ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Trikao (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Trikao (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 4 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน)
บรรทัดที่ 2: บรรทัดที่ 2:
'''ผู้เรียบเรียง :''' ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล
'''ผู้เรียบเรียง :''' ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล


'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' : ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' ''':''' ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ
 
<p style="text-align: center;">&nbsp;</p> <p style="text-align: center;"><span style="font-size:x-large;">'''พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476'''</span></p>
&nbsp;
 
<span style="font-size:x-large;">'''พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476'''</span>
 
&nbsp;
 
<span style="font-size:x-large;">'''ความเป็นมา'''</span>
<span style="font-size:x-large;">'''ความเป็นมา'''</span>


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตรา '''“พระราชบัญญัติเคาน์ซิลออฟเสตดคือที่ปฤกษาราชการแผ่นดิน”''' เพื่อเป็นองค์กรถวายคำปรึกษาแก่พระองค์ในการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่คล้ายคลึงกับ Conseil d’Etat) หรือ เคาน์ซิลออฟสเตดของภาคพื้นทวีปยุโรป
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตรา '''“พระราชบัญญัติเคาน์ซิลออฟเสตดคือที่ปฤกษาราชการแผ่นดิน”''' เพื่อเป็นองค์กรถวายคำปรึกษาแก่พระองค์ในการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่คล้ายคลึงกับ Conseil d’Etat&nbsp;หรือ เคาน์ซิลออฟสเตดของภาคพื้นทวีปยุโรป


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในสมัย พระบามสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีความจำเป็นต้องปฏิรูปกฎหมายและการศาลให้เป็นสากล เพื่อใช้เป็นเหตุผลในการแก้ไขสนธิสัญญาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่ประเทศไทยทำไว้กับต่างประเทศ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งคณะกรรมการร่างประมวลกฎหมายต่าง ๆ ขึ้นหลายคณะเพื่อร่างกฎหมายอย่างสากล และต่อมาทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง '''“กรมร่างกฎหมาย”''' สังกัดกระทรวงยุติธรรม ขึ้นในปี พ.ศ. 2466 เพื่อให้การชำระประมวลกฎหมายและร่างกฎหมายอื่น ๆ&nbsp;เป็นระบบมากยิ่งขึ้น[[#_ftn1|[1]]]
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในสมัย พระบามสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีความจำเป็นต้องปฏิรูปกฎหมายและการศาลให้เป็นสากล เพื่อใช้เป็นเหตุผลในการแก้ไขสนธิสัญญาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่ประเทศไทยทำไว้กับต่างประเทศ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งคณะกรรมการร่างประมวลกฎหมายต่าง ๆ ขึ้นหลายคณะเพื่อร่างกฎหมายอย่างสากล และต่อมาทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง '''“กรมร่างกฎหมาย”''' สังกัดกระทรวงยุติธรรมขึ้นใน ปี พ.ศ. 2466 เพื่อให้การชำระประมวลกฎหมายและร่างกฎหมายอื่น ๆ&nbsp;เป็นระบบมากยิ่งขึ้น[[#_ftn1|[1]]]


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 นาย[[ปรีดี_พนมยงค์|ปรีดี_พนมยงค์]] '''(หลวงประดิษฐ์มนูธรรม)'''&nbsp;ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งองค์กรที่ทำหน้าที่วินิจฉัยคดีปกครอง หรือ คดีที่มีข้อพิพาททางปกครองระหว่างรัฐกับเอกชน โดยใช้ชื่อองค์กรดังกล่าวว่า '''“คณะกรรมการกฤษฎีกา”''' เพื่อทำหน้าที่จัดทำร่างกฎหมายต่าง ๆ และพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง โดยได้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา&nbsp;พ.ศ. 2476 ขึ้น ให้มีฐานะเป็นกรม สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยโอนการงานและบรรดาพนักงานหน้าที่ใน '''“กรมร่างกฎหมาย”''' ไปสังกัดคณะกรรมการกฤษฎีกา[[#_ftn2|[2]]]
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน ปี พ.ศ. 2475 นาย[[ปรีดี_พนมยงค์|ปรีดี_พนมยงค์]] (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม)&nbsp;ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งองค์กรที่ทำหน้าที่วินิจฉัยคดีปกครอง หรือ คดีที่มีข้อพิพาททางปกครองระหว่างรัฐกับเอกชน โดยใช้ชื่อองค์กรดังกล่าวว่า '''“คณะกรรมการกฤษฎีกา”''' เพื่อทำหน้าที่จัดทำร่างกฎหมายต่าง ๆ และพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง โดยได้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา&nbsp;พ.ศ. 2476 ขึ้น ให้มีฐานะเป็นกรม สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยโอนการงานและบรรดาพนักงานหน้าที่ใน '''“กรมร่างกฎหมาย”''' ไปสังกัดคณะกรรมการกฤษฎีกา[[#_ftn2|[2]]]


