ผลต่างระหว่างรุ่นของ "นับคะแนนเสียง"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Panu (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Teeraphan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 11 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 3 คน)
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
'''ผู้เรียบเรียง''' ขัตติยา ทองทา
'''ผู้เรียบเรียง''' ขัตติยา ทองทา
 
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฏร จเร พันธุ์เปรื่อง
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง  


----
----


นับคะแนนเสียง เป็นกลไกสำคัญกลไกหนึ่งที่ใช้ในการหาข้อสรุปจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎร การประชุมวุฒิสภา หรือ การประชุมร่วมกันของรัฐสภา แล้วแต่กรณี ที่มีสมาชิกจำนวนมาก นำไปสู่การลงมติ เพื่อแสดงให้เห็นถึงทิศทางการตัดสินใจของที่ประชุม โดยปกติให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญ   และเป็นส่วนหนึ่งของข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา และข้อบังคับการประชุมรัฐสภา
นับคะแนนเสียง เป็นกลไกสำคัญกลไกหนึ่งที่ใช้ใน[[การหาข้อสรุปจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎร]] [[การประชุมวุฒิสภา]] หรือ [[การประชุมร่วมกันของรัฐสภา]] แล้วแต่กรณี ที่มีสมาชิกจำนวนมาก นำไปสู่การลงมติ เพื่อแสดงให้เห็นถึงทิศทางการตัดสินใจของที่ประชุม โดยปกติให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญ และเป็นส่วนหนึ่งของข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา และข้อบังคับการประชุมรัฐสภา


==นับคะแนนเสียง คืออะไร==
==นับคะแนนเสียง คืออะไร==


'''“นับคะแนนเสียง”'''   เป็นการคำนวณเพื่อหาข้อยุติ และประกาศผลการลงมติในเรื่องใดๆ ของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชุมวุฒิสภา หรือการประชุมร่วมกันของรัฐสภา สมาชิกคนหนึ่งมีสิทธิในการ[[ออกเสียงลงคะแนน]]ได้หนึ่งเสียง เมื่อการออกเสียงลงคะแนนสิ้นสุดลง ประธานในที่ประชุมจะสั่งให้มีการนับคะแนนเสียง เพื่อดูว่าคะแนนเสียงที่ได้รับเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ แล้วประธานในที่ประชุมสภาก็จะเป็นผู้ประกาศผลการนับคะแนนเสียงที่เรียกว่า ประกาศมติของที่ประชุมสภา ในขณะที่มีการนับคะแนนเสียงไปแล้ว ก่อนที่ประธานสภาจะประกาศมติ อาจมีการขอให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่ ก็ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมสภา ซึ่งแตกต่างจากคำว่า '''“ออกเสียงลงคะแนน”''' ตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญ หมายถึง การออกเสียงลงคะแนนเพื่อเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา เท่านั้น เป็นคนละเรื่องกับการ “ลงคะแนน” ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา เพื่อมีมติในเรื่องใดเรื่องหนึ่งในที่ประชุมสภา
'''“นับคะแนนเสียง”''' เป็นการคำนวณเพื่อหาข้อยุติ และประกาศผลการลงมติในเรื่องใดๆ ของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชุมวุฒิสภา หรือการประชุมร่วมกันของรัฐสภา สมาชิกคนหนึ่งมีสิทธิในการ[[ออกเสียงลงคะแนน]]ได้หนึ่งเสียง เมื่อการออกเสียงลงคะแนนสิ้นสุดลง ประธานในที่ประชุมจะสั่งให้มีการนับคะแนนเสียง เพื่อดูว่าคะแนนเสียงที่ได้รับเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ แล้วประธานในที่ประชุมสภาก็จะเป็นผู้ประกาศผลการนับคะแนนเสียงที่เรียกว่า ประกาศมติของที่ประชุมสภา ในขณะที่มีการนับคะแนนเสียงไปแล้ว ก่อนที่ประธานสภาจะประกาศมติ อาจมีการขอให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่ ก็ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ[[การประชุมสภา]] ซึ่งแตกต่างจากคำว่า '''“ออกเสียงลงคะแนน”''' ตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญ หมายถึง การออกเสียงลงคะแนนเพื่อเลือกตั้งสมาชิก[[สภาผู้แทนราษฎร]] และเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา เท่านั้น เป็นคนละเรื่องกับการ “ลงคะแนน” ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา เพื่อมีมติในเรื่องใดเรื่องหนึ่งในที่ประชุมสภา


==การนับคะแนนเสียงตามข้อบังคับการประชุม==
==การนับคะแนนเสียงตามข้อบังคับการประชุม==


การนับคะแนนเสียงตามข้อบังคับการประชุมนั้น ขึ้นอยู่กับการออกเสียงลงคะแนน แบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ การออกเสียงลงคะแนนเปิดเผย และการออกเสียงลงคะแนนลับ ในข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 และข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ได้กำหนดเกี่ยวกับการออกเสียงลงคะแนน ที่เหมือนกันและแตกต่างกัน ดังนี้  
การนับคะแนนเสียงตามข้อบังคับการประชุมนั้น ขึ้นอยู่กับการออกเสียงลงคะแนน แบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ [[การออกเสียงลงคะแนนเปิดเผย]] และ[[การออกเสียงลงคะแนนลับ]] ในข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 และข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ได้กำหนดเกี่ยวกับการออกเสียงลงคะแนน ที่เหมือนกันและแตกต่างกัน ดังนี้  


