ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ทางการเมืองการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
(ไม่แสดง 4 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน) | |||
บรรทัดที่ 2: | บรรทัดที่ 2: | ||
'''ผู้เรียบเรียง :''' ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล | '''ผู้เรียบเรียง :''' ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล | ||
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' : ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ | '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' ''':''' ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ | ||
| | ||
บรรทัดที่ 12: | บรรทัดที่ 8: | ||
<span style="font-size:x-large;">'''ความเป็นมา'''</span> | <span style="font-size:x-large;">'''ความเป็นมา'''</span> | ||
แนวคิดเกี่ยวกับสถาบันและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ | แนวคิดเกี่ยวกับสถาบันและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบอบ[[สมบูรณาญาสิทธิราชย์|สมบูรณาญาสิทธิราชย์]] แม้รูปแบบจะปรากฎภายนอกว่าไทยได้รับอิทธิพลของลัทธิเทวราช แต่ก็ได้ผสมผสานระหว่างพระพุทธศาสนาเข้าด้วยกัน จึงปรุงแต่งให้พระมหากษัตริย์ของไทยมีรูปโฉมและแบบแผนแห่งการใช้พระราชอำนาจที่มีลักษณะเฉพาะของตนเองในการใช้พระราชอำนาจต้องคำนึงถึงข้อจำกัดแห่งการใช้พระราชอำนาจ ได้แก่ ธรรมะสำหรับผู้ครองแผ่นดินตามคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา ประกอบกับพระธรรมศาสตร์ กฎมณเฑียรบาล สนธิสัญญาที่ไทยผูกพันกับนานาชาติ และความที่ทรงยับยั้งชั่งพระราชหฤทัยด้วยพระองค์เอง ด้วยเหตุดังกล่าวนี้จึงเป็นผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยมีลักษณะพิเศษและเป็นที่ยอมรับของมหาชนรุ่นต่อรุ่นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย แม้การเปลี่ยนแปลงการปกครองใน [[24_มิถุนายน_พ.ศ._2475|24 มิถุนายน 2475]] เปลี่ยนไทยเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ยังคงดำรงอยู่และปรับเปลี่ยนเข้ากับรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยได้อย่างสนิทสนมกลมกลืนเช่นเดียวกับวิถีทางที่ได้ดำเนินมาแล้วร่วมพันปี[[#_ftn1|[1]]] เป็นผลให้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับได้กำหนดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยในฐานะที่ทรงเป็นองค์ประมุขของรัฐในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้ พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยจึงแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ กล่าวคือ | ||
ก. พระราชอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ | ก. พระราชอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ | ||
ข. พระราชอำนาจตามจารีตประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข | ข. พระราชอำนาจตามจารีตประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังปรากฏใน มาตรา 5 วรรค 2 แห่ง[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุทธศักราช_2560|รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุทธศักราช_2560]] ''“เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทําการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”'' | ||
| | ||
บรรทัดที่ 24: | บรรทัดที่ 20: | ||
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้บัญญัติในส่วนของพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ดังนี้ | รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้บัญญัติในส่วนของพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ดังนี้ | ||
''' | ''' 1. พระราชอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร''' | ||
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับที่ผ่านมาในเรื่อง[[การยุบสภาผู้แทนราษฎร|การยุบสภาผู้แทนราษฎร]] ได้บัญญัติให้เป็นพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ให้เป็นผู้มีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎรในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 103 บัญญัติว่า | รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับที่ผ่านมาในเรื่อง[[การยุบสภาผู้แทนราษฎร|การยุบสภาผู้แทนราษฎร]] ได้บัญญัติให้เป็นพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ให้เป็นผู้มีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎรในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 103 บัญญัติว่า ''“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป”'' หลักการยุบสภาผู้แทนราษฎรถือเป็นเครื่องมือของฝ่ายบริหารในการคานอำนาจกับสภาผู้แทนราษฎร แต่เนื่องจากการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้ง ในขณะที่ฝ่ายบริหารจัดตั้งขึ้นโดยความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร การยุบสภาผู้แทนราษฎรโดยฝ่ายบริหารจึงดูไม่มีน้ำหนัก ดังนั้น ธรรมเนียมประเพณีการปฏิบัติของประเทศไทยในรัฐธรรมนูญจึงมอบให้เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ได้พิจารณาความจำเป็นในการยุบสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างเหมาะสม[[#_ftn2|[2]]] | ||
