที่ตั้งหน่วยทหารนี้ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน

พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานแห่งนี้ เริ่มดำเนินการสร้างขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๒๘ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเททองหล่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๙ และในวันที่ ๖ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ประกอบพิธีเปิดตามลำดับ

          รูปแบบและรายละเอียดเชิงศิลปะ: เป็นพระรูปหล่อโลหะสัมฤทธิ์รมดำ ขนาดเท่าครึ่งพระองค์จริงประทับยืนในท่าพัก ฉลองพระองค์เครื่องแบบนายทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์เต็มยศ  พระหัตถ์ขวาทรงพระคทา พระหัตถ์ซ้ายทรงพระแสงกระบี่ ฉากหลังเป็นกำแพงโค้งหินอ่อนสง่าสวยงาม พระแท่นด้านหน้าปรากฏแผ่นจารึกประพระราชประวัติแบบย่อพร้อมที่มาของพระบรมราชานุสาวรีย์

         

'พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 'จังหวัดนนทบุรี

พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวประดิษฐานอยู่หน้าศาลาพุ่มข้าวบิณฑ์ในบริเวณ  อุทยานการศึกษารัชมังคลาภิเษก มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ทรงเปิดเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๖ เนื่องในโอกาสครบ ๑๐๐ ปี วันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกเสด็จเป็นประธานในพิธีเททองหล่อพระบรมรูป เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๖

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชซึ่งมีนามอันเนื่องมาจากพระนามทรงกรม “สุโขทัยธรรมราชา”สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์นี้ขึ้น เพื่อเทิดพระเกียรติและเป็นปูชนียสถานสำหรับข้าราชการ ประชาชนได้สักการะบูชาเพื่อรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นของพระองค์

รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ:  วัสดุที่ใช้หล่อพระรูปคือ โลหะสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความคงทนถาวรยาวนานตลอดจนง่ายต่อการบำรุงรักษา ขนาดสองเท่าของพระองค์จริง ในพระอิริยาบทยืน ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูติตาภรณ์  ทรงฉลองพระองค์ครุย ทรงพระมาลาเส้าสูงปักขนนกการเวก ทรงพระมหาสังวาลนพรัตน์และสังวาลพระนพ (เฉียงจากขวาไปซ้าย) ทรงคาดสายรัดพระองค์นพรัตน์ ทรงถือพระแสงดาบฝักทองเกลี้ยงและทรงพระภูษาทับสนับเชิงงอน ทรงเครื่องเต็มยศอย่างโบราณราชประเพณี  ฉากหลังเป็นอาคารสัญลักษณ์ศาลาพุ่มข้าวบิณฑ์ ฐานแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์จารึกพระราชประวัติและประวัติชื่อของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ สวนพฤกษชาติ เหมืองแม่เมาะ '''' อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงประกอบพิธีเปิดพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๙ ซึ่งเริ่มดำเนินการสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๕ โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย  เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยในรัชกาลของพระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการให้สงวนบ่อถ่านศิลา (หรือเหมืองแร่) ที่มีอยู่ในประเทศไว้เพื่อทางราชการ ยังผลให้เหมืองแม่เมาะมีถ่านหินไว้ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อประโยชน์แก่ประเทศไทยในปัจจุบัน

          รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ: พระบรมรูปหล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์  ขนาดสองเท่าของพระองค์จริง ประทับนั่งบนพระเก้าอี้ ทอดพระเนตรไปทางทิศเหนือ ในฉลองพระองค์ชุดลำลอง  พระมาลาแบบสากลวางที่พระเพลา  ไม่มีฉากหลัง  ภูมิทัศน์หลังเป็นภูเขาไม้ แท่นหินประดิษฐานมีแผ่นทองเหลืองจารึกพระราชหัตเลขาที่ทรงลงพระปรมาภิไธยเกี่ยวเนื่องกับการเหมืองแร่ให้สงวนบ่อถ่านศิลาเพื่อกิจการของประเทศ

          พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว 'ณ สวนสาธารณะเขาหินเหล็ก ไฟ '          จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

เทศบาลตำบล หัวหิน สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ทรงคุณูปการต่อการพัฒนาท้องถิ่นหัวหิน โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา “พระราชบัญญัติการจัดบำรุงสถานที่ชายทะเลทิศตะวันตก พุทธศักราช ๒๔๖๙” เพื่อจัดตั้งองค์กรนำร่องการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาล เป็นรากฐานของการจัดตั้งเทศบาลตำบลหัวหินในเวลาต่อมา

พระบรมราชานุสาวรีย์นี้ เริ่มเตรียมการ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๔  หยุดชะงักไประยะหนึ่ง และเริ่มใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ.๒๕๓๐ ได้รับพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้างได้ในปี พ.ศ.๒๕๓๗ พระวรวงศ์เธอ พระพระองค์เจ้าสุธสิริโสภา เสด็จเป็นประธานพิธีวางศิลาฤกษ์พระแท่น เมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๙ และมีพิธีอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์ขึ้นประดิษฐาน เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๔ 

