ผลต่างระหว่างรุ่นของ "15 ตุลาคม พ.ศ. 2488"
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 7: | บรรทัดที่ 7: | ||
---- | ---- | ||
วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2488 เป็นวันที่มี[[การยุบสภาผู้แทนราษฎร]]เป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และ[[นายกรัฐมนตรี]]ผู้[[ที่ยุบสภา]]ครั้งนี้ก็คือ [[ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช]] ซึ่งในขณะนั้น ยังไม่เล่นการเมืองแบบลงเลือกตั้งสมัครเข้าแข่งขันเป็น[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]] ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เข้าสู่วงการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งแรกนี้เป็นเพราะท่านเป็น[[หัวหน้าเสรีไทยสายอเมริกา]] เพราะท่านเป็นอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล [[จอมพล ป.พิบูลสงคราม]] ที่ประกาศสงครามกับ[[ฝ่ายสัมพันธมิตร]] | วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2488 เป็นวันที่มี[[การยุบสภาผู้แทนราษฎร]]เป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และ[[นายกรัฐมนตรี]]ผู้[[ที่ยุบสภา]]ครั้งนี้ก็คือ [[เสนีย์ ปราโมช|ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช]] ซึ่งในขณะนั้น ยังไม่เล่นการเมืองแบบลงเลือกตั้งสมัครเข้าแข่งขันเป็น[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]] ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เข้าสู่วงการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งแรกนี้เป็นเพราะท่านเป็น[[หัวหน้าเสรีไทยสายอเมริกา]] เพราะท่านเป็นอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล [[จอมพล ป.พิบูลสงคราม]] ที่ประกาศสงครามกับ[[ฝ่ายสัมพันธมิตร]] | ||
การเข้ามาสู่วงการเมืองมาเป็นนายกรัฐมนตรีของท่านนั้นถือได้ว่า “สั่งมาจากนอก” คือ มาจากตำแหน่งที่ท่านประจำอยู่ที่นอกประเทศดังที่ท่านเองได้เขียนเล่าไว้ใน “ชีวลิขิต” ความว่า | การเข้ามาสู่วงการเมืองมาเป็นนายกรัฐมนตรีของท่านนั้นถือได้ว่า “สั่งมาจากนอก” คือ มาจากตำแหน่งที่ท่านประจำอยู่ที่นอกประเทศดังที่ท่านเองได้เขียนเล่าไว้ใน “ชีวลิขิต” ความว่า |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:15, 14 ตุลาคม 2557
ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2488 เป็นวันที่มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และนายกรัฐมนตรีผู้ที่ยุบสภาครั้งนี้ก็คือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่งในขณะนั้น ยังไม่เล่นการเมืองแบบลงเลือกตั้งสมัครเข้าแข่งขันเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เข้าสู่วงการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งแรกนี้เป็นเพราะท่านเป็นหัวหน้าเสรีไทยสายอเมริกา เพราะท่านเป็นอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร
การเข้ามาสู่วงการเมืองมาเป็นนายกรัฐมนตรีของท่านนั้นถือได้ว่า “สั่งมาจากนอก” คือ มาจากตำแหน่งที่ท่านประจำอยู่ที่นอกประเทศดังที่ท่านเองได้เขียนเล่าไว้ใน “ชีวลิขิต” ความว่า
“ในราวสิ้นเดือนสิงหาคม 2488 มีโทรเลขจาก ปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการ ถึงปู่ใจความว่า ปู่ดำเนินงานเสรีไทยมาด้วยดี ขอให้กลับไปเป็นนายกรัฐมนตรี ปู่โทรเลขตอบว่าขอตัวไม่รับเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะไม่มีความรู้ความชำนาญทางการเมือง”
แต่คงได้มีการเจรจากันต่อมาอีก ท่านจึงยอมรับตำแหน่งและกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2488 ต่อจากนายกรัฐมนตรี ทวี บุณยเกตุ งานหนักของรัฐบาลในตอนนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องทำความตกลงกับชาติมหาอำนาจซึ่งเป็นผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่สอง อยู่ 2 เรื่อง ได้แก่ หนึ่งทำความตกลงกับอังกฤษ สองทำสนธิสัญญาทางไมตรีกับจีน ในเรื่องแรกทางอังกฤษเรียกร้องมาก ทั้งขอให้ไทยใช้เงินเป็นค่าทดแทนความเสียหาย ดีว่าทางสหรัฐอเมริกาได้ช่วยจึงผ่อนปรนไปบ้าง กระนั้นเมื่อตกลงกันได้กับอังกฤษ ไทยก็ต้องรับภาระมาก เรื่องที่ทำสัญญากับจีนก็ไม่ใช่ง่าย
เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรียังไม่ทันครบเดือน นายกฯ ก็ยุบสภาผู้แทนราษฎร
“รัฐบาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พิจารณาเห็นว่า สมาชิกสภาผู้แทนฯ ชุดปัจจุบันซึ่งได้รับเลือกตั้งมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2481 นั้น ได้มีพระราชบัญญัติขยายกำหนดเวลาให้อยู่ในตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนฯ ต่อมาอีก 2 ครั้ง ทั้งนี้นับเป็นเวลานานเกินควร ย่อมเป็นเหตุให้จิตใจ และความคิดเห็นของสมาชิกส่วนมากเหินห่วงจากเจตนา และความประสงค์อันแท้จริงของราษฎร”
ยุบสภาแล้ว ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็เป็นนายกฯ ต่อมาจนถึงวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2489