&nbsp;
&nbsp;
บรรทัดที่ 24: บรรทัดที่ 18:
'''วันที่มีผลบังคับใช้ของกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา'''
'''วันที่มีผลบังคับใช้ของกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา'''


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476 ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป กฎหมายฉบับนี้จึงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 ธันวาคม 2476 เป็นต้นไป
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476 ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป กฎหมายฉบับนี้จึงมีผลบังคับใช้ใน วันที่ 9 ธันวาคม 2476 เป็นต้นไป


'''คณะกรรมการกฤษฎีกา'''
'''คณะกรรมการกฤษฎีกา'''
บรรทัดที่ 32: บรรทัดที่ 26:
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; คณะกรรมการกฤษฎีกาประกอบด้วย
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; คณะกรรมการกฤษฎีกาประกอบด้วย


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;'''ก. ประธานคณะกรรมการ'''
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ก. ประธานคณะกรรมการ


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;กฎหมายกำหนดให้ '''“นายกรัฐมนตรี”''' ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยตำแหน่ง มีอำนาจและหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั้งหลายของคณะกรรมการนี้[[#_ftn4|[4]]]
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;กฎหมายกำหนดให้ '''“นายกรัฐมนตรี”''' ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยตำแหน่ง มีอำนาจและหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั้งหลายของคณะกรรมการนี้[[#_ftn4|[4]]]


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;'''ข. กรรมการ'''
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ข. กรรมการ


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;คณะกรรมการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ[[#_ftn5|[5]]]
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;คณะกรรมการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ[[#_ftn5|[5]]]


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; '''1.&nbsp;กรรมการกฤษฎีกา'''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 1.&nbsp;กรรมการกฤษฎีกา


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;มีหน้าที่จัดทำร่างกฎหมายรับปรึกษาให้ความเห็นในทางกฎหมายแก่ทบวงการเมืองของรัฐบาล และมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;มีหน้าที่จัดทำร่างกฎหมายรับปรึกษาให้ความเห็นในทางกฎหมายแก่ทบวงการเมืองของรัฐบาล และมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;<u>กรรมการกฤษฎีกาแบ่งเป็น</u>[[#_ftn6|[6]]]
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;กรรมการกฤษฎีกาแบ่งเป็น[[#_ftn6|[6]]]


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;''(1) กรรมการกฤษฎีกาสามัญ''&nbsp;
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;(1) กรรมการกฤษฎีกาสามัญ&nbsp;


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;กรรมการกฤษฎีกาได้มาจากผู้ที่คณะรัฐมนตรีได้เลือกขึ้นเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร และได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว[[#_ftn7|[7]]] ผู้ที่จะได้รับตั้งแต่งต้องมีคุณวุฒิอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้[[#_ftn8|[8]]]
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;กรรมการกฤษฎีกาได้มาจากผู้ที่คณะรัฐมนตรีได้เลือกขึ้นเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร และได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว[[#_ftn7|[7]]] ผู้ที่จะได้รับตั้งแต่งต้องมีคุณวุฒิอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้[[#_ftn8|[8]]]
บรรทัดที่ 56: บรรทัดที่ 50:
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;- รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งศาสตราจารย์กฎหมาย
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;- รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งศาสตราจารย์กฎหมาย


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;''(2) กรรมการกฤษฎีกาวิสามัญ''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;(2) กรรมการกฤษฎีกาวิสามัญ


