ผลต่างระหว่างรุ่นของ "26 มกราคม พ.ศ. 2518"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 1 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน)
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
'''ผู้เรียบเรียง''' ศาสตราจารย์(พิเศษ) นรนิติ เศรษฐบุตร
'''ผู้เรียบเรียง''' ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


----
----
บรรทัดที่ 7: บรรทัดที่ 7:
----
----


วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 เป็นวันที่มีการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 10 ของไทย และเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517  รัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างขึ้นหลังล้มรัฐบาลทหารของจอมพล ถนอม  กิตติขจร
วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 เป็นวันที่มี[[การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 10]] ของไทย และเป็น[[การเลือกตั้งทั่วไป]]ครั้งแรกหลังการประกาศใช้[[รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517]] [[รัฐธรรมนูญ]]ฉบับนี้ร่างขึ้นหลังล้มรัฐบาลทหารของจอมพล ถนอม  กิตติขจร
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ต้องการสร้างความเข้มแข็งให้แก่พรรคการเมืองและรัฐสภามากขึ้น จึงได้มีบทบัญญัติที่ถือว่าใหม่มากเกี่ยวกับการสังกัดพรรคการเมืองอยู่ด้วย เช่นมีบทบัญญัติเป็นครั้งแรกให้ผู้สมัครลงเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสังกัดพรรคการเมือง ดังปรากฏในมาตรา 177 ว่าผู้มีสิทธิสมัครต้องมีคุณสมบัติ
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ต้องการสร้างความเข้มแข็งให้แก่[[พรรคการเมือง]]และ[[รัฐสภา]]มากขึ้น จึงได้มีบทบัญญัติที่ถือว่าใหม่มากเกี่ยวกับ[[การสังกัดพรรคการเมือง]]อยู่ด้วย เช่นมีบทบัญญัติเป็นครั้งแรกให้ผู้สมัครลงเลือกตั้งเป็น[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]ต้องสังกัดพรรคการเมือง ดังปรากฏในมาตรา 177 ว่าผู้มีสิทธิสมัครต้องมีคุณสมบัติ
“เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่พรรคเดียว”
“เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่พรรคเดียว”
ยิ่งไปกว่านั้นในมาตราเดียวกันนี้ ยังกำหนดอีกว่าผู้จะเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องชนะการเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร โดยบัญญัติว่า
ยิ่งไปกว่านั้นในมาตราเดียวกันนี้ ยังกำหนดอีกว่าผู้จะเป็น[[นายกรัฐมนตรี]]จะต้องชนะการเลือกตั้งเป็น[[ผู้แทนราษฎร]] โดยบัญญัติว่า
“นายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร...”
“นายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร...”
การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้มีพรรคการเมืองส่งผู้สมัครที่เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองเข้าแข่งขันชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้สภาผู้แทนราษฎรที่มีอยู่ทั้งหมด 269 ที่นั่งกันเป็นจำนวนมาก และหลายพรรคการเมือง การหาเสียงในตอนนั้นก็ถือว่าทำกันได้อย่างเสรีมาก รัฐบาลไม่ได้ลงแข่งขันด้วยและพรรคการเมืองก็มีทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม ไปจนถึงฝ่ายสังคมนิยม
การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้มีพรรคการเมืองส่งผู้สมัครที่เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองเข้าแข่งขันชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้สภาผู้แทนราษฎรที่มีอยู่ทั้งหมด 269 ที่นั่งกันเป็นจำนวนมาก และหลายพรรคการเมือง [[การหาเสียง]]ในตอนนั้นก็ถือว่าทำกันได้อย่าง[[เสรีมาก]] รัฐบาลไม่ได้ลงแข่งขันด้วยและพรรคการเมืองก็มีทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม ไปจนถึงฝ่ายสังคมนิยม
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่มีพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งได้เสียเกินกว่าครึ่ง ปรากฏว่าพรรคการเมืองสิบพรรคแรกได้คะแนนเสียงเรียงกันตามลำดับดังนี้
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่มีพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งได้เสียเกินกว่าครึ่ง ปรากฏว่าพรรคการเมืองสิบพรรคแรกได้คะแนนเสียงเรียงกันตามลำดับดังนี้
1. พรรคประชาธิปัตย์ 72 เสียง
1. [[พรรคประชาธิปัตย์ 72 เสียง]]


