ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การเวียนเทียน"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Tora (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
{{รอผู้ทรง}}
----


----
'''ผู้เรียบเรียง''' โอฬาร  ถิ่นบางเตียว และ  รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
'''ผู้เรียบเรียง''' โอฬาร  ถิ่นบางเตียว และ  รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
----
----


'''การเวียนเทียน''' หมายถึง พฤติกรรมในการทุจริตการเลือกตั้งโดยการใช้บัตรประชาชนใบเดียวเวียนกันไปใช้สิทธิเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งซ้ำกันหลายๆ รอบ พฤติกรรมการทุจริตการเลือกตั้งดังกล่าวเป็นการทุจริตที่ต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างผู้สมัครรับเลือกตั้งกับกรรมการการเลือกตั้งประจำหน่วยเลือกตั้ง  หรือเป็นหน่วยเลือกตั้งที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งมีอิทธิพลสูงสามารถ ทำให้กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งให้ร่วมมือในการทุจริตการเลือกตั้ง  หรือการวางยุทธศาสตร์โดยให้คนของผู้สมัครรับเลือกตั้งเข้าไปเป็นกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


----


พฤติกรรมการทุจริตการเลือกตั้งโดยวิธีการดังกล่าวมักจะกระทำในเขตเลือกตั้งที่อยู่ห่างไกลจากชุมชน ประชาชนไม่สนใจติดตามการลงคะแนนใช้สิทธิเลือกตั้ง ในหน่วยเลือกตั้งจึงมีเพียงคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งที่ดูแลและควบคุมการใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชนเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการทุจริตในลักษณะดังกล่าวได้ง่าย และอาศัยช่วงเวลาที่ผู้มาใช้สิทธิไม่มากโดยเฉพาะช่วงเปิดหีบเลือกตั้งใหม่ๆ หรือใกล้เวลาปิดหีบเลือกตั้ง
'''การเวียนเทียน''' หมายถึง พฤติกรรมในการทุจริตการเลือกตั้งโดยการใช้บัตรประชาชนใบเดียวเวียนกันไปใช้สิทธิเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งซ้ำกันหลาย ๆ รอบ ซึ่งมักปรากฏหน่วยเลือกตั้งที่มีทหารมาใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นหลัก พฤติกรรมการทุจริตการเลือกตั้งดังกล่าวเป็นการทุจริตที่ต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างผู้สมัครรับเลือกตั้งกับกรรมการการเลือกตั้งประจำหน่วยเลือกตั้ง หรือเป็นหน่วยเลือกตั้งที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งมีอิทธิพลสูง สามารถทำให้กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งให้ร่วมมือในการทุจริตการเลือกตั้ง หรือการวางยุทธศาสตร์โดยให้คนของผู้สมัครรับเลือกตั้งเข้าไปเป็นกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง
 
 
พฤติกรรมการทุจริตการเลือกตั้งโดยวิธีการนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยรัฐบาล[[จอมพล แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล ป. พิบูลสงคราม]]  ในการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2500 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการแข่งขันกัน 2 พรรคใหญ่ คือ พรรคเสรีมนังคศิลากับพรรคประชาธิปัตย์
 
 
พรรคเสรีมนังคศิลาเป็นพรรครัฐบาล มี[[จอมพล แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล ป. พิบูลสงคราม]] นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรค และ[[พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์]] อธิบดีกรมตำรวจ เป็นเลขาธิการพรรค ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน มีนาย[[ควง อภัยวงศ์]] เป็นหัวหน้าพรรค
 
 
การเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 นับเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะ[[จอมพล แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล ป. พิบูลสงคราม]] หัวหน้าพรรคและ[[พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์]] เลขาธิการ ใช้อำนาจและอิทธิพลของทหารและตำรวจบีบบังคับข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือนให้ช่วยพรรคเสรีมนังคศิลาอย่างเต็มที่
 


หลังการเลือกตั้งพรรคเสรีมนังคศิลาชนะพรรคประชาธิปัตย์ แต่หนังสือพิมพ์ สื่อมวลชนทุกแขนงต่างประโคมข่าวการทุจริตการเลือกตั้งอย่างขนานใหญ่ของพรรคเสรีมนังคศิลา ประชาชนและขบวนการนิสิตนักศึกษาต่างโจมตีการเลือกตั้งสกปรกครั้งนี้ เพราะมีการทุจริตการเลือกตั้งโดยใช้วิธีการ [[พลร่ม]] [[ไพ่ไฟ]] '''การเวียนเทียน'''  การบีบบังคับข้าราชการประจำและมีการทุจริตเลือกตั้งในรูปแบบต่างๆ กันถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการทุจริตการเลือกตั้งที่ใช้ต่อๆกันมา