หากมองจากสนามกอล์ฟหลวงหัวหิน ริมแฟร์เวย์ด้านทิศตะวันตก แล้วแหงนหน้าขึ้นมองข้างบน จะเห็นเขาหินเล็กไฟ ซึ่งประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์นี้อยุ่เบื้องหน้า[4]

          รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ : พระบรมรูปหล่อโลหะ โดยช่างกรมศิลปากร  ขนาดเท่าครึ่งของพระองค์จริง พระอิริยาบทยืนบนพระแท่น ทรงชุดทหารบก ผินพระพักตร์ไปทางซ้ายเล็กน้อย คล้ายทอดพระเนตรไปยัง สวนไกลกังวล (วังไกลกังวล) ที่ทรงสร้างและทรงใช้เป็นที่แปรพระราชฐานมาประทับในรัชกาล ฉากหลังเป็นทัศนียภาพของป่าที่สวยงาม

 

       '   พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัด'จันทบุรี

หลังจากที่ได้สร้างอาคารประชาธิปกศักดิเดชน์แล้ว  คณะกรรมการการบริหารโรงพยาบาลพระปกเกล้าได้มีมติเห็นชอบให้จัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นที่หน้าอาคารนั้น[5] และเมื่อได้รับความเห็นชอบจากกรมศิลปากรในปี พ.ศ.๒๕๓๘แล้ว จึงได้เริ่มการปั้นและหล่อพระบรมรูปเสร็จเสร็จในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๓ ต่อมาในวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๕  มีพิธีอัญเชิญพระบรมรูปขึ้นสู่แท่นประทับ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑

พระบรมราชานุสาวรีย์ตั้งอยู่ที่หน้าอาคารประชาธิปกศักดิเดชน์ บนลานแกรนิตยกสูงจากพื้นอย่างสง่างาม งานภูมิสถาปัตยกรรมจัดวางอย่างลงตัวและสมพระเกียรติยิ่ง เบื้องหลังล้อมไปด้วยต้นลีลาวดีที่สมบูรณ์ทั้งดอกสีขาวและใบ  ส่งผลให้ทัศนียภาพที่ฉากหลังเป็นอาคาร ประชาธิปกศักดิเดชน์ สวยงามยิ่งขึ้น   ด้านหน้าของพระบรมราชานุสาวรีย์คือสวนสาธารณะจังหวัดอันสวยงาม มีสระน้ำขนาดใหญ่ ร่มไม้นานาพรรณและบ้านเมือง ประดุจดั่งพระองค์ทอดพระเนตรทุกข์สุขของประชาชนอยู่เสมอ

ในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ของทุกปี ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนจะร่วมกันจัดพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะเพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

          รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ : พระบรมรูปหล่อด้วยโลหะ มีพันโทนภดล สุวรรณสมบัติ ประติมากร สถาบันศิลปกรรม กรมศิลปากรเป็นผู้ปั้น องค์พระบรมรูปมีขนาดสองเท่าของพระองค์จริง ประทับในพระอิริยาบถยืน ฉลองพระองค์จอมทัพไทย พระหัตถ์ถือกระบี่ พระพักตร์ตรง ประดิษฐานเด่นสง่าบนพื้นแกรนิตและหินอ่อน

 

          พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว 'ณ  สำนักงาน ก.พ. ตำบลตลาด'  ขวัญ อำเภอเมือง นนทบุรี

ด้วยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวางรากฐานระบบข้าราชการพลเรือน ปรากฏหลักฐานเด่นชัด ว่าในวันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำริว่าสมควรที่จะวางระเบียบข้าราชการพลเรือน  ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพได้ทรงสนองพระราชดำริด้วยการทรงเรียบเรียงระเบียบข้าราชการพลเรือน ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เป็นที่มาของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๑

ต่อมาได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เมื่อวันที่ ๒๕ ซึ่งเป็นวาระครบรอบ ๘๐ ปี ของการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๑ นายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือ (ก.พ.) ในขณะนั้นจึงได้พิจารณาเห็นว่าสำนักงาน ก.พ. ซึ่งเป็นองค์กรกลางในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลในราชการพลเรือน สมควรดำเนินการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ประดิษฐานภายในสำนักงาน ก.พ. จังหวัดนนทบุรี โดยวันพุธที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒ คณะโหรพราหมณ์จากฝ่ายพราหมณ์กองพระราชพิธีเป็นผู้ดำเนินการประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์   นายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการ ก.พ. ในขณะนั้นเป็นประธานในพิธี และได้อัญเชิญพระบรมรูปขึ้นประดิษฐานยังแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