2. พรรคธรรมสังคม 45 เสียง
2. [[พรรคธรรมสังคม 45 เสียง]]


3. พรรคชาติไทย 28 เสียง
3. [[พรรคชาติไทย 28 เสียง]]


4. พรรคเกษตรสังคม 19 เสียง
4. [[พรรคเกษตรสังคม 19 เสียง]]


5. พรรคกิจสังคม 18 เสียง
5. [[พรรคกิจสังคม 18 เสียง]]


6. พรรคสังคมชาตินิยม 16 เสียง
6.[[พรรคสังคมชาตินิยม 16 เสียง]]


7. พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย  15  เสียง
7. [[พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย  15  เสียง]]


8. พรรคพลังใหม่ 12 เสียง
8. [[พรรคพลังใหม่ 12 เสียง]]


9. พรรคแนวร่วมสังคมนิยม 10 เสียง
9. [[พรรคแนวร่วมสังคมนิยม 10 เสียง]]


10. พรรคสันติชน   8 เสียง
10. [[พรรคสันติชน   8 เสียง]]


พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่งจึงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย จึงอยู่ได้เพียงถึงวันลงมติไว้วางใจ และรัฐบาลไม่ได้รับมติไว้วางใจจึงต้องออกไปให้มีการการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่งจึงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย จึงอยู่ได้เพียงถึงวัน[[ลงมติไว้วางใจ]] และรัฐบาลไม่ได้รับมติไว้วางใจจึงต้องออกไปให้มีการการจัดตั้งรัฐบาลใหม่


[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2501-2519]]
[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2501-2519]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 09:50, 17 กันยายน 2556

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 เป็นวันที่มีการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 10 ของไทย และเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 รัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างขึ้นหลังล้มรัฐบาลทหารของจอมพล ถนอม กิตติขจร

รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ต้องการสร้างความเข้มแข็งให้แก่พรรคการเมืองและรัฐสภามากขึ้น จึงได้มีบทบัญญัติที่ถือว่าใหม่มากเกี่ยวกับการสังกัดพรรคการเมืองอยู่ด้วย เช่นมีบทบัญญัติเป็นครั้งแรกให้ผู้สมัครลงเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสังกัดพรรคการเมือง ดังปรากฏในมาตรา 177 ว่าผู้มีสิทธิสมัครต้องมีคุณสมบัติ

“เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่พรรคเดียว”

ยิ่งไปกว่านั้นในมาตราเดียวกันนี้ ยังกำหนดอีกว่าผู้จะเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องชนะการเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร โดยบัญญัติว่า

“นายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร...”

การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้มีพรรคการเมืองส่งผู้สมัครที่เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองเข้าแข่งขันชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้สภาผู้แทนราษฎรที่มีอยู่ทั้งหมด 269 ที่นั่งกันเป็นจำนวนมาก และหลายพรรคการเมือง การหาเสียงในตอนนั้นก็ถือว่าทำกันได้อย่างเสรีมาก รัฐบาลไม่ได้ลงแข่งขันด้วยและพรรคการเมืองก็มีทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม ไปจนถึงฝ่ายสังคมนิยม

ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่มีพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งได้เสียเกินกว่าครึ่ง ปรากฏว่าพรรคการเมืองสิบพรรคแรกได้คะแนนเสียงเรียงกันตามลำดับดังนี้ 1. [[พรรคประชาธิปัตย์ 72 เสียง]]

2. [[พรรคธรรมสังคม 45 เสียง]]

3. [[พรรคชาติไทย 28 เสียง]]

4. [[พรรคเกษตรสังคม 19 เสียง]]

5. [[พรรคกิจสังคม 18 เสียง]]

6.[[พรรคสังคมชาตินิยม 16 เสียง]]

7. พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย 15 เสียง

8. [[พรรคพลังใหม่ 12 เสียง]]

9. [[พรรคแนวร่วมสังคมนิยม 10 เสียง]]

10. [[พรรคสันติชน 8 เสียง]]

พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่งจึงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย จึงอยู่ได้เพียงถึงวันลงมติไว้วางใจ และรัฐบาลไม่ได้รับมติไว้วางใจจึงต้องออกไปให้มีการการจัดตั้งรัฐบาลใหม่