''' | ''' 2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ''' | ||
| 1) พระราชอำนาจในการแต่งตั้งประธานสภาและรองประธานสภา | ||
ในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่ละสภาให้มีประธานสภาคนหนึ่งและรองประธานสภาคนหนึ่งหรือสองคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากสมาชิกแห่งสภานั้น ๆ ตามมติของสภา[[#_ftn3|[3]]] | ในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่ละสภาให้มีประธานสภาคนหนึ่งและรองประธานสภาคนหนึ่งหรือสองคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากสมาชิกแห่งสภานั้น ๆ ตามมติของสภา[[#_ftn3|[3]]] | ||
| 2) พระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | ||
พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน[[#_ftn4|[4]]] | พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน[[#_ftn4|[4]]] | ||
| 3) พระราชอำนาจในการแต่งตั้ง “[[ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร|ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร]]” | ||
ภายหลังจากการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดินแล้ว พระมหากษัตริย์ยังทรงพระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด และสมาชิกมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร[[#_ftn5|[5]]] | ภายหลังจากการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดินแล้ว พระมหากษัตริย์ยังทรงพระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด และสมาชิกมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร[[#_ftn5|[5]]] | ||
| 4) พระราชอำนาจในการแต่งตั้ง '''“ผู้พิพากษาและตุลาการ”''' | ||
นับเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่การตัดสินคดีความต่าง ๆ นับแต่เดิมมาเป็นการตัดสินในนามพระมหากษัตริย์เพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่ราษฎร ดังนั้น เมื่อมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่มีการแบ่งแยกอำนาจระหว่างนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ พระมหากษัตริย์ก็ยังคงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและให้<br/> ผู้พิพากษาและตุลาการพ้นจากตำแหน่ง แต่ในกรณีที่พ้นจากตำแหน่งเพราะความตาย เกษียณอายุ ตามวาระ หรือพ้นจากราชการเพราะถูกลงโทษ ให้นําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ[[#_ftn6|[6]]] | นับเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่การตัดสินคดีความต่าง ๆ นับแต่เดิมมาเป็นการตัดสินในนามพระมหากษัตริย์เพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่ราษฎร ดังนั้น เมื่อมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่มีการแบ่งแยกอำนาจระหว่างนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ พระมหากษัตริย์ก็ยังคงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและให้<br/> ผู้พิพากษาและตุลาการพ้นจากตำแหน่ง แต่ในกรณีที่พ้นจากตำแหน่งเพราะความตาย เกษียณอายุ ตามวาระ หรือพ้นจากราชการเพราะถูกลงโทษ ให้นําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ[[#_ftn6|[6]]] | ||
| 5) พระราชอำนาจในการแต่ง '''“ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ”''' ตามคำแนะนำของวุฒิสภา ดังนี้ | ||
- แต่งตั้ง '''“คณะกรรมการการเลือกตั้ง”''' จำนวน 7 คน[[#_ftn7|[7]]] | - แต่งตั้ง '''“คณะกรรมการการเลือกตั้ง”''' จำนวน 7 คน[[#_ftn7|[7]]] | ||
บรรทัดที่ 58: | บรรทัดที่ 54: | ||
- แต่งตั้ง '''“คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ”''' จำนวน 7 คน[[#_ftn12|[12]]] | - แต่งตั้ง '''“คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ”''' จำนวน 7 คน[[#_ftn12|[12]]] | ||
''' | ''' 3. พระราชอำนาจในฐานะประมุขแห่งรัฐ''' | ||
พระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบการปกครองประชาธิปไตยในฐานะประมุขแห่งรัฐเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมาและการมีประเพณีในการปกครองที่ยาวนานของรัฐนั้น ตลอดจนเป็นการแยกพระมหากษัตริย์ออกจากการเมือง เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดและรวมศูนย์อำนาจไว้มากเกินไป ดังนั้น การมีพระมหากษัตริย์จึงช่วยรักษาดุลยภาพให้เกิดขึ้นทั้งภายในสังคมและในทางการเมือง สะท้อนให้เห็นลักษณะการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ ที่เรียกว่า '''“ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ” (Limited Monarchy)''' โดยพระราชอำนาจที่สำคัญปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 | พระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบการปกครองประชาธิปไตยในฐานะประมุขแห่งรัฐเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมาและการมีประเพณีในการปกครองที่ยาวนานของรัฐนั้น ตลอดจนเป็นการแยกพระมหากษัตริย์ออกจากการเมือง เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดและรวมศูนย์อำนาจไว้มากเกินไป ดังนั้น การมีพระมหากษัตริย์จึงช่วยรักษาดุลยภาพให้เกิดขึ้นทั้งภายในสังคมและในทางการเมือง สะท้อนให้เห็นลักษณะการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ ที่เรียกว่า '''“ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ” (Limited Monarchy)''' โดยพระราชอำนาจที่สำคัญปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตั้งแต่ มาตรา 175 - 180 ดังนี้ | ||
''1. พระราชอำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกาโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย[[#_ftn13|[13]]]'' | ''1. พระราชอำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกาโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย[[#_ftn13|[13]]]'' | ||
บรรทัดที่ 78: | บรรทัดที่ 74: | ||
<span style="font-size:x-large;">'''บทสรุป'''</span> | <span style="font-size:x-large;">'''บทสรุป'''</span> | ||
| ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 6 ''“องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้”'' เป็นผลมาจากหลัก The King Can Do No Wrong จึงเป็นผลให้มีการบัญญัติ มาตรา 182 ''“บทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญ”'' ดังนั้น แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดพระราชอำนาจในทางการเมืองการปกครองให้แก่พระมหากษัตริย์ แต่ในท้ายที่สุดภายใต้หลักการที่รับรองว่าพระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้จึงจำเป็นต้องมีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเสมอ เพราะพระมหากษัตริย์เป็นเพียงผู้ทรงโปรดเกล้าฯ ตามที่มีผู้ทูลเกล้าฯ ให้พระองค์ใช้พระราชอำนาจนั่นเอง | ||
| | ||
บรรทัดที่ 84: | บรรทัดที่ 80: | ||
<span style="font-size:x-large;">'''บรรณานุกรม'''</span> | <span style="font-size:x-large;">'''บรรณานุกรม'''</span> | ||
ธงทอง จันทรางศุ. | ธงทอง จันทรางศุ. พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ. เอส ซี พริ้นท์แอนด์แพค : กรุงเทพ, กันยายน 2548” | ||
ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 134/ตอนที่ 40 ก/ 6 เมษายน 2560. | ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 134/ตอนที่ 40 ก/ 6 เมษายน 2560. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560. | ||
อภิวัฒน์ สุดสาว. | อภิวัฒน์ สุดสาว. การยุบสภาผู้แทนราษฎร : ดุลยภาพแห่งอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ. จุลนิติ พ.ค. - มิ.ย. 54. หน้า 123 – 134. | ||
| | ||
บรรทัดที่ 94: | บรรทัดที่ 90: | ||
<span style="font-size:x-large;">'''อ้างอิง''' </span> | <span style="font-size:x-large;">'''อ้างอิง''' </span> | ||
<div><div id="ftn1"> | <div><div id="ftn1"> | ||
[[#_ftnref1|[1]]] ธงทอง จันทรางศุ, | [[#_ftnref1|[1]]] ธงทอง จันทรางศุ, พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ, เอส ซี พริ้นท์แอนด์แพค : กรุงเทพ, กันยายน 2548, หน้า 43. | ||
</div> <div id="ftn2"> | </div> <div id="ftn2"> | ||
[[#_ftnref2|[2]]] อภิวัฒน์ สุดสาว, | [[#_ftnref2|[2]]] อภิวัฒน์ สุดสาว, การยุบสภาผู้แทนราษฎร : ดุลยภาพแห่งอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ, จุลนิติ พ.ค. - มิ.ย. 54, หน้า 129. (123 – 134) | ||
</div> <div id="ftn3"> | </div> <div id="ftn3"> | ||
[[#_ftnref3|[3]]] มาตรา 116 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 | [[#_ftnref3|[3]]] มาตรา 116 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 | ||
บรรทัดที่ 129: | บรรทัดที่ 125: | ||
</div> <div id="ftn18"> | </div> <div id="ftn18"> | ||
[[#_ftnref18|[18]]] มาตรา 180 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 | [[#_ftnref18|[18]]] มาตรา 180 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 | ||
</div> </div> | </div> </div> | ||
[[Category:พระมหากษัตริย์]] [[Category:พระราชอำนาจ]] [[Category:กฎหมายเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์]] [[Category:รัฐธรรมนูญ]] | [[Category:พระมหากษัตริย์]] [[Category:พระราชอำนาจ]] [[Category:กฎหมายเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์]] [[Category:รัฐธรรมนูญ]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 12:46, 15 มีนาคม 2566
ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ
ความเป็นมา