          รูปแบบรายละเอียดเชิงศิลปะ :  สำนักงาน ก.พ. ได้ใช้พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นต้นแบบในการหล่อพระรูปด้วยโลหะสัมฤทธิ์มีขนาดหนึ่งเท่าครึ่งของพระองค์จริงประทับในในพระอิริยาบถยืน ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ทรงฉลองพระองค์ครุย ทรงพระมาลาเส้าสูงปักขนนกการเวก ทรงพระมหาสังวาลนพรัตน์และสังวาลพระนพ (เฉียงจากขวาไปซ้าย) ทรงคาดสายรัดพระองค์นพรัตน์ ทรงถือพระแสงดาบฝักทองเกลี้ยงและทรงพระภูษาทับสนับเชิงงอน แท่นฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ออกแบบให้สามารถเห็นพระบรมราชานุสาวรีย์ ที่ประดิษฐานโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงบริเวณกลางพื้นที่ บริเวณแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์มีแผ่นจารึกเฉลิมพระเกียรติ ลานพระบรมรูปราชานุสาวรีย์เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กปูหินแกรนิต

พลอากาศตรี อาวุธ เงินชูกลิ่น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปกรรมสถาปัตยกรรม (สถาปัตยกรรมไทย) พุทธศักราช ๒๕๔๐ เป็นที่ปรึกษาและได้มอบหมายให้นางวงขวัญ อุตตะมะ และนายพีระพงษ์ พีระสมบัติ จากกรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบ 

สถาบัน อาคารสถานที่

          มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

          ที่ตั้ง : ๙/๙  หมู่ ๙ ตำบล บางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ๑๑๑๒๐ โทรศัพท์ :๐ ๒๕๐๔ ๗๗๗๗  เวบไซต์ : http://www.stou.ac.th

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นมหาวิทยาลัยเปิดโดยใช้ระบบการศึกษาทางไกล และโดยที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินพระบรมราโชบายขยายโอกาสทางการศึกษาทั้งโดยการเร่งรัดการจัดการศึกษาภาคบังคับ การยกเลิกการเก็บเงินค่าศึกษาพลี และการยกระดับมหาวิทยาลัยให้ประสาทปริญญาได้ ตลอดจนมีพระราชหฤทัยใส่ในการวิทยุกระจายเสียงและการภาพยนตร์  มหาวิทยาลัยจึงประสงค์ที่จะเทิดพระเกียรติว่าได้ทรงวางรากฐานการศึกษาทางไกลในระดับมหาวิทยาลัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อมหาวิทยาลัยว่า “สุโขทัยธรรมาธิราช”  คล้ายพระนามกรมเดิมตามพระนามเดิมของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ "กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา" นอกจากนี้ ยังพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระราชลัญจกรในรัชกาลที่ ๗  มาประกอบกับรูปเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศิลปะสุโขทัยเป็นตราเครื่องหมายประจำมหาวิทยาลัยและใช้สีเขียวทองเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย ด้วยสีเขียวเป็นสีประจำวันพุธ วันพระราชสมภพในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

เมื่อวันที่ ๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๒๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงลงพระปรมาภิไธย ในพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยจึงกำหนดวันที่ ๕ กันยายน ของทุกปีเป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัย

 

          สถาบันพระปกเกล้า

          ที่ตั้ง :ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐พรรษา แขวงทุ่งสองห้อง ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ๑๐๒๑๐ โทรศัพท์ : ๐๒ ๑๔๑ ๙๖๐๐ เว็บไซต์ : http://www.kpi.ac.th/

สถาบันพระปกเกล้ามีฐานะเป็นนิติบุคคลในการกำกับดูแลของรัฐสภาเป็นสถาบันทางวิชาการ เผยแพร่ความรู้ด้านการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสู่ประชาชน ตามประกาศใช้พระราชบัญญัติสถาบันพระปกเกล้า พ.ศ. ๒๕๔๑   

เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรัฐธรรมนูญ แก่ปวงชนชาวไทย เป็นมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงแก่การพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทย สถาบันพระปกเกล้าจึงได้รับพระราชทาน พระบรมราชานุญาตอัญเชิญพระนามของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมาเป็นชื่อของสถาบัน 

 

          ห้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ณ       สำนักบรรณสารสนเทศ ชั้น ๒  มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จังหวัดนนทบุรี

