ผลต่างระหว่างรุ่นของ "22 มีนาคม พ.ศ. 2535"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 6: บรรทัดที่ 6:


----
----
วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 เป็นวันที่มี[[การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 16]] ของประเทศไทย เป็นการเลือกตั้งขณะที่ [[นายอานันท์  ปันยารชุน]] เป็น[[นายกรัฐมนตรี]] แต่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีก็ไม่ได้ลงเลือกตั้ง เพราะเป็น[[การเลือกตั้ง]]ในขณะที่คณะทหารที่เรียกตัวเองว่า [[คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ]] ยังมีอำนาจแต่ก็เป็นการเลือกตั้งหลังจากการประกาศใช้[[รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534]] เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2534
วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 เป็นวันที่มี[[การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 16]] ของประเทศไทย เป็นการเลือกตั้งขณะที่ [[อานันท์  ปันยารชุน|นายอานันท์  ปันยารชุน]] เป็น[[นายกรัฐมนตรี]] แต่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีก็ไม่ได้ลงเลือกตั้ง เพราะเป็น[[การเลือกตั้ง]]ในขณะที่คณะทหารที่เรียกตัวเองว่า [[คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ]] ยังมีอำนาจแต่ก็เป็นการเลือกตั้งหลังจากการประกาศใช้[[รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534]] เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2534
การจัดการเลือกตั้งทั่วไปที่ผู้คนคาดหวังให้เป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์[[ยุติธรรม]]เป็นงานที่ท้าทายมาก ตอนนั้นก็มีเสียงพูดกันเรื่องซื้อเสียงและอาจมีการใช้อำนาจรัฐเพื่อช่วย[[พรรคการเมือง]]บางพรรค โดยทั่วไปการจัดการเลือกตั้งก็ยังอยู่ในอำนาจของ[[กระทรวงมหาดไทย]] แต่นายกรัฐมนตรี อานันท์  ปันยารชุน ก็ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอดส่องดูแลการเลือกตั้ง ที่รู้จักกันดีในชื่อที่ไม่เป็นทางการว่า “[[องค์กรกลาง]]” โดยมี [[ศาสตราจารย์ เกษม  สุวรรณกุล]] รัฐมนตรีทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐบาลมาเป็นประธาน ระดมนักวิชาการ และผู้คนในองค์กรภาคเอกชนมาร่วมกันทำงาน ติดตามดูแลการเลือกตั้งอย่างใกล้ชิดและรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ ทำให้มีการตื่นตัวในเรื่องตามดูความไม่ชอบในการเลือกตั้งในที่ต่างๆ มากเป็นประวัติการณ์
การจัดการเลือกตั้งทั่วไปที่ผู้คนคาดหวังให้เป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์[[ยุติธรรม]]เป็นงานที่ท้าทายมาก ตอนนั้นก็มีเสียงพูดกันเรื่องซื้อเสียงและอาจมีการใช้อำนาจรัฐเพื่อช่วย[[พรรคการเมือง]]บางพรรค โดยทั่วไปการจัดการเลือกตั้งก็ยังอยู่ในอำนาจของ[[กระทรวงมหาดไทย]] แต่นายกรัฐมนตรี อานันท์  ปันยารชุน ก็ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอดส่องดูแลการเลือกตั้ง ที่รู้จักกันดีในชื่อที่ไม่เป็นทางการว่า “[[องค์กรกลาง]]” โดยมี [[เกษม  สุวรรณกุล|ศาสตราจารย์ เกษม  สุวรรณกุล]] รัฐมนตรีทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐบาลมาเป็นประธาน ระดมนักวิชาการ และผู้คนในองค์กรภาคเอกชนมาร่วมกันทำงาน ติดตามดูแลการเลือกตั้งอย่างใกล้ชิดและรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ ทำให้มีการตื่นตัวในเรื่องตามดูความไม่ชอบในการเลือกตั้งในที่ต่างๆ มากเป็นประวัติการณ์
ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า [[พรรคสามัคคีธรรม]] ซึ่งเป็นพรรคที่เชื่อกันว่าทางทหารให้การสนับสนุนได้จำนวน[[ผู้แทนราษฎร]]เป็นอันดับหนึ่ง จำนวน 79 ที่นั่ง [[พรรคชาติไทย]] ได้ 74 ที่นั่ง และ[[พรรคความหวังใหม่]]ได้ 72 ที่นั่ง ที่เหลือก็เป็นของ[[พรรคการเมือง]]อื่น ๆ หัวหน้า[[พรรคสามัคคีธรรม]] คือ [[นายณรงค์ วงศ์วรรณ]] จึงน่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลายเป็นว่าพรรคการเมืองที่รวมตัวกันเป็นรัฐบาลได้เลือกให้ [[พลเอกสุจินดา  คราประยูร]] ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกมาเป็นนายกรัฐมนตรี อันทำให้มี[[การประท้วง]]ทางการเมืองต่อมาตลอดเวลาที่พลเอกสุจินดา  คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ 45 วัน
ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า [[พรรคสามัคคีธรรม]] ซึ่งเป็นพรรคที่เชื่อกันว่าทางทหารให้การสนับสนุนได้จำนวน[[ผู้แทนราษฎร]]เป็นอันดับหนึ่ง จำนวน 79 ที่นั่ง [[พรรคชาติไทย]] ได้ 74 ที่นั่ง และ[[พรรคความหวังใหม่]]ได้ 72 ที่นั่ง ที่เหลือก็เป็นของ[[พรรคการเมือง]]อื่น ๆ หัวหน้า[[พรรคสามัคคีธรรม]] คือ [[ณรงค์ วงศ์วรรณ|นายณรงค์ วงศ์วรรณ]] จึงน่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลายเป็นว่าพรรคการเมืองที่รวมตัวกันเป็นรัฐบาลได้เลือกให้ [[สุจินดา  คราประยูร|พลเอกสุจินดา  คราประยูร]] ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกมาเป็นนายกรัฐมนตรี อันทำให้มี[[การประท้วง]]ทางการเมืองต่อมาตลอดเวลาที่พลเอกสุจินดา  คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ 45 วัน
นายอานันท์  ปันยารชุน จึงพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปพร้อมความชื่นชมของประชาชนว่าจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ดี แม้จะไม่เรียบร้อยหรือกำจัดการซื้อเสียงได้ทั้งหมด แต่คนก็เชื่อว่าท่านนายกรัฐมนตรีได้ทำอย่างเต็มกำลังความสามารถและอำนาจหน้าที่ของท่านแล้ว
นายอานันท์  ปันยารชุน จึงพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปพร้อมความชื่นชมของประชาชนว่าจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ดี แม้จะไม่เรียบร้อยหรือกำจัดการซื้อเสียงได้ทั้งหมด แต่คนก็เชื่อว่าท่านนายกรัฐมนตรีได้ทำอย่างเต็มกำลังความสามารถและอำนาจหน้าที่ของท่านแล้ว


