ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การเสนอร่างกฎหมายโดยประชาชน"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''ผู้เรียบเรียง''' : อัญชลี จวงจันทร์ '''ผู้ทรงคุณวุฒ...'
 
Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 5: บรรทัดที่ 5:
----
----


นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งเรียกกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ได้มีการกำหนดบทบัญญัติรองรับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยให้ประชาชนมีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้เป็นครั้งแรก ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 170 ของรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 50,000 คน สามารถเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาในการเสนอกฎหมาย  และเมื่อมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้มีการบัญญัติให้ประชาชนสามารถเข้าชื่อเสนอกฎหมาย โดยกำหนดไว้ในมาตรา 163 โดยได้ลดจำนวนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายจาก 50,000 คน เป็นไม่น้อยกว่า 10,000 คน เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้สิทธิของประชาชนในการเสนอร่างกฎหมายให้สะดวกขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามสิทธิและหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งถือว่าเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ดังนั้น อำนาจสูงสุดภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นอำนาจที่มาจากประชาชน การเสนอร่างกฎหมายโดยประชาชนจึงเป็นกลไกสำคัญที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง
นับตั้งแต่[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540]] ซึ่งเรียกกันว่าเป็น[[รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน]] ได้มีการกำหนดบทบัญญัติรองรับ[[สิทธิและเสรีภาพ]]ของประชาชนใน[[การมีส่วนร่วมทางการเมือง]] โดยให้ประชาชนมีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้เป็นครั้งแรก ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 170 ของรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 50,000 คน สามารถเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาในการเสนอกฎหมาย  และเมื่อมี[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550]] ได้มีการบัญญัติให้ประชาชนสามารถเ[[ข้าชื่อเสนอกฎหมาย]] โดยกำหนดไว้ในมาตรา 163 โดยได้ลดจำนวนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายจาก 50,000 คน เป็นไม่น้อยกว่า 10,000 คน เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้สิทธิของประชาชนในการเสนอร่างกฎหมายให้สะดวกขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามสิทธิและหน้าที่ตามระบอบ[[ประชาธิปไตย]] ซึ่งถือว่าเป็น[[การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน]] ดังนั้น อำนาจสูงสุดภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นอำนาจที่มาจากประชาชน การเสนอร่างกฎหมายโดยประชาชนจึงเป็นกลไกสำคัญที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง


==วิธีการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย==
==วิธีการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย==


รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กำหนดให้วิธีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายไว้ โดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาร่างกฎหมายตามที่กำหนดในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และต้องดำเนินการหลักเกณฑ์และวิธีการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กำหนดให้วิธีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายไว้ โดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อ[[ประธานรัฐสภา]] เพื่อให้[[รัฐสภา]]พิจารณาร่างกฎหมายตามที่กำหนดในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวด 5 [[แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ]] และต้องดำเนินการหลักเกณฑ์และวิธีการตาม[[พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556]]


==วิธีการยื่นคำขอเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย==
==วิธีการยื่นคำขอเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย==
บรรทัดที่ 21: บรรทัดที่ 21:
==ผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย==
==ผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย==


ผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย ได้แก่ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และจะต้องไม่เป็นผู้เสียสิทธิตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 ทั้งนี้ เมื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดร่วมลงชื่อเสนอกฎหมายโดยถูกต้องแล้วจะถอนชื่อภายหลังมิได้
ผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย ได้แก่ ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]ตามบทบัญญัติของ[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย]] และจะต้องไม่เป็นผู้เสียสิทธิตาม[[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554]] ทั้งนี้ เมื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดร่วมลงชื่อเสนอกฎหมายโดยถูกต้องแล้วจะถอนชื่อภายหลังมิได้


==รูปแบบของร่างกฎหมายที่จะเสนอให้รัฐสภาพิจารณา==
==รูปแบบของร่างกฎหมายที่จะเสนอให้รัฐสภาพิจารณา==
บรรทัดที่ 35: บรรทัดที่ 35:
==การพิจารณาร่างกฎหมายที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อเสนอ==
==การพิจารณาร่างกฎหมายที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อเสนอ==