          ห้องนี้เป็นห้องสมุดเฉพาะที่จัดเก็บหนังสือเอกสารและให้บริการสารสนเทศเกี่ยวกับทั้งสองพระองค์และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสมัยรัชกาลที่ ๗  ในสำนักบรรณสารสนเทศ (หอสมุดกลาง) ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชนี้ มีที่มาสืบเนื่องจาก ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๖ ที่มูลนิธิบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีได้เสนอให้การสนับสนุนแก่ มสธ. ในการจัดทำถาวรวัตถุเพื่อเฉลิมพระเกียรติ แต่โดยที่ในขณะนั้น มสธ. ยังไม่มีที่ทำการถาวร ต่อมาเมื่อ มสธ. ได้ย้ายมาอยู่ ณ ที่ตั้งปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๒๙  ได้เริ่มดำเนินการไปสู่การจัดตั้งห้องเอกสารพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยการให้สำนักบรรณสารสนเทศจัดทำบรรณานุกรมประกอบบรรณนิทัศน์เอกสาร จัดพิมพ์เผยแพร่โดยความสนับสนุนของมูลนิธิฯขึ้นก่อน เพื่อนำร่องการจัดหาเอกสารขึ้น ต่อมาได้จัดสรรพื้นที่ และได้ดำเนินการจัดสร้างห้องขึ้น ให้มีบรรยากาศสะท้อนให้เห็นถึงพระราชจริยวัตร แต่มีเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยไว้จัดเก็บและให้บริการหนังสือเอกสารและสารสนเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 

 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมงกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์มาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดในวันพุธที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๘

'มูลนิธิประชาธิปก '- รำไพพรรณี

          ที่ตั้ง : อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี ชั้น ๙ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร

          ด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปประทับเป็นส่วนใหญ่อยู่ที่สวนบ้านแก้วในจังหวัดจันทบุรี ตั้งแต่พ.ศ.๒๔๙๓ ถึง พ.ศ.๒๕๑๑ และได้ทรงสร้าง “ตึกประชาธิปก” ตึกผ่าตัดที่ทันสมัยพระราชทานโรงพยาบาลประจำจังหวัด ซึ่งคือโรงพยาบาลพระปกเกล้าในปัจจุบัน ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ในกิจการโรงพยาบาลและวิทยาลัยพยาบาล  ด้วยการพระราชทานทุนสนับสนุนโดยทรงใช้ชื่อว่า “ทุนประชาธิปก”         

          ด้วยพระราชประสงค์ที่จะให้พระราชกุศลมีความต่อเนื่องสืบไป จึงได้ทรงก่อตั้ง  มูลนิธิประชาธิปก ขึ้นด้วยพระราชหฤทัยรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีต่อพระองค์ ประเทศชาติและประชาชน  มูลนิธิประชาธิปกได้จดทะเบียนกับทางราชการ เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘  ทรงกำหนดให้มูลนิธิฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนกิจการของโรงพยาบาลพระปกเกล้า  วิทยาลัยพระปกเกล้าและวิทยาลัยครูจันทบุรี ในด้านการก่อสร้าง การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนค่าใช้จ่ายในกิจการต่างๆ

สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ได้เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๒๗  โดยได้ทรงทำพระพินัยกรรม พระราชทานเงินจำนวนหนึ่งแก่มูลนิธิ ดังนั้นเพื่อเป็นพระราชานุสรณ์   ในการที่ได้ทรงก่อตั้งและทรงเป็นองค์ประธานกรรมการของมูลนิธิฯ  มาแต่แรกคณะกรรมการมูลนิธิฯ จึงได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ผนวกพระนามไว้ในชื่อของมูลนิธิฯ  เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๘  เป็นมูลนิธิประชาธิปก-รำไพพรรณี  ต่อมาเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑ ได้ขยายวัตถุประสงค์ให้ทำการให้ความสนับสนุนทำนองเดียวกันกับที่ระบุในวัตถุประสงค์เดิมสู่สถาบันอื่นๆได้ด้วย

         

'มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพ'พรรณี

          ที่ตั้ง : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ถนนอู่ทองใน เขตดุสิต   กรุงเทพมหานคร

สืบเนื่องมาจากการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ คณะกรรมการอำนวยการสร้างฯซึ่งประธานรัฐสภาแต่งตั้ง จึงเห็นควรนำเงินส่วนที่เหลือมาจัดตั้งเป็นมูลนิธิ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสนองศรัทธาของประชาชนชาวไทยผู้บริจาคเป็นการสืบเนื่อง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชานุญาตให้ใช้ชื่อว่า “มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว“ ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เมื่อวันที่  ๑ กรกฎาคม  พ.ศ. ๒๕๒๔ และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์สมทบหลังการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี มูลนิธิฯได้ผนวกพระนามไว้ในชื่อของมูลนิธิฯ