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;กรรมการกฤษฎาวิสามัญ ได้แก่ รัฐมนตรีทุกท่านซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง[[#_ftn9|[9]]]
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;กรรมการกฤษฎาวิสามัญ ได้แก่ รัฐมนตรีทุกท่านซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง[[#_ftn9|[9]]]


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; '''2. กรรมการร่างกฎหมาย'''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 2. กรรมการร่างกฎหมาย


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;กรรมการร่างกฎหมายแต่งตั้งขึ้นโดยพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี[[#_ftn10|[10]]] จากผู้ที่มีคุณวุฒิอย่างใดอย่างหนึ่ง ดั่งต่อไปนี้[[#_ftn11|[11]]]
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;กรรมการร่างกฎหมายแต่งตั้งขึ้นโดยพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี[[#_ftn10|[10]]] จากผู้ที่มีคุณวุฒิอย่างใดอย่างหนึ่ง ดั่งต่อไปนี้[[#_ftn11|[11]]]
บรรทัดที่ 72: บรรทัดที่ 66:
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;- มีภูมิรู้ในการร่างกฎหมาย หรือเคยรับราชการในการร่างกฎหมายมาแล้วมีความชำนาญและความสามารถเป็นประโยชน์ในการงานแผนกนี้
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;- มีภูมิรู้ในการร่างกฎหมาย หรือเคยรับราชการในการร่างกฎหมายมาแล้วมีความชำนาญและความสามารถเป็นประโยชน์ในการงานแผนกนี้


หน้าที่ของกรรมการร่างกฎหมาย ได้แก่ หน้าที่จัดทำร่างกฎหมายและรับปรึกษาให้ความเห็นในทางกฎหมายแก่ทบวงการเมือง และรัฐบาล[[#_ftn12|[12]]]
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;หน้าที่ของกรรมการร่างกฎหมาย ได้แก่ หน้าที่จัดทำร่างกฎหมายและรับปรึกษาให้ความเห็นในทางกฎหมายแก่ทบวงการเมือง และรัฐบาล[[#_ftn12|[12]]]


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;'''ค. เลขาธิการ'''
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ค. เลขาธิการ


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;เลขาธิการได้มาจากผู้ที่คณะรัฐมนตรีได้เลือกขึ้นเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร และได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว[[#_ftn13|[13]]] กฎหมายกำหนดให้เลขาธิการเป็นกรรมการกฤษฎีกาสามัญโดยตำแหน่ง[[#_ftn14|[14]]] เลขาธิการมีหน้าที่ควบคุมงานธุรการของคณะกรรมการกฤษฎีกา รับผิดชอบขึ้นตรงต่อประธานคณะกรรมการ[[#_ftn15|[15]]]
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;เลขาธิการได้มาจากผู้ที่คณะรัฐมนตรีได้เลือกขึ้นเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร และได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว[[#_ftn13|[13]]] กฎหมายกำหนดให้เลขาธิการเป็นกรรมการกฤษฎีกาสามัญโดยตำแหน่ง[[#_ftn14|[14]]] เลขาธิการมีหน้าที่ควบคุมงานธุรการของคณะกรรมการกฤษฎีกา รับผิดชอบขึ้นตรงต่อประธานคณะกรรมการ[[#_ftn15|[15]]]
บรรทัดที่ 92: บรรทัดที่ 86:
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกากฎหมายฉบับนี้กำหนดวิธีการแยกตามประเภทของเรื่องที่ต้องวินิจฉัย ดังนี้
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกากฎหมายฉบับนี้กำหนดวิธีการแยกตามประเภทของเรื่องที่ต้องวินิจฉัย ดังนี้


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;-&nbsp; กรณีวินิจฉัยข้อปรึกษา การลงมติวินิจฉัยข้อปรึกษานั้น และให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้นำเรื่องเสนอประธานคณะกรรมการให้ชี้ขาด[[#_ftn17|[17]]]
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;-&nbsp;กรณีวินิจฉัยข้อปรึกษา การลงมติวินิจฉัยข้อปรึกษานั้น และให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้นำเรื่องเสนอประธานคณะกรรมการให้ชี้ขาด[[#_ftn17|[17]]]