เมื่อมีการตรวจสอบความถูกต้องของการเข้าชื่อเสนอกฎหมายและร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอแล้วหากถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และ พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย .ศ. 2556 แล้ว ประธานสภาผู้แทนราษฎรต้องอนุญาตบรรจุระเบียบวาระการประชุมร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อเสนอนั้นเข้าระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฏร ในการพิจารณาตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ได้กำหนดว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้กระทำเป็น 3 วาระตามลำดับ ในวาระที่หนึ่งเป็นขั้นรับหลักการ ในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ในวาระที่สามเป็นการให้ความเห็นชอบ และเมื่อสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบแล้ว จะเสนอวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่งวุฒิสภาก็จะพิจารณาเป็นสามวาระเช่นเดียวกัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติให้ ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้เสนอ  สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ต้องให้ผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้น ชี้แจงหลักการของร่างพระราชบัญญัติและคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะต้องประกอบด้วยผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมดด้วย จะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อเสนอ จะต้องให้ผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ชี้แจงหลักการของร่างพระราชบัญญัติในที่ประชุมสภาและหากสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภามีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อพิจารณาจะต้องให้ตัวแทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ร่วมเป็นกรรมาธิการด้วย  
เมื่อมีการตรวจสอบความถูกต้องของการเข้าชื่อเสนอกฎหมายและร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอแล้วหากถูกต้องตาม[[รัฐธรรมนูญ]] และ พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย .ศ. 2556 แล้ว [[ประธานสภาผู้แทนราษฎร]]ต้องอนุญาตบรรจุระเบียบวาระการประชุมร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อเสนอนั้นเข้า[[ระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฏร]] ในการพิจารณาตาม[[ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551]] ได้กำหนดว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้กระทำเป็น 3 วาระตามลำดับ ในวาระที่หนึ่งเป็นขั้นรับหลักการ ในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ในวาระที่สามเป็นการให้ความเห็นชอบ และเมื่อ[[สภาผู้แทนราษฎร]]เห็นชอบแล้ว จะเสนอ[[วุฒิสภา]]เพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่งวุฒิสภาก็จะพิจารณาเป็นสามวาระเช่นเดียวกัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติให้ ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้เสนอ  สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ต้องให้ผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้น ชี้แจงหลักการของร่างพระราชบัญญัติและ[[คณะกรรมาธิการวิสามัญ]]เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะต้องประกอบด้วยผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมดด้วย จะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อเสนอ จะต้องให้ผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ชี้แจงหลักการของร่างพระราชบัญญัติในที่ประชุมสภาและหากสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภามีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อพิจารณาจะต้องให้ตัวแทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ร่วมเป็นกรรมาธิการด้วย  
   
   
==บรรณานุกรม==
==บรรณานุกรม==
บรรทัดที่ 49: บรรทัดที่ 49:
==ดูเพิ่มเติม==
==ดูเพิ่มเติม==


จันทิมา  ทองชาติ. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ศึกษาเฉพาะกรณีการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. กรุงเทพฯ, 2551.
จันทิมา  ทองชาติ. '''การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ศึกษาเฉพาะกรณีการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย'''. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. กรุงเทพฯ, 2551.


วนิดา  แสงสารพันธ์. การเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชน. คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. กรุงเทพฯ, 2543.
วนิดา  แสงสารพันธ์. '''การเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชน'''. คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. กรุงเทพฯ, 2543.


สิทธิชัย  พิมเสน. การพัฒนากระบวนการนิติบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร ศึกษาเฉพาะกรณีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง. เอกสารวิชาการกรณีศึกษาส่วนบุคคล. รัฐสภา. กรุงเทพฯ, 2549.
สิทธิชัย  พิมเสน. ก'''ารพัฒนากระบวนการนิติบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร ศึกษาเฉพาะกรณีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง'''. เอกสารวิชาการกรณีศึกษาส่วนบุคคล. รัฐสภา. กรุงเทพฯ, 2549.
 
[[หมวดหมู่:การมีส่วนร่วมทางการเมือง]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:39, 21 สิงหาคม 2557

ผู้เรียบเรียง : อัญชลี จวงจันทร์

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง


นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งเรียกกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ได้มีการกำหนดบทบัญญัติรองรับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยให้ประชาชนมีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้เป็นครั้งแรก ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 170 ของรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 50,000 คน สามารถเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาในการเสนอกฎหมาย และเมื่อมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้มีการบัญญัติให้ประชาชนสามารถเข้าชื่อเสนอกฎหมาย โดยกำหนดไว้ในมาตรา 163 โดยได้ลดจำนวนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายจาก 50,000 คน เป็นไม่น้อยกว่า 10,000 คน เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้สิทธิของประชาชนในการเสนอร่างกฎหมายให้สะดวกขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามสิทธิและหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งถือว่าเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ดังนั้น อำนาจสูงสุดภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นอำนาจที่มาจากประชาชน การเสนอร่างกฎหมายโดยประชาชนจึงเป็นกลไกสำคัญที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง

วิธีการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กำหนดให้วิธีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายไว้ โดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาร่างกฎหมายตามที่กำหนดในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และต้องดำเนินการหลักเกณฑ์และวิธีการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556

วิธีการยื่นคำขอเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย

วิธีการยื่นคำขอเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย ให้ผู้เข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายลงลายมือในแบบแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อ ที่อยู่ ลายมือชื่อของผู้เข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย (แบบฟอร์ม ข.ก.1) และแบบแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับผู้แทนการเสนอร่างกฎหมาย (แบบฟอร์ม ข.ก.3) โดยกรอกข้อมูลตามที่ระบุไว้ให้ครบถ้วนชัดเจน พร้อมเอกสารประกอบการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย ดังนี้

1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน บัตรประจำตัวประชาชนที่หมดอายุ หรือบัตรหรือหลักฐานอื่นใดของทางราชการที่มีรูปถ่ายสามารถแสดงตนได้

2. สำเนาทะเบียนบ้าน โดยเอกสารดังกล่าวต้องเป็นเอกสารที่มีความชัดเจน และเป็นปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการตรวจสอบ

ผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย

ผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย ได้แก่ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และจะต้องไม่เป็นผู้เสียสิทธิตาม[[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554]] ทั้งนี้ เมื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดร่วมลงชื่อเสนอกฎหมายโดยถูกต้องแล้วจะถอนชื่อภายหลังมิได้

รูปแบบของร่างกฎหมายที่จะเสนอให้รัฐสภาพิจารณา

ร่างกฎหมายที่เสนอโดยประชาชนเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาต้องมีหลักการเกี่ยวกับเรื่องที่บัญญัติไว้ในกฎหมายในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยแบ่งเป็นมาตราที่ชัดเจน และต้องมีบันทึกประกอบดังต่อไปนี้

1. หลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติ

2. เหตุผลในการเสนอร่างพระราชบัญญัติ

3. บันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ

การพิจารณาร่างกฎหมายที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อเสนอ

เมื่อมีการตรวจสอบความถูกต้องของการเข้าชื่อเสนอกฎหมายและร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอแล้วหากถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และ พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย .ศ. 2556 แล้ว ประธานสภาผู้แทนราษฎรต้องอนุญาตบรรจุระเบียบวาระการประชุมร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อเสนอนั้นเข้าระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฏร ในการพิจารณาตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ได้กำหนดว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้กระทำเป็น 3 วาระตามลำดับ ในวาระที่หนึ่งเป็นขั้นรับหลักการ ในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ในวาระที่สามเป็นการให้ความเห็นชอบ และเมื่อสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบแล้ว จะเสนอวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่งวุฒิสภาก็จะพิจารณาเป็นสามวาระเช่นเดียวกัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติให้ ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้เสนอ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ต้องให้ผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้น ชี้แจงหลักการของร่างพระราชบัญญัติและคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะต้องประกอบด้วยผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมดด้วย จะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อเสนอ จะต้องให้ผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ชี้แจงหลักการของร่างพระราชบัญญัติในที่ประชุมสภาและหากสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภามีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อพิจารณาจะต้องให้ตัวแทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ร่วมเป็นกรรมาธิการด้วย

บรรณานุกรม

การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย. กลุ่มงานเข้าชื่อเสนอกฎหมาย สำนักการประชุม สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพฯ 2546.

แนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เรื่อง การเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชน. กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2549.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. สำนักประชาสัมพันธ์. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย. กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2540.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. สำนักประชาสัมพันธ์. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย. กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2550.

ดูเพิ่มเติม

จันทิมา ทองชาติ. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ศึกษาเฉพาะกรณีการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. กรุงเทพฯ, 2551.

วนิดา แสงสารพันธ์. การเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชน. คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. กรุงเทพฯ, 2543.

สิทธิชัย พิมเสน. การพัฒนากระบวนการนิติบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร ศึกษาเฉพาะกรณีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง. เอกสารวิชาการกรณีศึกษาส่วนบุคคล. รัฐสภา. กรุงเทพฯ, 2549.