อีกทั้งมูลนิธิฯ นี้มีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนการอบรมการศึกษาและให้ความช่วยเหลือแก่นักศึกษาที่ขัดสน สนับสนุนสถาบันการแพทย์และจัดให้มีการรักษาพยาบาลแก่คนไข้ที่ยากจน เผยแพร่พระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ  ร่วมมือส่งเสริมและประสานงานกับสถาบันการกุศลอื่น  โดยไม่ดำเนินการเกี่ยวกับการเมืองแต่ประการใด ปัจจุบันมูลนิธิฯมอบทุนการศึกษาแก่นักเรียน นักศึกษาพยาบาล นักศึกษาปริญญาตรี และนักศึกษาปริญญาโท ปริญญาเอก เพื่อการทำวิทยานิพนธ์เป็นหลัก  นอกเหนือไปจากกิจกรรมเผยแพร่พระเกียรติ โดยเน้นในสาขาวิชาที่เคยต้องทรงเอาพระราชหฤทัยใส่หรือที่สนพระราชหฤทัยเป็นการส่วนพระองค์

         

          โรงพยาบาลพระปกเกล้า

          ที่ตั้ง : เลขที่ ๓๔ ถนนเลียบเมือง ตำบลวัดใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี

โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี เดิมชื่อว่าโรงพยาบาลจันทบุรี โดยใน ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลวงนรินทร์ประสารทเวช (เจน สุนทโรทัย)  อดีตสาธารณสุขมณฑลจันทบุรี เป็นผู้ริเริ่ม[6] และในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗  เมื่อครั้งเสด็จมาประทับ ณ สวนบ้านแก้ว จังหวัดจันทบุรี ได้ทรงตระหนักพระราชหฤทัยในกุศลจิตและดำริเป็นการสมควรที่จะสร้างอาคารและจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ในการรักษาพยาบาลเพิ่มมากขึ้น จึงทรงพยายามจัดหาทุนทรัพย์ใช้ในการก่อสร้าง ตึกศัลยกรรมพร้อมเครื่องมือทันสมัย โดยพระราชทานทุนส่วนพระองค์เป็นทุนส่วนใหญ่สำเร็จเป็น “ตึกประชาธิปก”

ด้วยพระราชจริยวัตรของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ รัฐบาลสมัยนั้นจึงสนองพระราชดำริโดยการปรับปรุงโรงพยาบาลให้มีขนาดใหญ่และทันสมัยยิ่งขึ้น และได้สร้างวิทยาลัยพยาบาลเพื่อเป็นศูนย์กลางของการศึกษาวิชาพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัยของภาคตะวันออกทั้งให้มีการเปลี่ยนนามโรงพยาบาลเป็น “โรงพยาบาลพระปกเกล้า” เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ได้ทรงรับโรงพยาบาลพระปกเกล้า และวิทยาลัยพยาบาลไว้ในพระราชินูปถัมภ์ และได้พระราชทานทุนในการดำเนินงานของโรงพยาบาลชื่อ “ทุนประชาธิปก” ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้พัฒนาขึ้นเป็น “มูลนิธิประชาธิปก” ในปีพ.ศ. ๒๕๑๘ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบำรุงโรงพยาบาลพระปกเกล้า วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า และวิทยาลัยครูจันทบุรี (มหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณีในปัจจุบัน)  ในการก่อสร้าง จัดซื้อวัสดุเครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนเป็นทุนการศึกษาของนักเรียนพยาบาลและนักศึกษาวิทยาลัยครูจันทบุรีที่เรียนดี มีความประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เงื่อนไขสำคัญของการรับทุนคือผู้รับทุนต้องกลับมาทำงานพัฒนาท้องถิ่นของตนต่อไป

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดป้ายชื่อ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๙

ปัจจุบัน ที่บริเวณโถงหน้าห้องประชุมรำไพพรรณี  ที่ชั้น ๗ อาคารประชาธิปกศักดิเดชน์ ของโรงพยาบาลประปกเกล้า จัดแสดงนิทรรศการกึ่งถาวรเกี่ยวกับพระพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ฯ

 

          วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี

 วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพ-
พรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ โดยทรงรับวิทยาลัยพยาบาลแห่งนี้ ไว้ในพระราชินูปถัมภ์ ตั้งแต่เปิดทำการในปี พ.ศ.๒๕๐๘ จนถึงเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๗ เริ่มทำการสอนครั้งแรก พ.ศ.๒๕๐๘ หลักสูตรพยาบาลผดุงครรภ์และอนามัย ปัจจุบันมีโครงสร้างการบริหารงาน ตามแผนผัง[7]

       