&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;- กรณีคดีปกครอง ให้คณะกรรมการกฤษฎีการนั่งพิจารณาพิพากษาคดีปกครองอันประกอบด้วยกรรมการกฤษฎีกาสามัญจำนวน 4 นายเป็นอย่างน้อย กับ กรรมการกฤษฎีกาวิสามัญจำนวนอย่างน้อย 1 นาย รวม 3 นายเป็นอย่างมากนั่งประชุมด้วยกันจึงจะเป็นองค์ประชุมพิจารณาพิพากษาคดี[[#_ftn18|[18]]]
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;- กรณีคดีปกครอง ให้คณะกรรมการกฤษฎีการนั่งพิจารณาพิพากษาคดีปกครองอันประกอบด้วยกรรมการกฤษฎีกาสามัญจำนวน 4 นายเป็นอย่างน้อย กับ กรรมการกฤษฎีกาวิสามัญจำนวนอย่างน้อย 1 นาย รวม 3 นายเป็นอย่างมากนั่งประชุมด้วยกันจึงจะเป็นองค์ประชุมพิจารณาพิพากษาคดี[[#_ftn18|[18]]]
บรรทัดที่ 102: บรรทัดที่ 96:
<span style="font-size:x-large;">'''การปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา'''</span>
<span style="font-size:x-large;">'''การปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา'''</span>


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; พระราชกฤษฎีกาฯ ได้กำหนดมอบหมายหน้าที่ให้กรรมการกฤษฎีกาเท่านั้นที่กฎหมายให้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง ส่วนกรรมการร่างกฎหมายไม่มีอำนาจพิจารณาคดีปกครองแต่อย่างใด[[#_ftn20|[20]]] ต่อมาเพื่อให้คณะกรรมการกฤษฎีกาปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ กฎหมายดังกล่าวได้จัดตั้ง '''“สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา”''' ขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยธุรการของคณะกรรมการกฤษฎีกา ต่อมาได้มีการตรา '''“พระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522”''' ขึ้นเพื่อปรับปรุงการจัดองค์กร อำนาจหน้าที่และกลไกในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยกำหนดแผนงานและขั้นตอนของการพัฒนาคณะกรรมการกฤษฎีกาให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบวิธีพิจารณาคดีปกครองขึ้นในประเทศไทย โดยมีการจัดตั้ง '''“คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์”''' ขึ้น เพื่อทำหน้าที่วินิจฉัยข้อพิพาทในคดีปกครองต่างหากจากคณะกรรมการร่างกฎหมายซึ่งยังคงไว้เช่นเดิม&nbsp;อนึ่ง อำนาจของคณะกรรมการกฤษฎีกาในการพิจารณาเรื่องที่ราษฎรได้รับความเสียหายจากการกระทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือคดีปกครองได้รับการพัฒนาตลอดมาจนในที่สุดได้โอนไปเป็นอำนาจของศาลปกครองเมื่อมีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นในปี พ.ศ. 2542
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; พระราชกฤษฎีกาฯ ได้กำหนดมอบหมายหน้าที่ให้กรรมการกฤษฎีกาเท่านั้นที่กฎหมายให้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง ส่วนกรรมการร่างกฎหมายไม่มีอำนาจพิจารณาคดีปกครองแต่อย่างใด[[#_ftn20|[20]]] ต่อมาเพื่อให้คณะกรรมการกฤษฎีกาปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ กฎหมายดังกล่าวได้จัดตั้ง '''“[[สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา|สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา]]”''' ขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยธุรการของคณะกรรมการกฤษฎีกา ต่อมาได้มีการตรา '''“พระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522”''' ขึ้นเพื่อปรับปรุงการจัดองค์กร อำนาจหน้าที่และกลไกในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยกำหนดแผนงานและขั้นตอนของการพัฒนาคณะกรรมการกฤษฎีกาให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบวิธีพิจารณาคดีปกครองขึ้นในประเทศไทย โดยมีการจัดตั้ง '''“คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์”''' ขึ้น เพื่อทำหน้าที่วินิจฉัยข้อพิพาทในคดีปกครองต่างหากจากคณะกรรมการร่างกฎหมายซึ่งยังคงไว้เช่นเดิม&nbsp;อนึ่ง อำนาจของคณะกรรมการกฤษฎีกาในการพิจารณาเรื่องที่ราษฎรได้รับความเสียหายจากการกระทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือคดีปกครองได้รับการพัฒนาตลอดมาจนในที่สุดได้โอนไปเป็นอำนาจของศาลปกครองเมื่อมีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นใน ปี พ.ศ. 2542