'''ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551''' (ซึ่งใช้บังคับกับการประชุมร่วมกันของรัฐสภาด้วยโดยอนุโลม) '''ข้อ 72''' กำหนดว่า
'''ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551''' (ซึ่งใช้บังคับกับการประชุมร่วมกันของรัฐสภาด้วยโดยอนุโลม) '''ข้อ 72''' กำหนดว่า


การออกเสียงลงคะแนนให้กระทำเป็นการเปิดเผย แต่เมื่อสมาชิกเสนอญัตติโดยมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 20 คน จึงให้ลงคะแนนลับ ถ้ามีสมาชิกคัดค้านและมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกในที่ประชุม ให้ถือเป็นเอกสิทธิ์ที่จะลงคะแนนโดยเปิดเผย
การออกเสียงลงคะแนนให้กระทำเป็นการเปิดเผย แต่เมื่อสมาชิกเสนอ[[ญัตติ]]โดยมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 20 คน จึงให้ลงคะแนนลับ ถ้ามีสมาชิกคัดค้านและมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกในที่ประชุม ให้ถือเป็นเอกสิทธิ์ที่จะลงคะแนนโดยเปิดเผย


'''ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ข้อ 66''' กำหนดว่า
'''ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ข้อ 66''' กำหนดว่า


การออกเสียงลงคะแนนให้กระทำเป็นการเปิดเผย แต่เมื่อสมาชิกเสนอญัตติโดยมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 20 คน จึงให้ลงคะแนนลับ ถ้ามีสมาชิกคัดค้านและมีผู้รับรองมากกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกในที่ประชุม ก็ให้ลงคะแนนโดยเปิดเผย
การออกเสียงลงคะแนนให้กระทำเป็นการเปิดเผย แต่เมื่อสมาชิกเสนอญัตติโดยมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 20 คน จึงให้ลงคะแนนลับ ถ้ามีสมาชิกคัดค้านและมีผู้รับรองมากกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกในที่ประชุม ก็ให้ลงคะแนนโดยเปิดเผย


'''การนับคะแนนเสียง จากการออกเสียงลงคะแนนโดยเปิดเผย และการออกเสียงลงคะแนนลับ''' มีวิธีปฏิบัติที่เหมือนกันและแตกต่างกัน ดังนี้
'''การนับคะแนนเสียง จากการออกเสียงลงคะแนนโดยเปิดเผย และการออกเสียงลงคะแนนลับ''' มีวิธีปฏิบัติที่เหมือนกันและแตกต่างกัน ดังนี้


'''ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 75''' กำหนดว่า
'''[[ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร]] พ.ศ. 2551 ข้อ 75''' กำหนดว่า


(1) ใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนตามที่ประธานกำหนด หากเครื่องออกเสียงลงคะแนนขัดข้องให้เปลี่ยนเป็นวิธีการตามที่ประธานกำหนด
(1) ใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนตามที่ประธานกำหนด หาก[[เครื่องออกเสียงลงคะแนน]]ขัดข้องให้เปลี่ยนเป็นวิธีการตามที่ประธานกำหนด


(2) เรียกชื่อสมาชิกตามหมายเลขประจำตัวสมาชิก ให้ออกเสียงลงคะแนนเป็นรายคน ให้ประธานเชิญสมาชิกไม่น้อยกว่า 6 คน เป็นผู้ตรวจนับคะแนน
(2) เรียกชื่อสมาชิกตามหมายเลขประจำตัวสมาชิก ให้ออกเสียงลงคะแนนเป็นรายคน ให้ประธานเชิญสมาชิกไม่น้อยกว่า 6 คน เป็นผู้ตรวจนับคะแนน


(3) วิธีอื่นใดซึ่งที่ประชุมเห็นสมควรเฉพาะกรณี  
(3) วิธีอื่นใดซึ่งที่ประชุมเห็นสมควรเฉพาะกรณี


การออกเสียงลงคะแนนให้ใช้วิธีตาม (1) จะใช้วิธีตาม (2) หรือ (3) ได้ต่อเมื่อสมาชิกเสนอญัตติและที่ประชุมอนุมัติ หรือเมื่อมีการนับคะแนนเสียงใหม่
การออกเสียงลงคะแนนให้ใช้วิธีตาม (1) จะใช้วิธีตาม (2) หรือ (3) ได้ต่อเมื่อสมาชิกเสนอญัตติและที่ประชุมอนุมัติ หรือเมื่อมีการนับคะแนนเสียงใหม่
บรรทัดที่ 37: บรรทัดที่ 36:
'''ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ข้อ 67''' กำหนดว่า
'''ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ข้อ 67''' กำหนดว่า


(1) ใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนตามที่ประธานกำหนด ให้ใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนได้จนกว่าประธานจะได้สั่งปิดการออกเสียงลงคะแนน
(1) ใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนตามที่ประธานกำหนด ให้ใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนได้จนกว่าประธานจะได้สั่ง[[ปิดการออกเสียงลงคะแนน]]