          ตึกประชาธิปก  ณ โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี

สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ เสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรที่ดินที่จังหวัดจันทบุรีและ
ระหว่างทรงช่วยข้าราชบริพารเตรียมพระกระยาหารและทรงทำมีดบาดพระดัชนีเป็นรอยแผล จึงเสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงพยาบาลประจำจังหวัด และทราบด้วยพระองค์เองว่าโรงพยาบาลจังหวัดจันทบุรีในขณะนั้นเป็นเพียงอาคารขนาดเล็กและยากไร้ด้วยเครื่องมือแพทย์  จึงโปรดเกล้า ฯ ให้จัดการแสดงละครในพระราชินูปถัมภ์เพื่อจัดหาทุนก่อสร้างตึกผ่าตัดให้แก่โรงพยาบาล เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จในพ.ศ. ๒๔๙๗ ได้พระราชทานนามตึกหลังนี้ว่า “ตึกประชาธิปก” และพระราชทานตราศักดิเดชน์ ซึ่งเป็นตราประจำพระองค์สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ อันเป็นพระนามเดิมของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เป็นตราประจำตึกและพระบรมรูปหล่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ประดิษฐานที่ห้องโถงของตึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงกระทำพิธีเปิดแพรคลุมป้าย เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙[8]

 

          พิพิธภัณฑ์สถาน พระปกเกล้ารำไพพรรณี เฉลิมพระเกียรติ 'วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า '          จังหวัดจันทบุรี

 

พิพิธภัณฑสถาน พระปกเกล้ารำไพพรรณี เฉลิมพระเกียรติ ตั้งอยู่ที่วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี สร้างขึ้นเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ในรัชกาลที่ ๗  ที่มีพระมหากรุณาธิคุณแก่ปวงชนชาวไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่ชาวจังหวัดจันทบุรีและวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี โดยได้ดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ แล้วเสร็จในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖  สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทำพิธีเปิดแพรคลุมป้ายพิพิธภัณฑ์ ในวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑

 

          อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร

เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสูง ๙ ชั้น ตั้งอยู่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร สร้างด้วยงบประมาณแผ่นดินและเงินสมทบจากมูลนิธิประชาธิปก - รำไพพรรณี และ มูลนิธิจุมภฎ-พันธุ์ทิพย์  การก่อสร้างอาคารหลังนี้ได้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ.๒๕๓๖   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงเปิดอาคารนี้เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๗

อาคารมูลนิธิประชาธิปก-รำไพพรรณี เป็นที่ตั้งของสถาบันไทยคดีศึกษา  สถาบันวิจัยสังคม สถาบันเอเชียศึกษา สถาบันความมั่นคงและนานาชาติ  สถาบันการขนส่ง  ห้องสมุด วิทยาลัยประชากรศาสตร์  และมีห้องประชุมทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่อยู่ด้วย  ห้องประชุมขนาดใหญ่คือห้องประชุมจุมภฎ – พันธุ์ทิพย์ที่ชั้น ๔ และมูลนิธิประชาธิปก – รำไพพรรณี มีสำนักงานอยู่ที่ชั้น ๙

 

          ตึกศักดิเดชน์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรุงเทพมหานคร

          เป็นอาคารสูง ๔ ชั้น ตั้งอยู่ในบริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่ปฏิบัติงานของ กองจักษุกรรม ภาควิชาจักษุวิทยา  โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ให้บริการผู้ป่วยโรคตา มีห้องผ่าตัดตา หอผู้ป่วยพิเศษตา   อาคารนี้คุณหญิง มณี สิริวรสาร พันเอกนายแพทย์ ปชา สิริวรสาร หม่อมราชวงศ์ เดชนศักดิ์ ศักดิเดชน์ ภานุพันธุ์ หม่อมราชวงศ์ ทินศักดิ์ ศักดิเดชน์ ภานุพันธุ์ รวมทั้งผู้บริจาคอื่นๆ ร่วมกันสมทบทุนสร้างน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  และได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำพระนาม  "ศักดิเดชน์" มาใช้เป็นชื่ออาคารพร้อมอัญเชิญตราพระจำพระองค์มาประดิษฐาน ณ อาคารหลังนี้ด้วย 

ตึกศักดิ์เดชน์ เปิดวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๔ โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จฯ ทรงทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ[9]

 

          พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

สืบเนื่องมาจากการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒  การนี้อดีตประธานรัฐสภา พลอากาศเอก หะริน หงสกุล ได้ดำริว่าสมควรจะใช้ห้องใต้ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ที่อยู่บริเวณด้านหน้าอาคารสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จัดสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์เผยแพร่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้เป็นสถานที่ซึ่งประชาชนผู้มีส่วนบริจาคเงินสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์จะได้ทราบ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงทราบ  พระองค์จึงได้พระราชทานสิ่งของส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมาเพื่อจัดแสดง ณ ห้องใต้ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์  ดำเนินการโดยสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา

พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เปิดบริการครั้งแรก ในงานพิธีเปิดพระบรม
ราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๔๑ ตามพระราชบัญญัติสถาบันพระปกเกล้า พ.ศ. ๒๕๔๑  ซึ่งมีการจัดตั้งสถาบันพระปกเกล้าขึ้นมีมาตราหนึ่งกำหนดให้โอนงานในส่วนของพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไปอยู่ในความรับผิดชอบของสถาบันพระปกเกล้า ต่อมาสถาบันพระปกเกล้าได้รับมอบสิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์มาจัดแสดง ณ อาคารอนุรักษ์ เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เขตป้อมปราบ กรุงเทพมหานคร  ซึ่งสถาบันพระปกเกล้าได้บูรณะเพื่อจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์

ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในสังกัดใหม่และสถานที่ใหม่นี้ จัดแสดงนิทรรศการถาวรพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ชั้น ๒ และ ๓ และนิทรรศการถาวรสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ที่ชั้น ๑ และศูนย์ข้อมูลพระปกเกล้าศึกษาให้บริการอยู่ที่ชั้นล่าง อาคารรำไพพรรณีด้านหลัง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จฯ แทนพระองค์ทรงเปิดพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๕

 

          พิพิธภัณฑ์อาคารที่ประทับประชาธิปกศักดิเดชน์ ณ กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน           กรุงเทพมหานคร

พิพิธภัณฑ์อาคารที่ประทับประชาธิปกศักดิเดชน์ ตั้งอยู่ในกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน เป็นอาคารที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยที่พระองค์ทรงรับราชการเป็นนายทหารเหล่าทหารปืนใหญ่ (พ.ศ. ๒๔๕๘ – ๒๔๖๔ ) สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓ เป็นเรือนไม้ชั้นเดียว ใต้ถุนสูง หลังคามุงด้วยกระเบื้องลูกว่าว แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ด้านหน้าจะมี ๓ ห้อง คือ ห้องทรงงาน ห้องบรรทม และห้องพระกระยาหาร ส่วนด้านหลังเป็นห้องเตรียมพระกระยาหารและยังมีชานโล่งสำหรับพักผ่อนภายนอก อาคารนี้ได้รับการบูรณะเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๑ เพื่อจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์เผยแพร่พระเกียรติคุณและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ จึงนับเป็นพระบรมราชานุสรณ์อย่างหนึ่งได้

 

ค่ายพระปกเกล้า

          อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นกองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๕ และได้อัญเชิญพระนามาภิไธยไปตั้งชื่อ เข้าใจว่าเพื่อเป็นอนุสรณ์ของการที่พระองค์ทรงเป็นนายทหารปืนใหญ่และได้เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับที่พระตำหนักเขาน้อย ในเมืองสงขลา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นเวลาประมาณ ๒ เดือน

 

ถนน

          ในสมัยรัชกาลที่ ๗ ความต้องการใช้รถใช้ถนนมีเพิ่มมากขึ้นทั้งในเขตพระนครและธนบุรีและในต่างจังหวัดที่รถไฟไปไม่ถึง รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้สร้างถนนเพิ่มขึ้นเพื่อประโยชน์ของราษฎรในการสัญจรติดต่อค้าขาย แม้ว่าขณะนั้นงบประมาณแผ่นดินจะขาดแคลน การตัดถนนในสมัยรัชกาลที่ ๗ นี้ จากจดหมายเหตุรายวันและพระราชกฤษฎีกาที่ประกาศ เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ด้วยการออกพระราชกฤษฎีกาการตัดถนนในพระนคร รวม ๓๔ สาย

          ในที่นี้จะกล่าวถึงถนนที่เป็นอนุสรณ์ของพระองค์เท่านั้น ได้แก่

         

          ถนนสุโขทัย

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑ เริ่มตั้งแต่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ท่าน้ำสามเสน ตรงไปจนตัดกับถนนสวรรคโลก เดิมชื่อถนนดวงเดือนนอก ดวงเดือนใน ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๖๒ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เปลี่ยนชื่อเป็น “สุโขทัย” เพราะมีบางส่วนที่ติดอยู่กับ “วังศุโขทัย” วังส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิ์เดชกรมขุนศุโขทัยธรรมราชาผู้เสด็จเข้าประทับเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑

 

          ถนนประชาธิปก

          “ถนนประชาธิปก”  มีนามเช่นนี้เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้สร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาและทำถนนเชื่อมพระนครกับธนบุรี ถนนที่สร้างขึ้นพร้อมกับการก่อสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ มีความยาวประมาณ ๒ กิโลเมตร

          ถนนพระปกเกล้า

          ในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งอัญเชิญพระนามาภิไธยไปตั้งชื่อเพื่อเป็นอนุสรณ์ของการที่ได้เสด็จเลียบใน พ.ศ. ๒๔๖๙

         