พฤติกรรมการทุจริตการเลือกตั้งโดยวิธีการดังกล่าว มักจะกระทำในเขตเลือกตั้งที่อยู่ห่างไกลจากชุมชน หรือเป็นเขตเลือกตั้งที่มีกลุ่มผู้ใช้สิทธิจำกัด เช่น หน่วยเลือกตั้งที่มีทหารมาใช้สิทธิจำนวนมาก เป็นต้น ซึ่งประชาชนไม่สนใจติดตามการลงคะแนนใช้สิทธิเลือกตั้ง ในหน่วยเลือกตั้งจึงมีเพียงคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งที่ดูแลและควบคุมการใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการทุจริตในลักษณะดังกล่าวได้ง่าย และอาศัยช่วงเวลาที่ผู้มาใช้สิทธิไม่มากโดยเฉพาะช่วงเปิดหีบเลือกตั้งใหม่ ๆ หรือใกล้เวลาปิดหีบเลือกตั้ง


พฤติกรรมการอำนาจของรัฐบาลในการทุจริตการเลือกตั้ง  สร้างความไม่พอใจให้กลุ่มนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รวมตัวกันประมาณ 2,000 คน ก็ได้ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะต่อต้านรัฐบาล นิสิตเหล่านี้ลดธงชาติลงครึ่งเสาซึ่งเป็นการแสดงการไว้อาลัยประชาธิปไตยที่ตายไป ประชาชนได้เดินขบวนคัดค้านการเลือกตั้งสกปรกพรรคประชาธิปัตย์ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ถึงแม้ตัว[[จอมพล แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล ป. พิบูลสงคราม]] หัวหน้าพรรคเสรีมนังคศิลาและรักษาการนายกรัฐมนตรี ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะทำความเข้าใจกับสื่อมวลชน ประชาชน และนิสิตนักศึกษา แต่ความไม่พอใจในตัว[[จอมพล แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล ป. พิบูลสงคราม]] กลับเพิ่มมากขึ้น วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2500 หรือ 1 สัปดาห์หลังการเลือกตั้ง
พฤติกรรมการทุจริตการเลือกตั้งโดยวิธีการนี้ เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2500 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการแข่งขันกัน 2 พรรคใหญ่ คือ พรรคเสรีมนังคศิลา กับพรรคประชาธิปัตย์


พรรคเสรีมนังคศิลาเป็นพรรครัฐบาล มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรค และพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ เป็นเลขาธิการพรรค ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน มีนายควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรค


นิสิตเหล่านี้เดินขบวนไปที่กระทรวงมหาดไทยโสยการแนะนนำของ[[จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์]] เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกและให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยที่มีคณะกรรมการประกอบด้วยนิสิตในการควบคุมการลงคะแนน นายกรัฐมนตรีกล่าวตอบว่า การเลือกตั้งจะเป็นโมฆะก็ต่อเมื่อศาลสั่ง นิสิตสลายตัวเมื่อ[[จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์]] ขอให้สลายตัว และสฤษดิ์ได้กล่าวคำคมในประวัติศาสตร์ไว้ที่สะพานมัฆวานว่า “พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ”
การเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 นับเป็นการเลือกตั้งที่มีการทุจริตมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะจอมพล ป. พิบูลสงคราม หัวหน้าพรรค และพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เลขาธิการ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า มีการใช้อำนาจและอิทธิพลของทหารและตำรวจบีบบังคับข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือนให้ช่วยพรรคเสรีมนังคศิลาอย่างเต็มที่


หลังการเลือกตั้งพรรคเสรีมนังคศิลาชนะพรรคประชาธิปัตย์ แต่หนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนทุกแขนงต่างประโคมข่าวการทุจริตการเลือกตั้งอย่างขนานใหญ่ของพรรคเสรีมนังคศิลา ในขณะเดียวกันประชาชนและขบวนการนิสิตนักศึกษาต่างโจมตีการเลือกตั้งสกปรกครั้งนี้ โดยเฉพาะกรณีการทุจริตการเลือกตั้งโดยใช้วิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น พลร่ม ไพ่ไฟ การเวียนเทียน การบีบบังคับข้าราชการประจำ การทุจริตเลือกตั้งในรูปแบบต่าง ๆ ดังกล่าวที่ปรากฏในครั้งนั้น ถือกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการทุจริตการเลือกตั้งที่ใช้ต่อ ๆ กันมา