(2) [[ยกมือขึ้นพ้นศีรษะ]]พร้อมกับแสดงบัตรลงคะแนน ผู้เห็นด้วยให้แสดงบัตรลงคะแนนสีน้ำเงิน ผู้ไม่เห็นด้วยให้แสดงบัตรลงคะแนนสีแดง ส่วนผู้ไม่ออกเสียงให้แสดงบัตรลงคะแนนสีขาว ให้สมาชิกลงลายมือชื่อและหมายเลขประจำตัวสมาชิกกำกับไว้ที่บัตรลงคะแนนด้วย ประธานสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปรับบัตรลงคะแนนจากสมาชิก เพื่อดำเนินการตรวจนับคะแนนต่อไป
(2) [[ยกมือขึ้นพ้นศีรษะ]]พร้อมกับแสดง[[บัตรลงคะแนน]] ผู้เห็นด้วยให้แสดงบัตรลงคะแนนสีน้ำเงิน ผู้ไม่เห็นด้วยให้แสดงบัตรลงคะแนนสีแดง ส่วนผู้ไม่ออกเสียงให้แสดงบัตรลงคะแนนสีขาว ให้สมาชิกลงลายมือชื่อและหมายเลขประจำตัวสมาชิกกำกับไว้ที่บัตรลงคะแนนด้วย ประธานสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปรับบัตรลงคะแนนจากสมาชิก เพื่อดำเนินการตรวจนับคะแนนต่อไป


(3) เรียกชื่อสมาชิกตามลำดับอักษร ให้ออกเสียงลงคะแนนเป็นรายคน
(3) เรียกชื่อสมาชิกตามลำดับอักษร ให้ออกเสียงลงคะแนนเป็นรายคน


(4) วิธีอื่นใดซึ่งที่ประชุมเห็นสมควรเฉพาะกรณี  
(4) วิธีอื่นใดซึ่งที่ประชุมเห็นสมควรเฉพาะกรณี  


การออกเสียงลงคะแนนให้ใช้วิธีตาม (1) จะใช้วิธีตาม (2) (3) หรือ (4) ได้ต่อเมื่อสมาชิกเสนอญัตติและที่ประชุมอนุมัติ หรือเมื่อมีการนับคะแนนเสียงใหม่
การออกเสียงลงคะแนนให้ใช้วิธีตาม (1) จะใช้วิธีตาม (2) (3) หรือ (4) ได้ต่อเมื่อสมาชิกเสนอญัตติและที่ประชุมอนุมัติ หรือเมื่อมีการนับคะแนนเสียงใหม่
บรรทัดที่ 57: บรรทัดที่ 56:
(1) ใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนตามที่ประธานกำหนด ให้ใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนได้จนกว่าประธานจะได้สั่งปิดการออกเสียงลงคะแนน
(1) ใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนตามที่ประธานกำหนด ให้ใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนได้จนกว่าประธานจะได้สั่งปิดการออกเสียงลงคะแนน


(2) เขียนเครื่องหมายบนแผ่นกระดาษใส่ซองที่เจ้าหน้าที่จัดให้ ผู้เห็นด้วยให้เขียนเครื่องหมายถูก ผู้ไม่เห็นด้วยให้เขียนเครื่องหมายกากบาท ส่วนผู้ไม่ออกเสียงให้เขียนเครื่องหมายวงกลม ให้สมาชิกนั่งลงในที่ที่จัดไว้ ให้ประธานสั่งเจ้าหน้าที่แจกกระดาษและซองแก่สมาชิกทุกคน เมื่อสมาชิกเขียนเครื่องหมายบนแผ่นกระดาษใส่ซองแล้ว ให้ประธานสั่งเจ้าหน้าที่ไปรับมา เพื่อส่งกรรมการตรวจนับคะแนนดำเนินการต่อไป และให้ประธานเชิญสมาชิกไม่น้อยกว่า 5 คน เป็นกรรมการตรวจนับคะแนน
(2) เขียนเครื่องหมายบนแผ่นกระดาษใส่ซองที่เจ้าหน้าที่จัดให้ ผู้เห็นด้วยให้เขียนเครื่องหมายถูก ผู้ไม่เห็นด้วยให้เขียนเครื่องหมายกากบาท ส่วนผู้ไม่ออกเสียงให้เขียนเครื่องหมายวงกลม ให้สมาชิกนั่งลงในที่ที่จัดไว้ ให้ประธานสั่งเจ้าหน้าที่แจกกระดาษและซองแก่สมาชิกทุกคน เมื่อสมาชิกเขียนเครื่องหมายบนแผ่นกระดาษใส่ซองแล้ว ให้ประธานสั่งเจ้าหน้าที่ไปรับมา เพื่อส่ง[[กรรมการตรวจนับคะแนน]]ดำเนินการต่อไป และให้ประธานเชิญสมาชิกไม่น้อยกว่า 5 คน เป็นกรรมการตรวจนับคะแนน


(3) วิธีอื่นใดซึ่งที่ประชุมเห็นสมควรเฉพาะกรณี
(3) วิธีอื่นใดซึ่งที่ประชุมเห็นสมควรเฉพาะกรณี
บรรทัดที่ 69: บรรทัดที่ 68:
'''ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ข้อ 74''' กำหนดว่า
'''ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ข้อ 74''' กำหนดว่า