&nbsp;
&nbsp;
บรรทัดที่ 108: บรรทัดที่ 102:
<span style="font-size:x-large;">'''บรรณานุกรม'''</span>
<span style="font-size:x-large;">'''บรรณานุกรม'''</span>


ถวัลย์ วรเทพพุฒิพงษ์, '''การบริหารงานของคณะที่ปรึกษากฎหมายของนายกรัฐมนตรีและของคณะกรรมการกฤษฎีกา,''' หน้า 56-89, ออนไลน์จาก [http://library1.nida.ac.th/nida_jour0/NJv7n1_03.pdf http://library1.nida.ac.th/nida_jour0/NJv7n1_03.pdf]. . เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2564
ถวัลย์ วรเทพพุฒิพงษ์, การบริหารงานของคณะที่ปรึกษากฎหมายของนายกรัฐมนตรีและของคณะกรรมการกฤษฎีกา, หน้า 56-89, ออนไลน์จาก [http://library1.nida.ac.th/nida_jour0/NJv7n1_03.pdf http://library1.nida.ac.th/nida_jour0/NJv7n1_03.pdf]. . เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2564


ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 50/หน้า 782/ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2476. '''พระราชบัญญัติว่าด้วยว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476'''
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 50/หน้า 782/ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2476. พระราชบัญญัติว่าด้วยว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476


สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. '''ประวัติความเป็นมา'''. ออนไลน์จาก [https://krisdika.go.th/th/ https://krisdika.go.th/th/]<br/> background. เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2564
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. ประวัติความเป็นมา. ออนไลน์จาก [https://krisdika.go.th/th/ https://krisdika.go.th/th/]&nbsp;background. เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2564


&nbsp;
&nbsp;
บรรทัดที่ 118: บรรทัดที่ 112:
<span style="font-size:x-large;">'''เอกสารอ่านเพิ่มเติม'''</span>
<span style="font-size:x-large;">'''เอกสารอ่านเพิ่มเติม'''</span>


ถวัลย์ วรเทพพุฒิพงษ์, '''การบริหารงานของคณะที่ปรึกษากฎหมายของนายกรัฐมนตรีและของคณะกรรมการกฤษฎีกา,''' หน้า 56-89, ออนไลน์จาdhttp://library1.nida.ac.th/nida_jour0/NJv7n1_03.pdf
ถวัลย์ วรเทพพุฒิพงษ์, การบริหารงานของคณะที่ปรึกษากฎหมายของนายกรัฐมนตรีและของคณะกรรมการกฤษฎีกา, หน้า 56-89, ออนไลน์จาdhttp://library1.nida.ac.th/nida_jour0/NJv7n1_03.pdf


