ผลต่างระหว่างรุ่นของ "13 กันยายน พ.ศ. 2477"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 6: บรรทัดที่ 6:


----
----
วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2477 เป็นวันที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ให้สัตยาบันสัญญา ที่ทางรัฐบาลไทยในขณะนั้นได้ไปทำกับต่างประเทศ
วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2477 เป็นวันที่[[สภาผู้แทนราษฎร]]มีมติไม่ให้[[สัตยาบันสัญญา]] ที่ทาง[[รัฐบาล]]ไทยในขณะนั้นได้ไปทำกับต่างประเทศ


เรื่องการให้สัตยาบันสัญญานี้ ตั้งแต่มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญตั้งแต่ต้นและรัฐบาลเอาสัญญาที่ทำกับต่างประเทศมาขอสัตยาบันจากสภาก็จะได้สัตยาบันไปแทบทุกครั้ง
เรื่องการให้สัตยาบันสัญญานี้ ตั้งแต่มีการบัญญัติไว้ใน[[รัฐธรรมนูญ]]ตั้งแต่ต้นและรัฐบาลเอาสัญญาที่ทำกับต่างประเทศมาขอสัตยาบันจากสภาก็จะได้สัตยาบันไปแทบทุกครั้ง


มีอยู่ครั้งเดียวเมื่อ พ.ศ. 2477 ในสมัยของรัฐบาลที่มีพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรก คือ ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 54 ว่า
มีอยู่ครั้งเดียวเมื่อ พ.ศ. 2477 ในสมัยของรัฐบาลที่มี[[พระยาพหลพลพยุหเสนา]]เป็น[[นายกรัฐมนตรี]] ขณะนั้นใช้[[รัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรก]] คือ ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 54 ว่า


“หนังสือสัญญาใด ๆ มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตต์สยาม หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามสัญญาไซร้ ท่านว่าต้องได้รับความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร”
“หนังสือสัญญาใด ๆ มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตต์สยาม หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามสัญญาไซร้ ท่านว่าต้องได้รับความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร”


ครั้งนั้นทางรัฐบาลของนายพันเอก พระยาพหลฯ ได้มาขอความเห็นชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในข้อตกลงที่ทำกับต่างประเทศเกี่ยวกับโควตาค้ายาง ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรก็ไม่ยอมให้สัตยาบันสัญญา ดังที่ประเสริฐ  ปัทมะสุคนธ์ ได้บันทึกเล่าเอาไว้ว่า
ครั้งนั้นทางรัฐบาลของนายพันเอก พระยาพหลฯ ได้มา[[ขอความเห็นชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร]]ในข้อตกลงที่ทำกับต่างประเทศเกี่ยวกับโควตาค้ายาง ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรก็ไม่ยอมให้สัตยาบันสัญญา ดังที่ประเสริฐ  ปัทมะสุคนธ์ ได้บันทึกเล่าเอาไว้ว่า


“วันจันทร์ที่ 10 กันยายน ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องนี้ ผู้แทนราษฎรในจังหวัดที่มีสวนยางได้ชี้แจงทางได้ทางเสียในข้อสัญญาตามที่ทางรัฐบาลได้ไปตกลงมา การพิจารณาได้ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 13 กันยายน อีกวันหนึ่ง ที่ประชุมเห็นว่า ถ้าให้สัตยาบันสัญญานี้จะทำให้ราษฎรสยาม ที่มีอาชีพในการทำสวนยางถูกผูกมัดเสียเปรียบเป็นอันมาก จึงลงมติไม่เห็นชอบด้วยกับสนธิสัญญาที่รัฐบาลทำไป ไม่อนุมัติตามที่รัฐบาลขอสัตยาบันมาด้วยคะแนน 73 ต่อ 25”
“วันจันทร์ที่ 10 กันยายน ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องนี้ ผู้แทนราษฎรในจังหวัดที่มีสวนยางได้ชี้แจงทางได้ทางเสียในข้อสัญญาตามที่ทางรัฐบาลได้ไปตกลงมา การพิจารณาได้ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 13 กันยายน อีกวันหนึ่ง ที่ประชุมเห็นว่า ถ้าให้สัตยาบันสัญญานี้จะทำให้ราษฎรสยาม ที่มีอาชีพในการทำสวนยางถูกผูกมัดเสียเปรียบเป็นอันมาก จึงลงมติไม่เห็นชอบด้วยกับสนธิสัญญาที่รัฐบาลทำไป ไม่อนุมัติตามที่รัฐบาลขอสัตยาบันมาด้วยคะแนน 73 ต่อ 25”

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 16:01, 9 กันยายน 2556

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2477 เป็นวันที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ให้สัตยาบันสัญญา ที่ทางรัฐบาลไทยในขณะนั้นได้ไปทำกับต่างประเทศ

เรื่องการให้สัตยาบันสัญญานี้ ตั้งแต่มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญตั้งแต่ต้นและรัฐบาลเอาสัญญาที่ทำกับต่างประเทศมาขอสัตยาบันจากสภาก็จะได้สัตยาบันไปแทบทุกครั้ง

มีอยู่ครั้งเดียวเมื่อ พ.ศ. 2477 ในสมัยของรัฐบาลที่มีพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรก คือ ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 54 ว่า

“หนังสือสัญญาใด ๆ มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตต์สยาม หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามสัญญาไซร้ ท่านว่าต้องได้รับความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร”

ครั้งนั้นทางรัฐบาลของนายพันเอก พระยาพหลฯ ได้มาขอความเห็นชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในข้อตกลงที่ทำกับต่างประเทศเกี่ยวกับโควตาค้ายาง ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรก็ไม่ยอมให้สัตยาบันสัญญา ดังที่ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ ได้บันทึกเล่าเอาไว้ว่า

“วันจันทร์ที่ 10 กันยายน ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องนี้ ผู้แทนราษฎรในจังหวัดที่มีสวนยางได้ชี้แจงทางได้ทางเสียในข้อสัญญาตามที่ทางรัฐบาลได้ไปตกลงมา การพิจารณาได้ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 13 กันยายน อีกวันหนึ่ง ที่ประชุมเห็นว่า ถ้าให้สัตยาบันสัญญานี้จะทำให้ราษฎรสยาม ที่มีอาชีพในการทำสวนยางถูกผูกมัดเสียเปรียบเป็นอันมาก จึงลงมติไม่เห็นชอบด้วยกับสนธิสัญญาที่รัฐบาลทำไป ไม่อนุมัติตามที่รัฐบาลขอสัตยาบันมาด้วยคะแนน 73 ต่อ 25”

เมื่อเป็นเช่นนี้นายกรัฐมนตรี พระยาพหลฯ จึงนำรัฐบาลาออกจากตำแหน่ง นับเป็นครั้งแรกและยังเป็นครั้งเดียวที่สภาไม่ได้ให้สัตยาบันสัญญา ที่น่าแปลกก็คือสภาผู้แทนราษฎรสมัยนั้นมีสมาชิกสภาที่มาจากการแต่งตั้งถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้แทนราษฎรทั้งสภา แต่รัฐบาลกลับแพ้เสียงเป็นจำนวนมาก