[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2520-ปัจจุบัน]]
[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2520-ปัจจุบัน]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 15:24, 13 ตุลาคม 2557

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 เป็นวันที่มีการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 16 ของประเทศไทย เป็นการเลือกตั้งขณะที่ นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี แต่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีก็ไม่ได้ลงเลือกตั้ง เพราะเป็นการเลือกตั้งในขณะที่คณะทหารที่เรียกตัวเองว่า คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ยังมีอำนาจแต่ก็เป็นการเลือกตั้งหลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2534

การจัดการเลือกตั้งทั่วไปที่ผู้คนคาดหวังให้เป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมเป็นงานที่ท้าทายมาก ตอนนั้นก็มีเสียงพูดกันเรื่องซื้อเสียงและอาจมีการใช้อำนาจรัฐเพื่อช่วยพรรคการเมืองบางพรรค โดยทั่วไปการจัดการเลือกตั้งก็ยังอยู่ในอำนาจของกระทรวงมหาดไทย แต่นายกรัฐมนตรี อานันท์ ปันยารชุน ก็ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอดส่องดูแลการเลือกตั้ง ที่รู้จักกันดีในชื่อที่ไม่เป็นทางการว่า “องค์กรกลาง” โดยมี ศาสตราจารย์ เกษม สุวรรณกุล รัฐมนตรีทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐบาลมาเป็นประธาน ระดมนักวิชาการ และผู้คนในองค์กรภาคเอกชนมาร่วมกันทำงาน ติดตามดูแลการเลือกตั้งอย่างใกล้ชิดและรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ ทำให้มีการตื่นตัวในเรื่องตามดูความไม่ชอบในการเลือกตั้งในที่ต่างๆ มากเป็นประวัติการณ์

ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคสามัคคีธรรม ซึ่งเป็นพรรคที่เชื่อกันว่าทางทหารให้การสนับสนุนได้จำนวนผู้แทนราษฎรเป็นอันดับหนึ่ง จำนวน 79 ที่นั่ง พรรคชาติไทย ได้ 74 ที่นั่ง และพรรคความหวังใหม่ได้ 72 ที่นั่ง ที่เหลือก็เป็นของพรรคการเมืองอื่น ๆ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม คือ นายณรงค์ วงศ์วรรณ จึงน่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลายเป็นว่าพรรคการเมืองที่รวมตัวกันเป็นรัฐบาลได้เลือกให้ พลเอกสุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกมาเป็นนายกรัฐมนตรี อันทำให้มีการประท้วงทางการเมืองต่อมาตลอดเวลาที่พลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ 45 วัน

นายอานันท์ ปันยารชุน จึงพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปพร้อมความชื่นชมของประชาชนว่าจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ดี แม้จะไม่เรียบร้อยหรือกำจัดการซื้อเสียงได้ทั้งหมด แต่คนก็เชื่อว่าท่านนายกรัฐมนตรีได้ทำอย่างเต็มกำลังความสามารถและอำนาจหน้าที่ของท่านแล้ว