รวมพระชุดวัดบวรนิเวศวิหาร. '''วิวัฒนาการศาลปกครองไทย ศาลปกครองไทยใต้เบื้องพระบุคลบาท'''. จากhttp://www.admincourt.go.th/admincourt/upload/webcms/Court<br/> /Court_201212_160637.pdf”.
รวมพระชุดวัดบวรนิเวศวิหาร. วิวัฒนาการศาลปกครองไทย ศาลปกครองไทยใต้เบื้องพระบุคลบาท. จากhttp://www.admincourt.go.th/admincourt/upload/webcms/Court/Court_201212_160637.pdf”.
<div>
<div>
&nbsp;
&nbsp;
บรรทัดที่ 126: บรรทัดที่ 120:
<span style="font-size:x-large;">'''อ้างอิง'''</span>
<span style="font-size:x-large;">'''อ้างอิง'''</span>
<div id="ftn1">
<div id="ftn1">
[[#_ftnref1|[1]]] สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, '''ประวัติความเป็นมา''', ออนไลน์จาก [https://krisdika.go.th/th/ https://krisdika.go.th/th/]<br/> background, เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2564
[[#_ftnref1|[1]]] สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, ประวัติความเป็นมา, ออนไลน์จาก [https://krisdika.go.th/th/ https://krisdika.go.th/th/]&nbsp;background, เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2564
</div> <div id="ftn2">
</div> <div id="ftn2">
[[#_ftnref2|[2]]] มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476
[[#_ftnref2|[2]]] มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476
บรรทัดที่ 164: บรรทัดที่ 158:
[[#_ftnref19|[19]]] มาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476
[[#_ftnref19|[19]]] มาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476
</div> <div id="ftn20">
</div> <div id="ftn20">
[[#_ftnref20|[20]]] ถวัลย์ วรเทพพุฒิพงษ์, '''การบริหารงานของคณะที่ปรึกษากฎหมายของนายกรัฐมนตรีและของคณะกรรมการกฤษฎีกา,''' หน้า 64, ออนไลน์จากhttp://library1.nida.ac.th/nida_jour0/NJv7n1_03.pdf
[[#_ftnref20|[20]]] ถวัลย์ วรเทพพุฒิพงษ์, การบริหารงานของคณะที่ปรึกษากฎหมายของนายกรัฐมนตรีและของคณะกรรมการกฤษฎีกา, หน้า 64, ออนไลน์จากhttp://library1.nida.ac.th/nida_jour0/NJv7n1_03.pdf
</div> </div>  
</div> </div>  
[[Category:สถาบันการเมืองและองค์กรอิสระ]] [[Category:กฎหมายเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่]]
[[Category:สถาบันการเมืองและองค์กรอิสระ]] [[Category:กฎหมายเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 10:30, 15 มีนาคม 2566

ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ

 

พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476

ความเป็นมา

          ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตรา “พระราชบัญญัติเคาน์ซิลออฟเสตดคือที่ปฤกษาราชการแผ่นดิน” เพื่อเป็นองค์กรถวายคำปรึกษาแก่พระองค์ในการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่คล้ายคลึงกับ Conseil d’Etat หรือ เคาน์ซิลออฟสเตดของภาคพื้นทวีปยุโรป

          ในสมัย พระบามสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีความจำเป็นต้องปฏิรูปกฎหมายและการศาลให้เป็นสากล เพื่อใช้เป็นเหตุผลในการแก้ไขสนธิสัญญาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่ประเทศไทยทำไว้กับต่างประเทศ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งคณะกรรมการร่างประมวลกฎหมายต่าง ๆ ขึ้นหลายคณะเพื่อร่างกฎหมายอย่างสากล และต่อมาทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “กรมร่างกฎหมาย” สังกัดกระทรวงยุติธรรมขึ้นใน ปี พ.ศ. 2466 เพื่อให้การชำระประมวลกฎหมายและร่างกฎหมายอื่น ๆ เป็นระบบมากยิ่งขึ้น[1]

          เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน ปี พ.ศ. 2475 นายปรีดี_พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งองค์กรที่ทำหน้าที่วินิจฉัยคดีปกครอง หรือ คดีที่มีข้อพิพาททางปกครองระหว่างรัฐกับเอกชน โดยใช้ชื่อองค์กรดังกล่าวว่า “คณะกรรมการกฤษฎีกา” เพื่อทำหน้าที่จัดทำร่างกฎหมายต่าง ๆ และพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง โดยได้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476 ขึ้น ให้มีฐานะเป็นกรม สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยโอนการงานและบรรดาพนักงานหน้าที่ใน “กรมร่างกฎหมาย” ไปสังกัดคณะกรรมการกฤษฎีกา[2]

 

สาระสำคัญของกฎหมาย

วันที่มีผลบังคับใช้ของกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา

          พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476 ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป กฎหมายฉบับนี้จึงมีผลบังคับใช้ใน วันที่ 9 ธันวาคม 2476 เป็นต้นไป

คณะกรรมการกฤษฎีกา

          1) องค์ประกอบคณะกรรมการกฤษฎีกา[3]