แนวคิดเกี่ยวกับสถาบันและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แม้รูปแบบจะปรากฎภายนอกว่าไทยได้รับอิทธิพลของลัทธิเทวราช แต่ก็ได้ผสมผสานระหว่างพระพุทธศาสนาเข้าด้วยกัน จึงปรุงแต่งให้พระมหากษัตริย์ของไทยมีรูปโฉมและแบบแผนแห่งการใช้พระราชอำนาจที่มีลักษณะเฉพาะของตนเองในการใช้พระราชอำนาจต้องคำนึงถึงข้อจำกัดแห่งการใช้พระราชอำนาจ ได้แก่ ธรรมะสำหรับผู้ครองแผ่นดินตามคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา ประกอบกับพระธรรมศาสตร์ กฎมณเฑียรบาล สนธิสัญญาที่ไทยผูกพันกับนานาชาติ และความที่ทรงยับยั้งชั่งพระราชหฤทัยด้วยพระองค์เอง ด้วยเหตุดังกล่าวนี้จึงเป็นผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยมีลักษณะพิเศษและเป็นที่ยอมรับของมหาชนรุ่นต่อรุ่นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย แม้การเปลี่ยนแปลงการปกครองใน 24 มิถุนายน 2475 เปลี่ยนไทยเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ยังคงดำรงอยู่และปรับเปลี่ยนเข้ากับรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยได้อย่างสนิทสนมกลมกลืนเช่นเดียวกับวิถีทางที่ได้ดำเนินมาแล้วร่วมพันปี[1] เป็นผลให้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับได้กำหนดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยในฐานะที่ทรงเป็นองค์ประมุขของรัฐในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้ พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยจึงแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ กล่าวคือ
ก. พระราชอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
ข. พระราชอำนาจตามจารีตประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังปรากฏใน มาตรา 5 วรรค 2 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุทธศักราช_2560 “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทําการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
พระราชอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้บัญญัติในส่วนของพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ดังนี้
1. พระราชอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับที่ผ่านมาในเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎร ได้บัญญัติให้เป็นพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ให้เป็นผู้มีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎรในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 103 บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป” หลักการยุบสภาผู้แทนราษฎรถือเป็นเครื่องมือของฝ่ายบริหารในการคานอำนาจกับสภาผู้แทนราษฎร แต่เนื่องจากการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้ง ในขณะที่ฝ่ายบริหารจัดตั้งขึ้นโดยความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร การยุบสภาผู้แทนราษฎรโดยฝ่ายบริหารจึงดูไม่มีน้ำหนัก ดังนั้น ธรรมเนียมประเพณีการปฏิบัติของประเทศไทยในรัฐธรรมนูญจึงมอบให้เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ได้พิจารณาความจำเป็นในการยุบสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างเหมาะสม[2]
2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ
1) พระราชอำนาจในการแต่งตั้งประธานสภาและรองประธานสภา
ในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่ละสภาให้มีประธานสภาคนหนึ่งและรองประธานสภาคนหนึ่งหรือสองคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากสมาชิกแห่งสภานั้น ๆ ตามมติของสภา[3]
2) พระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี
พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน[4]
3) พระราชอำนาจในการแต่งตั้ง “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร”
ภายหลังจากการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดินแล้ว พระมหากษัตริย์ยังทรงพระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด และสมาชิกมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร[5]
4) พระราชอำนาจในการแต่งตั้ง “ผู้พิพากษาและตุลาการ”
นับเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่การตัดสินคดีความต่าง ๆ นับแต่เดิมมาเป็นการตัดสินในนามพระมหากษัตริย์เพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่ราษฎร ดังนั้น เมื่อมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่มีการแบ่งแยกอำนาจระหว่างนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ พระมหากษัตริย์ก็ยังคงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและให้
ผู้พิพากษาและตุลาการพ้นจากตำแหน่ง แต่ในกรณีที่พ้นจากตำแหน่งเพราะความตาย เกษียณอายุ ตามวาระ หรือพ้นจากราชการเพราะถูกลงโทษ ให้นําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ[6]
5) พระราชอำนาจในการแต่ง “ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ” ตามคำแนะนำของวุฒิสภา ดังนี้
- แต่งตั้ง “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” จำนวน 7 คน[7]
- แต่งตั้ง “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” จำนวน 3 คน[8]