สะพาน

          สะพานพระปกเกล้า

          สะพานพระปกเกล้าสร้างขึ้นเพื่อลดความแออัดของการจราจรในบริเวณสะพานพระพุทธยอดฟ้า เป็นสะพานคอนกรีตอัดแรงชนิดต่อเนื่องข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อมฝั่งพระนคร ณ ถนนจักรเพชร และฝั่งธนบุรีที่ถนนประชาธิปก โดยสร้างขนานกับสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ สะพานนี้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๒๔ เปิดใช้เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๗  และพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้โปรดฯให้สร้างปฐมบรมราชานุสรณ์และสะพานพุทธยอดฟ้าฯขึ้น  สะพานพระปกเกล้าจึงได้รับพระราชทานบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมาเป็นชื่อสะพาน

 

          สะพานพระราม ๗

          เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อมระหว่างถนนจรัญสนิทวงศ์ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี กับ ถนนวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร สะพานนี้เป็นสะพานแบบคอนกรีตอัดแรงชนิดต่อเนื่อง มีช่องทางรถวิ่งจำนวน ๖ ช่องทางจราจร เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕   เชื่อว่า สะพานพระราม ๗ เพราะอู่คู่ขนานกับสะพานพระราม ๖ สะพานรถไฟวิ่งซึ่งเริ่มสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๖ แต่สร้างเสร็จในสมัยรัชการที่ ๗ โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อและเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙ (พ.ศ. ๒๔๗๐ นับตามปฏิทินปัจจุบัน)

บรรณานุกรม

กรมศิลปากร. (๒๕๒๔). พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: รัฐสภา.

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย. (๒๕๔๓). ย้อนหลังบางแง่มุม ในพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: กุลการพิมพ์.

ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา กองการศึกษา วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า. (๒๕๕๘ ก.พ. ๒๔). ww.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html. เรียกใช้เมื่อ ๒๔ ก.พ. ๒๕๕๘ จาก www.entpmk.pmk.ac.th: www.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html

มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี.รายงานประจำปี ๒๕๔๔.

ยุทธศิลป์ โดยชื่นงาม,พันเอก. ๒๕๔๗  ๗๐ ปี พล.ปตอ. กรุงเทพฯ: ทวีพัตร.

ราชภัฏรำไพพรรณี,มหาวิทยาลัย: ๒๕๔๓ พระมิ่งขวัญรำไพพรรณี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้งแอนด์พับลิซซิ่ง.

พระปกเกล้า,โรงพยาบาล. ๒๕๕๕. ๗๒ ปี โรงพยาบาลพระปกเกล้า: กรุงเทพฯ : จามจุรีโปรดักท์.

หะริน หงสกุล, พลอากาศเอก พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในที่ระลึก ใน
           โอกาสอายุครบ ๖ รอบ'.
กรุงเทพฯ: กองทัพอากาศ, ๒๕๒๙.

สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.). (๒๕๕๓). พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) พระผู้ทรงวางรากฐานระบบข้าราชการพลเรือน. กรุงเทพฯ: แอร์บอน พรินต์.

อัษฎา ตียพันธ์,รองศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์ (๒๕๕๕). ๗๒ ปี โรงพยาบาลพระปกเกล้า. กรุงเทพฯ: จามจุรีโปรดักท์.

อ้างอิง

 [1] หะริน หงสกุล, พลอากาศเอก พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในที่ระลึก ในโอกาสอายุครบ ๖ รอบ'.กรุงเทพฯ: กองทัพอากาศ, ๒๕๒๙.

[2] หะริน หงสกุล, พลอากาศเอก พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในที่ระลึก ในโอกาสอายุครบ ๖ รอบ'.กรุงเทพฯ: กองทัพอากาศ, ๒๕๒๙. หน้า 144.

[3] มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี. รายงานประจำปี ๒๕๔๔.

[4] มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี.รายงานประจำปี ๒๕๔๔.

[5] โปรดศึกษาเรื่อง มูลนิธิประชาธิปก – รำไพพรรณี เพิ่มเติม

[6] ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา กองการศึกษา วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า. (๒๕๕๘ ก.พ. ๒๔). ww.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html. เรียกใช้เมื่อ ๒๔ ก.พ. ๒๕๕๘ จาก www.entpmk.pmk.ac.th: www.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html.

[7] ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา กองการศึกษา วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า. (๒๕๕๘ ก.พ. ๒๔). ww.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html. เรียกใช้เมื่อ ๒๔ ก.พ. ๒๕๕๘ จาก www.entpmk.pmk.ac.th: www.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html.

[8]พระปกเกล้า,โรงพยาบาล. ๒๕๕๕. ๗๒ ปี โรงพยาบาลพระปกเกล้า: กรุงเทพฯ : จามจุรีโปรดักท์, หน้า ๑๓๐.

[9] ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา กองการศึกษา วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า. (๒๕๕๘ ก.พ. ๒๔). ww.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html. เรียกใช้เมื่อ ๒๔ ก.พ. ๒๕๕๘ จาก www.entpmk.pmk.ac.th: www.entpmk.pmk.ac.th/webpage/resulary.html.