          คณะกรรมการกฤษฎีกาประกอบด้วย

               ก. ประธานคณะกรรมการ

               กฎหมายกำหนดให้ “นายกรัฐมนตรี” ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยตำแหน่ง มีอำนาจและหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั้งหลายของคณะกรรมการนี้[4]

               ข. กรรมการ

               คณะกรรมการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ[5]

                    1. กรรมการกฤษฎีกา

                    มีหน้าที่จัดทำร่างกฎหมายรับปรึกษาให้ความเห็นในทางกฎหมายแก่ทบวงการเมืองของรัฐบาล และมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง

                    กรรมการกฤษฎีกาแบ่งเป็น[6]

                         (1) กรรมการกฤษฎีกาสามัญ 

                         กรรมการกฤษฎีกาได้มาจากผู้ที่คณะรัฐมนตรีได้เลือกขึ้นเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร และได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว[7] ผู้ที่จะได้รับตั้งแต่งต้องมีคุณวุฒิอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้[8]

                         - รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมาย

                         - รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งกรรมการศาลฎีกา

                         - รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งศาสตราจารย์กฎหมาย

                         (2) กรรมการกฤษฎีกาวิสามัญ

                         กรรมการกฤษฎาวิสามัญ ได้แก่ รัฐมนตรีทุกท่านซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง[9]

                    2. กรรมการร่างกฎหมาย

                    กรรมการร่างกฎหมายแต่งตั้งขึ้นโดยพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี[10] จากผู้ที่มีคุณวุฒิอย่างใดอย่างหนึ่ง ดั่งต่อไปนี้[11]

                         - รับราชการหรือเคยรับราชการฝ่ายตุลาการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าชั้นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์

                         - รับราชการหรือเคยับราชการพลเรือนในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าชั้นอธิบดี

                         - เป็นหรือเคยเป็นอาจารย์โรงเรียนกฎหมายมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี

                         - มีภูมิรู้ในการร่างกฎหมาย หรือเคยรับราชการในการร่างกฎหมายมาแล้วมีความชำนาญและความสามารถเป็นประโยชน์ในการงานแผนกนี้

                    หน้าที่ของกรรมการร่างกฎหมาย ได้แก่ หน้าที่จัดทำร่างกฎหมายและรับปรึกษาให้ความเห็นในทางกฎหมายแก่ทบวงการเมือง และรัฐบาล[12]

               ค. เลขาธิการ

               เลขาธิการได้มาจากผู้ที่คณะรัฐมนตรีได้เลือกขึ้นเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร และได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว[13] กฎหมายกำหนดให้เลขาธิการเป็นกรรมการกฤษฎีกาสามัญโดยตำแหน่ง[14] เลขาธิการมีหน้าที่ควบคุมงานธุรการของคณะกรรมการกฤษฎีกา รับผิดชอบขึ้นตรงต่อประธานคณะกรรมการ[15]

          2) หน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกา

          หน้าที่หลักของคณะกรรมการกฤษฎีกามีอยู่ 3 ด้าน ดังนี้[16]

               1. จัดทำร่างกฎหมาย หรือ กฎข้อบังคับตามคำสั่งของสภาผู้แทนราษฎรหรือคณะรัฐมนตรีแล้วแต่กรณี

               2. รับปรึกษาให้ความเห็นในทางกฎหมายแก่ทบวงการเมืองของรัฐบาล

               3. พิจารณาพิพากษาคดีปกครองตามที่จะได้มีกฎหมายให้อยู่ในอำจาจของคณะกรรมการกฤษฎีกา

          3) องค์ประชุม

          ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกากฎหมายฉบับนี้กำหนดวิธีการแยกตามประเภทของเรื่องที่ต้องวินิจฉัย ดังนี้

                         - กรณีวินิจฉัยข้อปรึกษา การลงมติวินิจฉัยข้อปรึกษานั้น และให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้นำเรื่องเสนอประธานคณะกรรมการให้ชี้ขาด[17]

                         - กรณีคดีปกครอง ให้คณะกรรมการกฤษฎีการนั่งพิจารณาพิพากษาคดีปกครองอันประกอบด้วยกรรมการกฤษฎีกาสามัญจำนวน 4 นายเป็นอย่างน้อย กับ กรรมการกฤษฎีกาวิสามัญจำนวนอย่างน้อย 1 นาย รวม 3 นายเป็นอย่างมากนั่งประชุมด้วยกันจึงจะเป็นองค์ประชุมพิจารณาพิพากษาคดี[18]