ในการนับคะแนนเสียงครั้งใด ถ้าสมาชิกเสนอญัตติให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่ โดยมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 10 คน ก็ให้มีการนับใหม่ เว้นแต่คะแนนเสียงมีความต่างกันเกินกว่า 10 คะแนน จะขอให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่มิได้ การนับคะแนนเสียงใหม่ ให้เปลี่ยนวิธีลงคะแนนเป็นวิธีการออกเสียงลงคะแนนเปิดเผยหรือการออกเสียงลงคะแนนลับ ซึ่งอยู่ในลำดับถัดไป แล้วแต่กรณี การนับคะแนนเสียงโดยวิธีเรียกชื่อสมาชิกตามลำดับอักษรหรือเขียนเครื่องหมายบนแผ่นกระดาษใส่ซองที่เจ้าหน้าที่จัดให้ จะขอให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่อีกมิได้
ในการนับคะแนนเสียงครั้งใด ถ้าสมาชิกเสนอ[[ญัตติ]]ให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่ โดยมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 10 คน ก็ให้มีการนับใหม่ เว้นแต่คะแนนเสียงมีความต่างกันเกินกว่า 10 คะแนน จะขอให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่มิได้ การนับคะแนนเสียงใหม่ ให้เปลี่ยนวิธีลงคะแนนเป็นวิธีการออกเสียงลงคะแนนเปิดเผยหรือการออกเสียงลงคะแนนลับ ซึ่งอยู่ในลำดับถัดไป แล้วแต่กรณี การนับคะแนนเสียงโดยวิธีเรียกชื่อสมาชิกตามลำดับอักษรหรือเขียนเครื่องหมายบนแผ่นกระดาษใส่ซองที่เจ้าหน้าที่จัดให้ จะขอให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่อีกมิได้


'''ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 79 และข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ข้อ 73 กำหนดว่า''' เมื่อได้นับคะแนนเสียงเสร็จแล้ว ให้ประธานประกาศมติต่อที่ประชุมทันที ถ้าเรื่องใดรัฐธรรมนูญหรือข้อบังคับนี้กำหนดไว้ว่า มติจะต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงถึงจำนวนเท่าใด ก็ให้ประกาศด้วยว่าคะแนนเสียงถึงจำนวนที่กำหนดไว้นั้น ในส่วนของข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา มีเพิ่มเติมว่า ถ้าได้ประกาศมติต่อที่ประชุมวุฒิสภาจากผลการ ออกเสียงลงคะแนนด้วยวิธีเขียนเครื่องหมายบนแผ่น กระดาษใส่ซองที่เจ้าหน้าที่จัดให้แล้ว ให้ประธานสั่งให้เจ้าหน้าที่ทำลายบัตรออกเสียงลงคะแนนนั้นด้วย
'''ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 79 และ[[ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา]] พ.ศ. 2551 ข้อ 73 กำหนดว่า''' เมื่อได้นับคะแนนเสียงเสร็จแล้ว ให้ประธานประกาศมติต่อที่ประชุมทันที ถ้าเรื่องใดรัฐธรรมนูญหรือข้อบังคับนี้กำหนดไว้ว่า มติจะต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงถึงจำนวนเท่าใด ก็ให้ประกาศด้วยว่าคะแนนเสียงถึงจำนวนที่กำหนดไว้นั้น ในส่วนของข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา มีเพิ่มเติมว่า ถ้าได้ประกาศมติต่อที่ประชุมวุฒิสภาจากผลการ ออกเสียงลงคะแนนด้วยวิธีเขียนเครื่องหมายบนแผ่น กระดาษใส่ซองที่เจ้าหน้าที่จัดให้แล้ว ให้ประธานสั่งให้เจ้าหน้าที่ทำลายบัตรออกเสียงลงคะแนนนั้นด้วย




==เหตุการณ์การนับคะแนนเสียงในการประชุม==
==เหตุการณ์การนับคะแนนเสียงในการประชุม==


ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 9 (สมัยสามัญทั่วไป) วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พุทธศักราช 2552 นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เป็นประธานประชุม มีวาระการพิจารณาข้อตกลงระหว่างประเทศ 4 ฉบับ เริ่มด้วยการพิจารณาร่างพิธีสารฉบับที่ 3 เพื่อแก้ไขสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนเริ่มอภิปราย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้าน อาทิ นายสุนัย จุลพงศธร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ คัดค้านว่า พิจารณาไปพร้อมกันไม่ได้ เพราะแต่ละฉบับมีรายละเอียดแตกต่างกันจึงต้องพิจารณาทีละฉบับ ขอให้รัฐบาลถอนออกไปแล้วเสนอเข้ามาใหม่ แต่ประธานยืนยันว่าทำได้ พร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง และให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ประธานสั่งนับองค์ประชุมก่อนเข้าสู่การพิจารณา แล้วแจ้งต่อที่ประชุมว่า มีผู้เสียบบัตรแสดงตน 311 คน ถือว่าเกินกึ่งหนึ่งแล้ว จากนั้นให้ที่ประชุมลงมติร่างพิธีสารฉบับที่ 3 ปรากฏว่าลงมติเห็นชอบ 287 เสียง ไม่เห็นชอบ ไม่มี งดออกเสียง 8 เสียง ไม่ลงคะแนน 12 เสียง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ประท้วงว่า องค์ประชุมไม่ครบ เนื่องจากมีผู้อยู่ในที่ประชุมแค่ 307 เสียง ยังไม่ถึงกึ่งหนึ่งที่ 311 คน ประธานจึงสั่งพักการประชุม 5 นาที  
ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 9 (สมัยสามัญทั่วไป) วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พุทธศักราช 2552 [[ชัย ชิดชอบ|นายชัย ชิดชอบ]] [[ประธานรัฐสภา]] เป็นประธานประชุม มีวาระการพิจารณาข้อตกลงระหว่างประเทศ 4 ฉบับ เริ่มด้วยการพิจารณาร่างพิธีสารฉบับที่ 3 เพื่อแก้ไขสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนเริ่มอภิปราย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้าน อาทิ [[สุนัย จุลพงศธร|นายสุนัย จุลพงศธร]] [[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน]] [[ชลน่าน ศรีแก้ว|นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว]] [[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]จังหวัดน่าน [[สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล|นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล]] สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ คัดค้านว่า พิจารณาไปพร้อมกันไม่ได้ เพราะแต่ละฉบับมีรายละเอียดแตกต่างกันจึงต้องพิจารณาทีละฉบับ ขอให้รัฐบาลถอนออกไปแล้วเสนอเข้ามาใหม่ แต่ประธานยืนยันว่าทำได้ พร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง และให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ประธานสั่งนับองค์ประชุมก่อนเข้าสู่การพิจารณา แล้วแจ้งต่อที่ประชุมว่า มีผู้เสียบบัตรแสดงตน 311 คน ถือว่าเกินกึ่งหนึ่งแล้ว จากนั้นให้ที่ประชุมลงมติร่างพิธีสารฉบับที่ 3 ปรากฏว่าลงมติเห็นชอบ 287 เสียง ไม่เห็นชอบ ไม่มี งดออกเสียง 8 เสียง ไม่ลงคะแนน 12 เสียง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล [[ประท้วง]]ว่า องค์ประชุมไม่ครบ เนื่องจากมีผู้อยู่ในที่ประชุมแค่ 307 เสียง ยังไม่ถึงกึ่งหนึ่งที่ 311 คน ประธานจึงสั่งพักการประชุม 5 นาที  


เมื่อเริ่มประชุมอีกครั้ง ที่ประชุมยังถกเถียงเรื่ององค์ประชุม นายศุภชัย ศรีหล้า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้ลงมติใหม่ตามข้อบังคับการประชุมข้อ 77 ที่กำหนดว่า เสนอให้ลงมติใหม่ได้หากมีเสียงแตกต่างกันไม่เกิน 20 เสียง แต่นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว แย้งว่า ร่างพิธีสารฉบับที่ 3 ตกไปแล้ว เพราะการลงคะแนนสิ้นสุดแล้ว หลังจากที่ประชุมถกเถียงกันนานกว่า 10 นาที พันเอกอภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 อภิปรายว่า กรณีนี้ไม่ครบองค์ประชุมเท่ากับลงมติเป็นโมฆะทางออกจึงไม่ใช่การนับองค์ประชุมใหม่ แต่ประธานสามารถสั่งลงมติอีกครั้ง เพราะถือว่าครั้งแรกไม่สมบูรณ์ ในที่สุด นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล เสนอนับองค์ประชุมใหม่อีกครั้ง ปรากฏว่ามีสมาชิกอยู่ในห้องประชุม 328 คน จากนั้นลงมติใหม่ ซึ่งเห็นชอบ 302 เสียง ไม่เห็นชอบ ไม่มี งดออกเสียง 9 เสียง   ไม่ลงคะแนน 15 เสียง ถือว่าร่างพิธีสารฉบับที่ 3 ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ขณะที่นายสุนัย จุลพงศธร กล่าวว่า จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
เมื่อเริ่มประชุมอีกครั้ง ที่ประชุมยังถกเถียงเรื่ององค์ประชุม [[ศุภชัย ศรีหล้า|นายศุภชัย ศรีหล้า]] สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้ลงมติใหม่ตามข้อบังคับการประชุมข้อ 77 ที่กำหนดว่า เสนอให้ลงมติใหม่ได้หากมีเสียงแตกต่างกันไม่เกิน 20 เสียง แต่นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว แย้งว่า ร่างพิธีสารฉบับที่ 3 ตกไปแล้ว เพราะการลงคะแนนสิ้นสุดแล้ว หลังจากที่ประชุมถกเถียงกันนานกว่า 10 นาที [[อภิวันท์ วิริยะชัย|พันเอกอภิวันท์ วิริยะชัย]] รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 อภิปรายว่า กรณีนี้[[ไม่ครบองค์ประชุม]]เท่ากับลงมติเป็นโมฆะทางออกจึงไม่ใช่การนับองค์ประชุมใหม่ แต่ประธานสามารถสั่งลงมติอีกครั้ง เพราะถือว่าครั้งแรกไม่สมบูรณ์ ในที่สุด [[ชินวรณ์ บุณยเกียรติ|นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ]] ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล เสนอนับองค์ประชุมใหม่อีกครั้ง ปรากฏว่ามีสมาชิกอยู่ในห้องประชุม 328 คน จากนั้นลงมติใหม่ ซึ่งเห็นชอบ 302 เสียง ไม่เห็นชอบ ไม่มี งดออกเสียง 9 เสียง ไม่ลงคะแนน 15 เสียง ถือว่าร่างพิธีสารฉบับที่ 3 ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ขณะที่นายสุนัย จุลพงศธร กล่าวว่า จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป


==หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ==
==หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ==
บรรทัดที่ 99: บรรทัดที่ 98:


* [[ข้อบังคับการประชุม]]
* [[ข้อบังคับการประชุม]]
* [[ลงมติและลำดับการลงมติ]]
* [[ลงมติและลำดับการลงมติ]]
 
[[หมวดหมู่: กิจกรรมที่เกี่ยวกับกระบวนการทางนิติบัญญัติ]]
 
[[category:ความรู้เกี่ยวกับรัฐสภาไทย]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 18:43, 21 พฤษภาคม 2555

ผู้เรียบเรียง ขัตติยา ทองทา ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฏร จเร พันธุ์เปรื่อง


นับคะแนนเสียง เป็นกลไกสำคัญกลไกหนึ่งที่ใช้ในการหาข้อสรุปจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎร การประชุมวุฒิสภา หรือ การประชุมร่วมกันของรัฐสภา แล้วแต่กรณี ที่มีสมาชิกจำนวนมาก นำไปสู่การลงมติ เพื่อแสดงให้เห็นถึงทิศทางการตัดสินใจของที่ประชุม โดยปกติให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญ และเป็นส่วนหนึ่งของข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา และข้อบังคับการประชุมรัฐสภา

นับคะแนนเสียง คืออะไร

“นับคะแนนเสียง” เป็นการคำนวณเพื่อหาข้อยุติ และประกาศผลการลงมติในเรื่องใดๆ ของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชุมวุฒิสภา หรือการประชุมร่วมกันของรัฐสภา สมาชิกคนหนึ่งมีสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนได้หนึ่งเสียง เมื่อการออกเสียงลงคะแนนสิ้นสุดลง ประธานในที่ประชุมจะสั่งให้มีการนับคะแนนเสียง เพื่อดูว่าคะแนนเสียงที่ได้รับเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ แล้วประธานในที่ประชุมสภาก็จะเป็นผู้ประกาศผลการนับคะแนนเสียงที่เรียกว่า ประกาศมติของที่ประชุมสภา ในขณะที่มีการนับคะแนนเสียงไปแล้ว ก่อนที่ประธานสภาจะประกาศมติ อาจมีการขอให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่ ก็ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมสภา ซึ่งแตกต่างจากคำว่า “ออกเสียงลงคะแนน” ตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญ หมายถึง การออกเสียงลงคะแนนเพื่อเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา เท่านั้น เป็นคนละเรื่องกับการ “ลงคะแนน” ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา เพื่อมีมติในเรื่องใดเรื่องหนึ่งในที่ประชุมสภา

การนับคะแนนเสียงตามข้อบังคับการประชุม

การนับคะแนนเสียงตามข้อบังคับการประชุมนั้น ขึ้นอยู่กับการออกเสียงลงคะแนน แบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ การออกเสียงลงคะแนนเปิดเผย และการออกเสียงลงคะแนนลับ ในข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 และข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ได้กำหนดเกี่ยวกับการออกเสียงลงคะแนน ที่เหมือนกันและแตกต่างกัน ดังนี้

ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 (ซึ่งใช้บังคับกับการประชุมร่วมกันของรัฐสภาด้วยโดยอนุโลม) ข้อ 72 กำหนดว่า

การออกเสียงลงคะแนนให้กระทำเป็นการเปิดเผย แต่เมื่อสมาชิกเสนอญัตติโดยมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 20 คน จึงให้ลงคะแนนลับ ถ้ามีสมาชิกคัดค้านและมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกในที่ประชุม ให้ถือเป็นเอกสิทธิ์ที่จะลงคะแนนโดยเปิดเผย

ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ข้อ 66 กำหนดว่า

การออกเสียงลงคะแนนให้กระทำเป็นการเปิดเผย แต่เมื่อสมาชิกเสนอญัตติโดยมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 20 คน จึงให้ลงคะแนนลับ ถ้ามีสมาชิกคัดค้านและมีผู้รับรองมากกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกในที่ประชุม ก็ให้ลงคะแนนโดยเปิดเผย

การนับคะแนนเสียง จากการออกเสียงลงคะแนนโดยเปิดเผย และการออกเสียงลงคะแนนลับ มีวิธีปฏิบัติที่เหมือนกันและแตกต่างกัน ดังนี้

ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 75 กำหนดว่า

(1) ใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนตามที่ประธานกำหนด หากเครื่องออกเสียงลงคะแนนขัดข้องให้เปลี่ยนเป็นวิธีการตามที่ประธานกำหนด

(2) เรียกชื่อสมาชิกตามหมายเลขประจำตัวสมาชิก ให้ออกเสียงลงคะแนนเป็นรายคน ให้ประธานเชิญสมาชิกไม่น้อยกว่า 6 คน เป็นผู้ตรวจนับคะแนน

(3) วิธีอื่นใดซึ่งที่ประชุมเห็นสมควรเฉพาะกรณี

การออกเสียงลงคะแนนให้ใช้วิธีตาม (1) จะใช้วิธีตาม (2) หรือ (3) ได้ต่อเมื่อสมาชิกเสนอญัตติและที่ประชุมอนุมัติ หรือเมื่อมีการนับคะแนนเสียงใหม่

ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ข้อ 67 กำหนดว่า

(1) ใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนตามที่ประธานกำหนด ให้ใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนได้จนกว่าประธานจะได้สั่งปิดการออกเสียงลงคะแนน

(2) ยกมือขึ้นพ้นศีรษะพร้อมกับแสดงบัตรลงคะแนน ผู้เห็นด้วยให้แสดงบัตรลงคะแนนสีน้ำเงิน ผู้ไม่เห็นด้วยให้แสดงบัตรลงคะแนนสีแดง ส่วนผู้ไม่ออกเสียงให้แสดงบัตรลงคะแนนสีขาว ให้สมาชิกลงลายมือชื่อและหมายเลขประจำตัวสมาชิกกำกับไว้ที่บัตรลงคะแนนด้วย ประธานสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปรับบัตรลงคะแนนจากสมาชิก เพื่อดำเนินการตรวจนับคะแนนต่อไป

(3) เรียกชื่อสมาชิกตามลำดับอักษร ให้ออกเสียงลงคะแนนเป็นรายคน

(4) วิธีอื่นใดซึ่งที่ประชุมเห็นสมควรเฉพาะกรณี

การออกเสียงลงคะแนนให้ใช้วิธีตาม (1) จะใช้วิธีตาม (2) (3) หรือ (4) ได้ต่อเมื่อสมาชิกเสนอญัตติและที่ประชุมอนุมัติ หรือเมื่อมีการนับคะแนนเสียงใหม่

ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 76 กำหนดว่า

(1) เขียนเครื่องหมายบนแผ่นกระดาษใส่ซองที่เจ้าหน้าที่จัดให้ ผู้เห็นด้วยให้เขียนเครื่องหมายถูก ผู้ไม่เห็นด้วยให้เขียนเครื่องหมายกากบาท ส่วนผู้ไม่ออกเสียงให้เขียนเครื่องหมายวงกลม

(2) วิธีอื่นใดซึ่งที่ประชุมเห็นสมควรเฉพาะกรณี

ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ข้อ 68 กำหนดว่า

(1) ใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนตามที่ประธานกำหนด ให้ใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนได้จนกว่าประธานจะได้สั่งปิดการออกเสียงลงคะแนน

(2) เขียนเครื่องหมายบนแผ่นกระดาษใส่ซองที่เจ้าหน้าที่จัดให้ ผู้เห็นด้วยให้เขียนเครื่องหมายถูก ผู้ไม่เห็นด้วยให้เขียนเครื่องหมายกากบาท ส่วนผู้ไม่ออกเสียงให้เขียนเครื่องหมายวงกลม ให้สมาชิกนั่งลงในที่ที่จัดไว้ ให้ประธานสั่งเจ้าหน้าที่แจกกระดาษและซองแก่สมาชิกทุกคน เมื่อสมาชิกเขียนเครื่องหมายบนแผ่นกระดาษใส่ซองแล้ว ให้ประธานสั่งเจ้าหน้าที่ไปรับมา เพื่อส่งกรรมการตรวจนับคะแนนดำเนินการต่อไป และให้ประธานเชิญสมาชิกไม่น้อยกว่า 5 คน เป็นกรรมการตรวจนับคะแนน

(3) วิธีอื่นใดซึ่งที่ประชุมเห็นสมควรเฉพาะกรณี

เมื่อได้มีการนับคะแนนเสียงจากการออกเสียงลงคะแนนแล้ว ถ้าสมาชิกร้องขอให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่ ประธานต้องสั่งให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่ มีวิธีปฏิบัติที่เหมือนกันและแตกต่างกัน ดังนี้

ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 77 กำหนดว่า

เมื่อมีการออกเสียงลงคะแนนโดยใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนนแล้ว ถ้าสมาชิกร้องขอให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่ โดยมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 20 คน ประธานต้องสั่งให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่ และให้เปลี่ยนวิธีการลงคะแนนเป็นวิธีเรียกชื่อสมาชิกตามหมายเลขประจำตัวสมาชิก ให้ออกเสียงลงคะแนนเป็นรายคน เว้นแต่คะแนนเสียงต่างกันเกินกว่า 25 คะแนน จะขอให้มีการนับคะแนนใหม่ไม่ได้ เมื่อได้มีการออกเสียงลงคะแนนใหม่และนับคะแนนเสียงใหม่ไปแล้ว จะขอให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่อีกไม่ได้

ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ข้อ 74 กำหนดว่า

ในการนับคะแนนเสียงครั้งใด ถ้าสมาชิกเสนอญัตติให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่ โดยมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 10 คน ก็ให้มีการนับใหม่ เว้นแต่คะแนนเสียงมีความต่างกันเกินกว่า 10 คะแนน จะขอให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่มิได้ การนับคะแนนเสียงใหม่ ให้เปลี่ยนวิธีลงคะแนนเป็นวิธีการออกเสียงลงคะแนนเปิดเผยหรือการออกเสียงลงคะแนนลับ ซึ่งอยู่ในลำดับถัดไป แล้วแต่กรณี การนับคะแนนเสียงโดยวิธีเรียกชื่อสมาชิกตามลำดับอักษรหรือเขียนเครื่องหมายบนแผ่นกระดาษใส่ซองที่เจ้าหน้าที่จัดให้ จะขอให้มีการนับคะแนนเสียงใหม่อีกมิได้

ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 79 และข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551 ข้อ 73 กำหนดว่า เมื่อได้นับคะแนนเสียงเสร็จแล้ว ให้ประธานประกาศมติต่อที่ประชุมทันที ถ้าเรื่องใดรัฐธรรมนูญหรือข้อบังคับนี้กำหนดไว้ว่า มติจะต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงถึงจำนวนเท่าใด ก็ให้ประกาศด้วยว่าคะแนนเสียงถึงจำนวนที่กำหนดไว้นั้น ในส่วนของข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา มีเพิ่มเติมว่า ถ้าได้ประกาศมติต่อที่ประชุมวุฒิสภาจากผลการ ออกเสียงลงคะแนนด้วยวิธีเขียนเครื่องหมายบนแผ่น กระดาษใส่ซองที่เจ้าหน้าที่จัดให้แล้ว ให้ประธานสั่งให้เจ้าหน้าที่ทำลายบัตรออกเสียงลงคะแนนนั้นด้วย


เหตุการณ์การนับคะแนนเสียงในการประชุม

ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 9 (สมัยสามัญทั่วไป) วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พุทธศักราช 2552 นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เป็นประธานประชุม มีวาระการพิจารณาข้อตกลงระหว่างประเทศ 4 ฉบับ เริ่มด้วยการพิจารณาร่างพิธีสารฉบับที่ 3 เพื่อแก้ไขสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนเริ่มอภิปราย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้าน อาทิ นายสุนัย จุลพงศธร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ คัดค้านว่า พิจารณาไปพร้อมกันไม่ได้ เพราะแต่ละฉบับมีรายละเอียดแตกต่างกันจึงต้องพิจารณาทีละฉบับ ขอให้รัฐบาลถอนออกไปแล้วเสนอเข้ามาใหม่ แต่ประธานยืนยันว่าทำได้ พร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง และให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ประธานสั่งนับองค์ประชุมก่อนเข้าสู่การพิจารณา แล้วแจ้งต่อที่ประชุมว่า มีผู้เสียบบัตรแสดงตน 311 คน ถือว่าเกินกึ่งหนึ่งแล้ว จากนั้นให้ที่ประชุมลงมติร่างพิธีสารฉบับที่ 3 ปรากฏว่าลงมติเห็นชอบ 287 เสียง ไม่เห็นชอบ ไม่มี งดออกเสียง 8 เสียง ไม่ลงคะแนน 12 เสียง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ประท้วงว่า องค์ประชุมไม่ครบ เนื่องจากมีผู้อยู่ในที่ประชุมแค่ 307 เสียง ยังไม่ถึงกึ่งหนึ่งที่ 311 คน ประธานจึงสั่งพักการประชุม 5 นาที

เมื่อเริ่มประชุมอีกครั้ง ที่ประชุมยังถกเถียงเรื่ององค์ประชุม นายศุภชัย ศรีหล้า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้ลงมติใหม่ตามข้อบังคับการประชุมข้อ 77 ที่กำหนดว่า เสนอให้ลงมติใหม่ได้หากมีเสียงแตกต่างกันไม่เกิน 20 เสียง แต่นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว แย้งว่า ร่างพิธีสารฉบับที่ 3 ตกไปแล้ว เพราะการลงคะแนนสิ้นสุดแล้ว หลังจากที่ประชุมถกเถียงกันนานกว่า 10 นาที พันเอกอภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 อภิปรายว่า กรณีนี้ไม่ครบองค์ประชุมเท่ากับลงมติเป็นโมฆะทางออกจึงไม่ใช่การนับองค์ประชุมใหม่ แต่ประธานสามารถสั่งลงมติอีกครั้ง เพราะถือว่าครั้งแรกไม่สมบูรณ์ ในที่สุด นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล เสนอนับองค์ประชุมใหม่อีกครั้ง ปรากฏว่ามีสมาชิกอยู่ในห้องประชุม 328 คน จากนั้นลงมติใหม่ ซึ่งเห็นชอบ 302 เสียง ไม่เห็นชอบ ไม่มี งดออกเสียง 9 เสียง ไม่ลงคะแนน 15 เสียง ถือว่าร่างพิธีสารฉบับที่ 3 ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ขณะที่นายสุนัย จุลพงศธร กล่าวว่า จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป

หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ

ชัยอนันต์ สมุทวณิช, เศรษฐพร คูศรีพิทักษ์. กลไกรัฐสภา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พิฆเณศ, 2518.

สุธรรม แสงประทุม. ปัญหาประสิทธิภาพในการดำเนินการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ศึกษากรณีการตรวจสอบองค์ประชุมและการนับคะแนนใหม่. สถาบันพระปกเกล้า, 2539.

บรรณานุกรม

“ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551”. ราชกิจจานุเบกษา 125, ตอนพิเศษ 76 ง (25 เมษายน 2551). หน้า 41-86.

“ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551”. ราชกิจจานุเบกษา 125, ตอนพิเศษ 79 ง (2 พฤษภาคม 2551). หน้า 9-45.

คณิน บุญสุวรรณ. ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2548.

“ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย หวิดวางมวยประชุมรัฐสภาปั่นป่วน”. มติชน, 15 พฤษภาคม 2552. หน้า 1, 14.

ดูเพิ่มเติม