- แต่งตั้ง “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ” จำนวน 9 คน[9]
- แต่งตั้ง “คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน” จำนวน 7 คน[10] รวมถึงพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง “ผู้ตรวจเงินแผ่นดิน” ตามคำแนะนําของวุฒิสภาโดยได้รับการเสนอชื่อจากคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน[11]
- แต่งตั้ง “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ” จำนวน 7 คน[12]
3. พระราชอำนาจในฐานะประมุขแห่งรัฐ
พระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบการปกครองประชาธิปไตยในฐานะประมุขแห่งรัฐเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมาและการมีประเพณีในการปกครองที่ยาวนานของรัฐนั้น ตลอดจนเป็นการแยกพระมหากษัตริย์ออกจากการเมือง เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดและรวมศูนย์อำนาจไว้มากเกินไป ดังนั้น การมีพระมหากษัตริย์จึงช่วยรักษาดุลยภาพให้เกิดขึ้นทั้งภายในสังคมและในทางการเมือง สะท้อนให้เห็นลักษณะการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ ที่เรียกว่า “ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ” (Limited Monarchy) โดยพระราชอำนาจที่สำคัญปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตั้งแต่ มาตรา 175 - 180 ดังนี้
1. พระราชอำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกาโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย[13]
2. พระราชอำนาจในการประกาศใช้และเลิกใช้กฎอัยการศึก[14]
3. พระราชอำนาจในการประกาศสงครามเมื่อได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา[15]
4. พระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก และสัญญาอื่นกับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ[16]
5. พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ[17]
6. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ตำแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดีและเทียบเท่า และทรงให้พ้นจากตำแหน่ง[18]
บทสรุป
ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 6 “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้” เป็นผลมาจากหลัก The King Can Do No Wrong จึงเป็นผลให้มีการบัญญัติ มาตรา 182 “บทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญ” ดังนั้น แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดพระราชอำนาจในทางการเมืองการปกครองให้แก่พระมหากษัตริย์ แต่ในท้ายที่สุดภายใต้หลักการที่รับรองว่าพระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้จึงจำเป็นต้องมีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเสมอ เพราะพระมหากษัตริย์เป็นเพียงผู้ทรงโปรดเกล้าฯ ตามที่มีผู้ทูลเกล้าฯ ให้พระองค์ใช้พระราชอำนาจนั่นเอง
บรรณานุกรม
ธงทอง จันทรางศุ. พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ. เอส ซี พริ้นท์แอนด์แพค : กรุงเทพ, กันยายน 2548”
ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 134/ตอนที่ 40 ก/ 6 เมษายน 2560. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.
อภิวัฒน์ สุดสาว. การยุบสภาผู้แทนราษฎร : ดุลยภาพแห่งอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ. จุลนิติ พ.ค. - มิ.ย. 54. หน้า 123 – 134.
อ้างอิง
[1] ธงทอง จันทรางศุ, พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ, เอส ซี พริ้นท์แอนด์แพค : กรุงเทพ, กันยายน 2548, หน้า 43.
[2] อภิวัฒน์ สุดสาว, การยุบสภาผู้แทนราษฎร : ดุลยภาพแห่งอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ, จุลนิติ พ.ค. - มิ.ย. 54, หน้า 129. (123 – 134)
[3] มาตรา 116 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
[4] มาตรา 158 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
[5] มาตรา 106 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
[6] มาตรา 190 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
[7] มาตรา 222 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
[8] มาตรา 228 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
[9] มาตรา 232 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
[10] มาตรา 238 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
[11] มาตรา 241 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
[12] มาตรา 246 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
[13] มาตรา 175 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
[14] มาตรา 176 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
[15] มาตรา 177 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
[16] มาตรา 178 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
[17] มาตรา 179 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
[18] มาตรา 180 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560