          กฎหมายได้ห้ามมิให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงหรือทบวงและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง หรือทบวงนั่งเป็นกรรมการกฤษฎีกาในคดีที่มีผู้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของกระทรวงหรือทบวงนั้น[19]

 

การปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา

          พระราชกฤษฎีกาฯ ได้กำหนดมอบหมายหน้าที่ให้กรรมการกฤษฎีกาเท่านั้นที่กฎหมายให้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง ส่วนกรรมการร่างกฎหมายไม่มีอำนาจพิจารณาคดีปกครองแต่อย่างใด[20] ต่อมาเพื่อให้คณะกรรมการกฤษฎีกาปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ กฎหมายดังกล่าวได้จัดตั้ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยธุรการของคณะกรรมการกฤษฎีกา ต่อมาได้มีการตรา “พระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522” ขึ้นเพื่อปรับปรุงการจัดองค์กร อำนาจหน้าที่และกลไกในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยกำหนดแผนงานและขั้นตอนของการพัฒนาคณะกรรมการกฤษฎีกาให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบวิธีพิจารณาคดีปกครองขึ้นในประเทศไทย โดยมีการจัดตั้ง “คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์” ขึ้น เพื่อทำหน้าที่วินิจฉัยข้อพิพาทในคดีปกครองต่างหากจากคณะกรรมการร่างกฎหมายซึ่งยังคงไว้เช่นเดิม อนึ่ง อำนาจของคณะกรรมการกฤษฎีกาในการพิจารณาเรื่องที่ราษฎรได้รับความเสียหายจากการกระทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือคดีปกครองได้รับการพัฒนาตลอดมาจนในที่สุดได้โอนไปเป็นอำนาจของศาลปกครองเมื่อมีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นใน ปี พ.ศ. 2542

 

บรรณานุกรม

ถวัลย์ วรเทพพุฒิพงษ์, การบริหารงานของคณะที่ปรึกษากฎหมายของนายกรัฐมนตรีและของคณะกรรมการกฤษฎีกา, หน้า 56-89, ออนไลน์จาก http://library1.nida.ac.th/nida_jour0/NJv7n1_03.pdf. . เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2564

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 50/หน้า 782/ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2476. พระราชบัญญัติว่าด้วยว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. ประวัติความเป็นมา. ออนไลน์จาก https://krisdika.go.th/th/ background. เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2564

 

เอกสารอ่านเพิ่มเติม

ถวัลย์ วรเทพพุฒิพงษ์, การบริหารงานของคณะที่ปรึกษากฎหมายของนายกรัฐมนตรีและของคณะกรรมการกฤษฎีกา, หน้า 56-89, ออนไลน์จาdhttp://library1.nida.ac.th/nida_jour0/NJv7n1_03.pdf

รวมพระชุดวัดบวรนิเวศวิหาร. วิวัฒนาการศาลปกครองไทย ศาลปกครองไทยใต้เบื้องพระบุคลบาท. จากhttp://www.admincourt.go.th/admincourt/upload/webcms/Court/Court_201212_160637.pdf”.

 

อ้างอิง

[1] สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, ประวัติความเป็นมา, ออนไลน์จาก https://krisdika.go.th/th/ background, เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2564

[2] มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[3] มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[4] มาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[5] มาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[6] มาตรา 9 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[7] มาตรา 9 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[8] มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[9] มาตรา 9 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[10] มาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[11] มาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[12] มาตรา 8 (2) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[13] มาตรา 9 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[14] มาตรา 9 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[15] มาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[16] มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[17] มาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[18] มาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[19] มาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476

[20] ถวัลย์ วรเทพพุฒิพงษ์, การบริหารงานของคณะที่ปรึกษากฎหมายของนายกรัฐมนตรีและของคณะกรรมการกฤษฎีกา, หน้า 64, ออนไลน์จากhttp://library1.nida.ac.th/nida_jour0/NJv7n1_03.pdf