[[จอมพล แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล ป. พิบูลสงคราม]] รักษาการนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองแต่กลับเพิ่มดีกรีของความรุนแรงให้มากยิ่งขึ้น การเดินขบวนประท้วงของประชาชนและนิสิตนักศึกษามุ่งหน้าจากท้องสนามหลวงสู่ทำเนียบรัฐบาล และในวันเดียวกันนี้ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งให้[[จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์]] เป็นผู้รักษาความสงบเรียบร้อยตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและมีอำนาจบังคับบัญชาทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจได้ทั่วราชอาณาจักร
พฤติกรรมการอำนาจของรัฐบาลในการทุจริตการเลือกตั้งดังกล่าว ได้สร้างความไม่พอใจให้กลุ่มนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยนิสิตนักศึกษาได้รวมตัวกันประมาณ 2,000 คน ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะต่อต้านรัฐบาล นิสิตเหล่านี้ลดธงชาติลงครึ่งเสาซึ่งเป็นการแสดงการไว้อาลัยประชาธิปไตยที่ตายไป ในขณะที่ประชาชนมีการเดินขบวนคัดค้านการเลือกตั้งสกปรก ส่วนพรรคประชาธิปัตย์แสดงการคัดค้านโดยประกาศไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ถึงแม้ตัวจอมพล ป. พิบูลสงคราม หัวหน้าพรรคเสรีมนังคศิลาและรักษาการนายกรัฐมนตรี ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะทำความเข้าใจกับสื่อมวลชน ประชาชน และนิสิตนักศึกษา แต่ความไม่พอใจในตัวจอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับเพิ่มมากขึ้น


วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2500 หรือ 1 สัปดาห์หลังการเลือกตั้ง นิสิตเหล่านี้เดินขบวนไปที่กระทรวงมหาดไทยโสยการแนะนนำของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกและให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยที่มีคณะกรรมการประกอบด้วยนิสิตในการควบคุมการลงคะแนน นายกรัฐมนตรีกล่าวตอบว่า การเลือกตั้งจะเป็นโมฆะก็ต่อเมื่อศาลสั่ง


หลังการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์และหลังการรณรงค์คัดค้านการเลือกตั้งที่สกปรก คะแนนนิยมและฐานะของ[[จอมพล แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล ป. พิบูลสงคราม]] เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว พวกที่คัดค้านรัฐบาล และความเป็นเผด็จการและการใช้อำนาจผิด ๆ ของพลตำรวจเอกเผ่าก็ยิ่งเพิ่มขึ้น จนถึงวันที่ 16 เดือนกันยายน พ.ศ.2500 [[จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์]] จึงทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล[[จอมพล แปลก พิบูลสงคราม|จอมพล ป. พิบูลสงคราม]]
จอมพล ป. พิบูลสงคราม รักษาการนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง แต่กลับเพิ่มดีกรีของความรุนแรงให้มากยิ่งขึ้น การเดินขบวนประท้วงของประชาชนและนิสิตนักศึกษามุ่งหน้าจากท้องสนามหลวงสู่ทำเนียบรัฐบาล และในวันเดียวกันนี้ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้รักษาความสงบเรียบร้อยตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และมีอำนาจบังคับบัญชาทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจได้ทั่วราชอาณาจักร


หลังการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 และหลังการรณรงค์คัดค้านการเลือกตั้งที่สกปรก คะแนนนิยมและฐานะของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เสื่อมคลายลงอย่างรวดเร็ว กระทั่งในวันที่ 16 เดือนกันยายน พ.ศ.2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม


[[category:กิจกรรมทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง]]
[[category:กิจกรรมทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:52, 3 กันยายน 2553


ผู้เรียบเรียง โอฬาร ถิ่นบางเตียว และ รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


การเวียนเทียน หมายถึง พฤติกรรมในการทุจริตการเลือกตั้งโดยการใช้บัตรประชาชนใบเดียวเวียนกันไปใช้สิทธิเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งซ้ำกันหลาย ๆ รอบ ซึ่งมักปรากฏหน่วยเลือกตั้งที่มีทหารมาใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นหลัก พฤติกรรมการทุจริตการเลือกตั้งดังกล่าวเป็นการทุจริตที่ต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างผู้สมัครรับเลือกตั้งกับกรรมการการเลือกตั้งประจำหน่วยเลือกตั้ง หรือเป็นหน่วยเลือกตั้งที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งมีอิทธิพลสูง สามารถทำให้กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งให้ร่วมมือในการทุจริตการเลือกตั้ง หรือการวางยุทธศาสตร์โดยให้คนของผู้สมัครรับเลือกตั้งเข้าไปเป็นกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง


พฤติกรรมการทุจริตการเลือกตั้งโดยวิธีการดังกล่าว มักจะกระทำในเขตเลือกตั้งที่อยู่ห่างไกลจากชุมชน หรือเป็นเขตเลือกตั้งที่มีกลุ่มผู้ใช้สิทธิจำกัด เช่น หน่วยเลือกตั้งที่มีทหารมาใช้สิทธิจำนวนมาก เป็นต้น ซึ่งประชาชนไม่สนใจติดตามการลงคะแนนใช้สิทธิเลือกตั้ง ในหน่วยเลือกตั้งจึงมีเพียงคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งที่ดูแลและควบคุมการใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการทุจริตในลักษณะดังกล่าวได้ง่าย และอาศัยช่วงเวลาที่ผู้มาใช้สิทธิไม่มากโดยเฉพาะช่วงเปิดหีบเลือกตั้งใหม่ ๆ หรือใกล้เวลาปิดหีบเลือกตั้ง

พฤติกรรมการทุจริตการเลือกตั้งโดยวิธีการนี้ เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2500 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการแข่งขันกัน 2 พรรคใหญ่ คือ พรรคเสรีมนังคศิลา กับพรรคประชาธิปัตย์

พรรคเสรีมนังคศิลาเป็นพรรครัฐบาล มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรค และพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ เป็นเลขาธิการพรรค ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน มีนายควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรค

การเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 นับเป็นการเลือกตั้งที่มีการทุจริตมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะจอมพล ป. พิบูลสงคราม หัวหน้าพรรค และพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เลขาธิการ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า มีการใช้อำนาจและอิทธิพลของทหารและตำรวจบีบบังคับข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือนให้ช่วยพรรคเสรีมนังคศิลาอย่างเต็มที่

หลังการเลือกตั้งพรรคเสรีมนังคศิลาชนะพรรคประชาธิปัตย์ แต่หนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนทุกแขนงต่างประโคมข่าวการทุจริตการเลือกตั้งอย่างขนานใหญ่ของพรรคเสรีมนังคศิลา ในขณะเดียวกันประชาชนและขบวนการนิสิตนักศึกษาต่างโจมตีการเลือกตั้งสกปรกครั้งนี้ โดยเฉพาะกรณีการทุจริตการเลือกตั้งโดยใช้วิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น พลร่ม ไพ่ไฟ การเวียนเทียน การบีบบังคับข้าราชการประจำ การทุจริตเลือกตั้งในรูปแบบต่าง ๆ ดังกล่าวที่ปรากฏในครั้งนั้น ถือกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการทุจริตการเลือกตั้งที่ใช้ต่อ ๆ กันมา

พฤติกรรมการอำนาจของรัฐบาลในการทุจริตการเลือกตั้งดังกล่าว ได้สร้างความไม่พอใจให้กลุ่มนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยนิสิตนักศึกษาได้รวมตัวกันประมาณ 2,000 คน ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะต่อต้านรัฐบาล นิสิตเหล่านี้ลดธงชาติลงครึ่งเสาซึ่งเป็นการแสดงการไว้อาลัยประชาธิปไตยที่ตายไป ในขณะที่ประชาชนมีการเดินขบวนคัดค้านการเลือกตั้งสกปรก ส่วนพรรคประชาธิปัตย์แสดงการคัดค้านโดยประกาศไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ถึงแม้ตัวจอมพล ป. พิบูลสงคราม หัวหน้าพรรคเสรีมนังคศิลาและรักษาการนายกรัฐมนตรี ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะทำความเข้าใจกับสื่อมวลชน ประชาชน และนิสิตนักศึกษา แต่ความไม่พอใจในตัวจอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับเพิ่มมากขึ้น

วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2500 หรือ 1 สัปดาห์หลังการเลือกตั้ง นิสิตเหล่านี้เดินขบวนไปที่กระทรวงมหาดไทยโสยการแนะนนำของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกและให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยที่มีคณะกรรมการประกอบด้วยนิสิตในการควบคุมการลงคะแนน นายกรัฐมนตรีกล่าวตอบว่า การเลือกตั้งจะเป็นโมฆะก็ต่อเมื่อศาลสั่ง

จอมพล ป. พิบูลสงคราม รักษาการนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง แต่กลับเพิ่มดีกรีของความรุนแรงให้มากยิ่งขึ้น การเดินขบวนประท้วงของประชาชนและนิสิตนักศึกษามุ่งหน้าจากท้องสนามหลวงสู่ทำเนียบรัฐบาล และในวันเดียวกันนี้ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้รักษาความสงบเรียบร้อยตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และมีอำนาจบังคับบัญชาทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจได้ทั่วราชอาณาจักร

หลังการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 และหลังการรณรงค์คัดค้านการเลือกตั้งที่สกปรก คะแนนนิยมและฐานะของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เสื่อมคลายลงอย่างรวดเร็ว กระทั่งในวันที่ 16 เดือนกันยายน พ.ศ.2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม