ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สวนบ้านแก้ว"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Trikao (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าด้วย " '''สวนบ้านแก้ว''' ผู้เรียบเรียง ศิบดี นพประเสริฐ ภาควิชาส..."
 
Trikao (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 1 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน)
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:


'''สวนบ้านแก้ว'''
'''ผู้เรียบเรียง :''' ศิบดี นพประเสริฐ 


ผู้เรียบเรียง ศิบดี นพประเสริฐ ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ :''' ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ
 
 
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; '''“สวนบ้านแก้ว”''' คือ ที่ประทับแปรพระราชฐานในจังหวัดจันทบุรีของ [[สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี_พระบรมราชินี]]ในรัชกาลที่ 7 ระหว่าง พ.ศ. 2493-2511 ความเป็นมาของสวนบ้านแก้ว เริ่มต้นขึ้นเมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เสด็จนิวัติประเทศไทยเป็นการถาวรใน พ.ศ. 2492 ในช่วงแรกรัฐบาลไทยในขณะนั้นมีดำริจะจัดวังตำบลท่าช้างอันเคยเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์[[#_ftn1|<sup><sup>[1]</sup></sup>]] พระชนกในพระองค์ถวายเป็นที่ประทับตามคำปรารภของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เนื่องจากวังศุโขทัยซึ่งเป็นที่ประทับเดิมมาตั้งแต่ครั้งอภิเษกสมรส ยังคงใช้เป็นที่ทำการของกระทรวงสาธารณสุข แต่ด้วยสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (พระอิสริยยศในครั้งนั้น) กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ไปประทับยัง '''“ตำหนักหอ”''' วังสระปทุม อันเป็นที่ประทับเดิมของสมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ กับสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์[[#_ftn2|<sup><sup>[2]</sup></sup>]] สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ประทับ ณ วังสระปทุมเป็นเวลาประมาณเกือบ 2 ปี จึงเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับที่พระตำหนักสวนบ้านแก้ว จังหวัดจันทบุรี
 
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี มีพระราชอัธยาศัยโปรดธรรมชาติอย่างยิ่ง ดังปรากฏว่าที่[[วังศุโขทัย]]และพระตำหนักต่าง ๆ ในประเทศอังกฤษนั้นแวดล้อมไปด้วยสวนดอกไม้ ต้นไม้ใหญ่น้อยต่าง ๆ และในส่วนพระองค์ก็โปรดการทำสวนเป็นพระราชจริยวัตร ดังนั้น ภายหลังจากที่เสด็จฯ กลับจากประเทศอังกฤษแล้ว จึงมีพระราชดำริที่จะหาที่ดินในต่างจังหวัดที่มีอากาศดี เพื่อสร้างพระตำหนักที่ประทับสำหรับพักผ่อนพระราชอิริยาบถและทรงเยี่ยมเยียนประชาชน หม่อมเจ้าประดิษฐา จักรพันธุ์[[#_ftn3|<sup><sup>[3]</sup></sup>]] ผู้จัดการสวนบ้านแก้วในเวลาต่อมา ทรงเล่าว่าในการหาที่ดินในต่างจังหวัดนั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี มีพระราชดำรำไว้ 2 แห่ง คือ จังหวัดเชียงใหม่ และ จังหวัดจันทบุรี เหตุผลที่ทรงตัดสินพระราชหฤทัยเลือกจังหวัดจันทบุรีนั้น เพราะทรงเห็นว่าจังหวัดเชียงใหม่อยู่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ มากเกินไป อีกทั้งการเดินทางยังไม่สะดวก ต้องเสด็จฯ ทางรถไฟเป็นประจำ จึงทรงสนพระราชหฤทัยจังหวัดจันทบุรี เพราะระยะทางใกล้กว่าและสามารถเสด็จฯ เข้ากรุงเทพฯ ได้ในวันเดียว ประกอบกับผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีในครั้งนั้นได้กราบบังคมทูลแนะนำให้เสด็จฯ ไปประทับที่นั่นด้วย พระราชดำริที่จะมีที่ประทับอยู่นอกพระนครนั้น สะท้อนได้จากการที่ หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ได้พูดออกอากาศในรายการ '''“ครอบจักรวาล”''' ทางสถานีวิทยุ ททบ. 5 ในช่วงเวลาที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี&nbsp;พระบรมราชินี สวรรคต ดังใจความต่อไปนี้[[#_ftn4|<sup><sup>[4]</sup></sup>]]
 
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;''“...ทรงมีความคิดที่จะหาที่ปลูกต้นไม้ต้นไร่ ทำสวนเล่น คือทรงรับเอานิสัยของคนอังกฤษมา คนอังกฤษ นี่ถือตัวว่าเขาเป็น “คนบ้านนอก” เขาจะเข้ามาอยู่ในลอนดอนก็เมื่อมีธุรกิจมีงานมีการ แต่พอถึงเสาร์อาทิตย์ เขาจะต้องกลับไปต่างจังหวัด เพราะว่าเศรษฐีเมืองอังกฤษมีที่ดินอย่างมหาศาล พวกขุนน้ำขุนนางมีที่ดินเยอะแยะ บางทีมีป่าส่วนตัว พอถึงเวลาพักผ่อนก็จะไปตามป่า ตามไร่ ตามนาของตัวเอง ทรงรับนิสัยอังกฤษแบบนี้มาแน่นอน ก็รับสั่งให้เจ้ากาวิละ ณ เชียงใหม่ ลองไปหาที่ดูซิที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ โดยทางรถยนต์ คือ เดินทางไม่เกิน 1 วัน มีไหมอย่างที่จันทบุรี...”''


&nbsp;
&nbsp;


“สวนบ้านแก้ว” คือที่ประทับแปรพระราชฐานในจังหวัดจันทบุรีของ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ระหว่าง พ.ศ. 2493-2511
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ใน พ.ศ. 2493 พลตรีหม่อมทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์ (หม่อมราชวงศ์เฉลิมลาภ ทวีวงศ์) เลขาธิการพระราชวังในขณะนั้น จึงได้สืบหาที่ดินในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี และได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรที่ดิน สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้เสด็จฯ ไปตามถนนที่ยังไม่ได้ลาดยาง เต็มไปด้วยหลุมบ่อและฝุ่นละออง รถยนต์พระที่นั่งแล่นแบบกระแทกกระเทือนไปตลอดทางเป็นเวลาถึงครึ่งวัน ทั้งยังต้องผ่านแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต้องข้ามสะพานชั่วคราวบ้าง หรือแพขนานยนต์ที่ตกค้างมาจากสมัยสงครามบ้างในที่สุด ทรงพบพื้นที่ที่ต้องพระราชหฤทัยที่ตำบลสวนแก้ว ตรงทางแยกเข้าตัวเมืองและทางไปจังหวัดตราด จึงทรงตัดสินพระราชหฤทัยกู้เงินจากธนาคารเพื่อทรงซื้อที่ดินบริเวณดังกล่าวจากเจ้าของที่ดินหลายรายรวมกันได้ 687 ไร่ มีลักษณะเป็นที่ดินอยู่สองฝั่งคลองบ้านแก้ว และพระราชทานนามที่ดินตามชื่อตำบลว่า '''“สวนบ้านแก้ว”'''[[#_ftn5|<sup><sup>[5]</sup></sup>]]


ความเป็นมาของสวนบ้านแก้ว เริ่มต้นขึ้นเมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เสด็จนิวัติประเทศไทยเป็นการถาวรใน พ.ศ. 2492 ในช่วงแรก รัฐบาลไทยในขณะนั้นมีดำริจะจัดวังตำบลท่าช้าง อันเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์[[#_ftn1|<sup><sup>[1]</sup></sup>]] พระชนกในพระองค์ ถวายเป็นที่ประทับ ตามคำปรารภของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เนื่องจากวังศุโขทัยซึ่งเป็นที่ประทับเดิมมาตั้งแต่ครั้งอภิเษกสมรส ยังคงใช้เป็นที่ทำการของกระทรวงสาธารณสุข แต่ด้วยสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (พระอิสริยยศในครั้งนั้น) กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ไปประทับยัง “ตำหนักหอ” วังสระปทุม อันเป็นที่ประทับเดิมของสมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ กับสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์[[#_ftn2|<sup><sup>[2]</sup></sup>]] สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ประทับ ณ วังสระปทุมเป็นเวลาประมาณเกือบ 2 ปี จึงเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับที่พระตำหนักสวนบ้านแก้ว จังหวัดจันทบุรี
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ในระยะแรกนั้น สวนบ้านแก้วยังมีสภาพเป็นป่า จึงมีการจัดสร้างที่ประทับชั่วคราวและมีเรือนรับแขก มีลักษณะเป็นแคมป์ทำด้วยไม้ไผ่หลังคามุงด้วยใบจากขึ้นก่อน แล้วจึงสร้างพระตำหนักที่ประทับและเรือนพักข้าราชบริพาร สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพยายามประหยัดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างมากที่สุด จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการเผาอิฐเองที่ไร่ โดยจ้างช่างมาสอนคนงานพื้นเมืองในการทำเตาเผา นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำกระเบื้องมุงหลังคาเองอีกด้วย[[#_ftn6|<sup><sup>[6]</sup></sup>]]


สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี มีพระราชอัธยาศัยโปรดธรรมชาติอย่างยิ่ง ดังปรากฏว่า ที่วังศุโขทัยและพระตำหนักต่างๆ ในประเทศอังกฤษนั้นแวดล้อมไปด้วยสวนดอกไม้ ต้นไม้ใหญ่น้อยต่างๆ และในส่วนพระองค์ก็โปรดการทำสวนเป็นพระราชจริยวัตร ดังนั้น ภายหลังจากที่เสด็จฯ กลับจากประเทศอังกฤษแล้ว จึงมีพระราชดำริที่จะหาที่ดินในต่างจังหวัดที่มีอากาศดี เพื่อสร้างพระตำหนักที่ประทับสำหรับพักผ่อนพระราชอิริยาบถและทรงเยี่ยมเยียนประชาชน หม่อมเจ้าประดิษฐา จักรพันธุ์[[#_ftn3|<sup><sup>[3]</sup></sup>]] ผู้จัดการสวนบ้านแก้วในเวลาต่อมา ทรงเล่าว่า ในการหาที่ดินในต่างจังหวัดนั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี มีพระราชดำรำไว้ 2 แห่ง คือ จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดจันทบุรี เหตุผลที่ทรงตัดสินพระราชหฤทัยเลือกจังหวัดจันทบุรีนั้น เพราะทรงเห็นว่าจังหวัดเชียงใหม่อยู่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ มากเกินไป อีกทั้งการเดินทางยังไม่สะดวก ต้องเสด็จฯ ทางรถไฟเป็นประจำ จึงทรงสนพระราชหฤทัยจังหวัดจันทบุรี เพราะระยะทางใกล้กว่า และสามารถเสด็จฯ เข้ากรุงเทพฯ ได้ในวันเดียว ประกอบกับผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีในครั้งนั้นได้กราบบังคมทูลแนะนำให้เสด็จฯ ไปประทับที่นั่นด้วย พระราชดำริที่จะมีที่ประทับอยู่นอกพระนครนั้น สะท้อนได้จากการที่หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ได้พูดออกอากาศในรายการ “ครอบจักรวาล” ทางสถานีวิทยุ ททบ. 5 ในช่วงเวลาที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี<br/> พระบรมราชินี สวรรคต ดังใจความต่อไปนี้[[#_ftn4|<sup><sup>[4]</sup></sup>]]
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; เมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จฯ ไปประทับในระยะแรก ๆ มีผู้ตามเสด็จไปอยู่ด้วยประมาณ 100 กว่าคน ขณะนั้น สวนบ้านแก้วยังไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปาใช้ ต้องทำเครื่องปั่นไฟฟ้าใช้เอง และต้องสูบน้ำจากคลองบ้านแก้ว อีกทั้งไม่มีโทรศัพท์ เมื่อมีเรื่องด่วนที่ต้องติดต่อไปยังกรุงเทพฯ ต้องเข้าไปใช้โทรเลขในตัวเมืองซึ่งห่างออกไปจากสวนบ้านแก้วประมาณ 8 กิโลเมตร[[#_ftn7|<sup><sup>[7]</sup></sup>]]


''“...ทรงมีความคิดที่จะหาที่ปลูกต้นไม้ต้นไร่ ทำสวนเล่น คือทรงรับเอานิสัยของคนอังกฤษมา คนอังกฤษ นี่ถือตัวว่าเขาเป็น “คนบ้านนอก” เขาจะเข้ามาอยู่ในลอนดอนก็เมื่อมีธุรกิจมีงานมีการ แต่พอถึงเสาร์อาทิตย์ เขาจะต้องกลับไปต่างจังหวัด เพราะว่าเศรษฐีเมืองอังกฤษมีที่ดินอย่างมหาศาล พวกขุนน้ำขุนนางมีที่ดินเยอะแยะ บางทีมีป่าส่วนตัว พอถึงเวลาพักผ่อนก็จะไปตามป่า ตามไร่ ตามนาของตัวเอง ทรงรับนิสัยอังกฤษแบบนี้มาแน่นอน ก็รับสั่งให้เจ้ากาวิละ ณ เชียงใหม่ ลองไปหาที่ดูซิที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ โดยทางรถยนต์ คือ เดินทางไม่เกิน ''''1 วัน<br/> มีไหมอย่างที่จันทบุรี...”''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้าประดิษฐา จักรพันธุ์ ทรงเป็นผู้จัดการสวนบ้านแก้ว มีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ และพระราชทานพระราชดำริให้ปลูกพืชสวนครัว และผลไม้นานาชนิด ทั้งที่เป็นพืชที่ทรงนำมาจากต่างถิ่นและพืชในท้องถิ่น และเลี้ยงสัตว์ พันธุ์ต่าง ๆ ด้วยต้องพระราชประสงค์ให้สวนบ้านแก้วเป็นพื้นที่ตัวอย่างด้านการเกษตรมากกว่าเพื่อทำการค้า ดังนั้น เมื่อมีการทดลองว่าการปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ชนิดใดได้ผลดี ก็จะทรงนำความรู้และผลที่ได้จากการทดลองนั้นไปแนะนำและเผยแพร่แก่ประชาชนในท้องถิ่นต่อไป ในการนี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักวิชาการจากสถานีทดลองการเกษตรที่จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นข้าราชบริพารเก่ามาช่วยแนะนำประชาชนที่มีเรือกสวนไร่นาของตนเองในละแวกนั้น และอาศัยเวลาที่ว่างจากการทำงานมารับจ้างทำไร่ที่สวนบ้านแก้ว ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ประชาชนมีรายได้พิเศษแล้ว พวกเขาเหล่านั้นยังสามารถนำความรู้ที่ได้จากสวนบ้านแก้วไปปรับปรุงใช้ในกิจการของตนเองอีกด้วย[[#_ftn8|<sup><sup>[8]</sup></sup>]]


ใน พ.ศ. 2493 พลตรีหม่อมทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์ (หม่อมราชวงศ์เฉลิมลาภ ทวีวงศ์) เลขาธิการพระราชวัง<br/> ในขณะนั้น จึงได้สืบหาที่ดินในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี และได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรที่ดิน<br/> สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้เสด็จฯ ไปตามถนนที่ยังไม่ได้ลาดยาง เต็มไปด้วยหลุมบ่อและฝุ่นละออง รถยนต์พระที่นั่งแล่นแบบกระแทกกระเทือนไปตลอดทางเป็นเวลาถึงครึ่งวัน ทั้งยังต้องผ่านแม่น้ำลำคลองต่างๆ ซึ่งจำเป็นต้องข้ามสะพานชั่วคราวบ้าง หรือแพขนานยนต์ที่ตกค้างมาจากสมัยสงครามบ้างในที่สุด ทรงพบพื้นที่ที่ต้องพระราชหฤทัยที่ตำบลสวนแก้ว ตรงทางแยกเข้าตัวเมืองและทางไปจังหวัดตราด จึงทรงตัดสินพระราชหฤทัยกู้เงินจากธนาคารเพื่อทรงซื้อที่ดินบริเวณดังกล่าวจากเจ้าของที่ดินหลายรายรวมกันได้ 687 ไร่ มีลักษณะเป็นที่ดินอยู่สองฝั่งคลองบ้านแก้ว และพระราชทานนามที่ดินตามชื่อตำบลว่า “สวนบ้านแก้ว”[[#_ftn5|<sup><sup>[5]</sup></sup>]]
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การทดลองปลูกพืชไร่ต่าง ๆ นั้น ในระยะแรก สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกถั่วลิสงและนุ่น โดยมีพระราชประสงค์ให้ปลูกเป็นตัวอย่างแก่ประชาชน แต่เนื่องจากพืชทั้งสองชนิดเป็นพืชที่ไม่เหมาะสมกับภูมิอากาศที่มีฝนตกชุกในเขตจังหวัดจันทบุรี การปลูกพืชทั้งสองชนิดจึงไม่ได้รับความนิยม อย่างไรก็ตามพืชและผลไม้ต่าง ๆ ที่ปลูกในระยะนั้นส่วนใหญ่เป็นการปลูกทดลองเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ประชาชน ผลิตผลที่ได้ทรงนำออกพระราชทานแจกจ่ายทั้งพระประยูรญาติและบุคคลต่าง ๆ ต่อมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปลูก เงาะ ลางสาด มังคุด ลิ้นจี่ พริกไทย มันสำปะหลัง ส้มเขียวหวาน และทุเรียน ดังรายละเอียดที่หม่อมเจ้าประดิษฐา จักรพันธุ์ ทรงเล่าว่า


ในระยะแรกนั้น สวนบ้านแก้วยังมีสภาพเป็นป่า จึงมีการจัดสร้างที่ประทับชั่วคราวและมีเรือนรับแขก มีลักษณะเป็นแคมป์ทำด้วยไม้ไผ่หลังคามุงด้วยใบจากขึ้นก่อน แล้วจึงสร้างพระตำหนักที่ประทับและเรือนพัก ข้าราชบริพาร สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพยายามประหยัดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง มากที่สุด จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการเผาอิฐเองที่ไร่ โดยจ้างช่างมาสอนคนงานพื้นเมืองในการทำเตาเผา นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำกระเบื้องมุงหลังคาเองอีกด้วย[[#_ftn6|<sup><sup>[6]</sup></sup>]]
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ''“...ได้ทดลองปลูกมันสำปะหลังเป็นจำนวนร้อย ๆ ไร่ เพื่อกันไม่ให้หญ้าขึ้นรกและไม่ให้ดินไหล ได้ผลดีมาก จนเคยนำออกขาย ภายหลังจากปลูกมันสำปะหลังแล้ว ได้ปลูกส้มเขียวหวานประมาณ&nbsp;3,000 ต้น โดยซื้อกิ่งชำจากสถานีทดลองเกษตรของจันทบุรี นอกจากนี้ยังทดลองปลูกพริกไทยประมาณ 1 ไร่ สำหรับพระราชทานเป็นของฝากแก่บุคคลต่าง ๆ และโปรดเกล้าฯ ให้นำทุเรียนพันธุ์ใหม่จากต่างถิ่นมาปลูก คือ พันธุ์หมอนทอง อีกทั้งยังมีการปลูกแตงไทย และแตงโม โดยหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทรงนำมาทดลองปลูกประมาณ 8 ไร่ ทรงดูแลอย่างดี และทดลองนำพันธุ์แตงโมต่าง ๆ มาปลูก มีพันธุ์หนึ่งได้ผลดีมาก เคยปรากฏว่ามีน้ำหนักถึงลูกละ 15 ก.ก. แตงโมที่ทรงนำมาปลูกนี้ สมเด็จฯ เสวยเอง และพระราชทานแก่บุคคลต่าง ๆ จึงไม่ได้นำออกขายทั่วไป...”''[[#_ftn9|<sup><sup>[9]</sup></sup>]]


เมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จฯ ไปประทับในระยะแรกๆ มีผู้ตามเสด็จไปอยู่ด้วยประมาณ 100 กว่าคน ขณะนั้น สวนบ้านแก้วยังไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปาใช้ ต้องทำเครื่องปั่นไฟฟ้าใช้เอง และต้องสูบน้ำจากคลองบ้านแก้ว อีกทั้งไม่มีโทรศัพท์ เมื่อมีเรื่องด่วนที่ต้องติดต่อไปยังกรุงเทพฯ ต้องเข้าไปใช้โทรเลขในตัวเมืองซึ่งห่างออกไปจากสวนบ้านแก้วประมาณ 8 กิโลเมตร[[#_ftn7|<sup><sup>[7]</sup></sup>]]
&nbsp;


&nbsp;สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้าประดิษฐา จักรพันธุ์ ทรงเป็นผู้จัดการสวนบ้านแก้ว มีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการในเรื่องต่างๆ และพระราชทานพระราชดำริให้ปลูกพืชสวนครัว และผลไม้นานาชนิด ทั้งที่เป็นพืชที่ทรงนำมาจากต่างถิ่นและพืชในท้องถิ่น และเลี้ยงสัตว์ พันธุ์ต่างๆ ด้วยต้องพระราชประสงค์ให้สวนบ้านแก้วเป็นพื้นที่ตัวอย่างด้านการเกษตรมากกว่าเพื่อทำการค้า ดังนั้น เมื่อมีการทดลองว่าการปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ชนิดใดได้ผลดี ก็จะทรงนำความรู้และผลที่ได้จากการทดลองนั้นไปแนะนำและเผยแพร่แก่ประชาชนในท้องถิ่นต่อไป ในการนี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักวิชาการจากสถานีทดลองการเกษตรที่จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นข้าราชบริพารเก่ามาช่วยแนะนำประชาชนที่มีเรือกสวนไร่นาของตนเองในละแวกนั้น และอาศัยเวลาที่ว่างจากการทำงานมารับจ้างทำไร่ที่สวนบ้านแก้ว ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ประชาชนมีรายได้พิเศษแล้ว พวกเขาเหล่านั้นยังสามารถนำความรู้ที่ได้จากสวนบ้านแก้วไปปรับปรุงใช้ในกิจการของตนเองอีกด้วย[[#_ftn8|<sup><sup>[8]</sup></sup>]]
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; นอกจากนี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ยังทรงให้มีการทดลองทำนาในบริเวณสวนบ้านแก้ว ซึ่งมีโรงสีของพระองค์เอง และเนื่องจากลักษณะของพื้นที่เป็นเนินเขาจึงปลูกข้าวแบบ ข้าวไร่ โดยทดลองปลูกข้าวพันธุ์หอมเหลือง แต่ปลูกในจำนวนไม่มาก ส่วนการปศุสัตว์ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส่งไก่พันธุ์ไข่จากต่างประเทศหลากหลายพันธุ์เพื่อทดลองเลี้ยงประมาณ 2,000 ตัว และฟักไข่ไก่ด้วยเครื่อง นอกจากนี้ ยังทรงเลี้ยงเป็ดพันธุ์ปักกิ่ง ห่าน และวัวพันธุ์เนื้อประมาณ 100 ตัว โดยเลี้ยงตามธรรมชาติเพื่อช่วยในการปราบหญ้า การที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงทดลองเลี้ยงสัตว์นั้น เพราะมีพระราชประสงค์ให้นำความรู้ที่ได้จากการทดลองไปเผยแพร่แก่ประชาชนต่อไปเช่นกัน ทั้งนี้ หม่อมเจ้าประดิษฐา จักรพันธุ์ ทรงเล่าว่า


การทดลองปลูกพืชไร่ต่างๆ นั้น ในระยะแรก สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกถั่วลิสงและนุ่น โดยมีพระราชประสงค์ให้ปลูกเป็นตัวอย่างแก่ประชาชน แต่เนื่องจากพืชทั้งสองชนิดเป็นพืชที่ไม่เหมาะสมกับภูมิอากาศที่มีฝนตกชุกในเขตจังหวัดจันทบุรี การปลูกพืชทั้งสองชนิดจึงไม่ได้รับความนิยม อย่างไรก็ตาม พืชและผลไม้ต่างๆ ที่ปลูกในระยะนั้นส่วนใหญ่เป็นการปลูกทดลองเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ประชาชน ผลิตผลที่ได้ทรงนำออกพระราชทานแจกจ่ายทั้งพระประยูรญาติและบุคคลต่างๆ ต่อมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกเงาะ ลางสาด มังคุด ลิ้นจี่ พริกไทย มันสำปะหลัง ส้มเขียวหวาน และทุเรียน ดังรายละเอียดที่หม่อมเจ้าประดิษฐา จักรพันธุ์ ทรงเล่าว่า
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ''“...สมเด็จฯ ทรงเคยขับรถแทรคเตอร์และตัดหญ้าด้วยพระองค์เอง เมื่อมีการปลูกข้าว สมเด็จฯ เคยทรงเกี่ยวข้าวและสีข้าวเอง นอกจากนี้ยังทรงปลูกถั่วลิสงเอง และทรงเก็บเองด้วย โดยผมและหม่อมราชวงศ์บรรลือศักดิ์ กฤดากร เตรียมไถปราบดินไว้ให้...”'' [[#_ftn10|<sup><sup>[10]</sup></sup>]]


''“...ได้ทดลองปลูกมันสำปะหลังเป็นจำนวนร้อยๆ ไร่ เพื่อกันไม่ให้หญ้าขึ้นรก และไม่ให้ดินไหล ได้ผลดีมาก จนเคยนำออกขาย ภายหลังจากปลูกมันสำปะหลังแล้ว ได้ปลูกส้มเขียวหวานประมาณ ''''3,000 ต้น โดยซื้อกิ่งชำจากสถานีทดลองเกษตรของจันทบุรี นอกจากนี้ยังทดลองปลูกพริกไทยประมาณ 1 ไร่ สำหรับพระราชทานเป็นของฝากแก่บุคคลต่างๆ และโปรดเกล้าฯ ให้นำทุเรียนพันธุ์ใหม่จากต่างถิ่นมาปลูก คือ พันธุ์หมอนทอง อีกทั้งยังมีการปลูกแตงไทย และแตงโม โดยหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทรงนำมาทดลองปลูกประมาณ 8 ไร่ ทรงดูแลอย่างดี และทดลองนำพันธุ์แตงโมต่างๆ มาปลูก มีพันธุ์หนึ่งได้ผลดีมาก เคยปรากฏว่ามีน้ำหนักถึงลูกละ 15 ก.ก. แตงโม ที่ทรงนำมาปลูกนี้ สมเด็จฯ เสวยเอง และพระราชทานแก่บุคคลต่างๆ จึงไม่ได้นำออกขายทั่วไป...” ''[[#_ftn9|<sup><sup>[9]</sup></sup>]]
&nbsp;


นอกจากนี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ยังทรงให้มีการทดลองทำนาในบริเวณสวนบ้านแก้ว ซึ่งมีโรงสีของพระองค์เอง และเนื่องจากลักษณะของพื้นที่เป็นเนินเขา จึงปลูกข้าวแบบ ข้าวไร่ โดยทดลองปลูกข้าวพันธุ์หอมเหลือง แต่ปลูกในจำนวนไม่มาก ส่วนการปศุสัตว์ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส่งไก่พันธุ์ไข่จากต่างประเทศหลากหลายพันธุ์เพื่อทดลองเลี้ยงประมาณ 2,000 ตัว และฟักไข่ไก่ด้วยเครื่อง นอกจากนี้ ยังทรงเลี้ยงเป็ดพันธุ์ปักกิ่ง ห่าน และวัวพันธุ์เนื้อประมาณ 100 ตัว โดยเลี้ยงตามธรรมชาติเพื่อช่วยในการปราบหญ้า การที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงทดลองเลี้ยงสัตว์นั้น เพราะมีพระราชประสงค์ให้นำความรู้ที่ได้จากการทดลองไปเผยแพร่แก่ประชาชนต่อไปเช่นกัน ทั้งนี้ หม่อมเจ้าประดิษฐา จักรพันธุ์ ทรงเล่าว่า
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; นอกจากจะทรงทำการเกษตรแล้ว สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ยังมีพระราชอัธยาศัยที่โปรดดอกไม้มาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเรือนเพาะชำส่วนพระองค์ เมื่อทรงว่างจากพระราชภารกิจก็โปรดที่จะประทับในเรือนเพาะชำ ทรงปลูกต้นไม้ที่สั่งพันธุ์มาจากต่างประเทศ ทรงดูแลไม้ดอกไม้ประดับเหล่านั้นด้วยพระองค์เองตั้งแต่เช้าถึงกลางวันจนเป็นพระราชจริยวัตรประจำ ทรงปลูกดอกไม้ตามถนนในพระตำหนัก ทรงเลี้ยงสุนัข เลี้ยงนกหงส์หยก และปลาชนิดต่าง ๆ ระหว่างที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ประทับอยู่ ณ สวนบ้านแก้วนี้ มีพระประยูรญาติและบุคคลต่าง ๆ เดินทางมาเฝ้าฯ เสมอ โดยเฉพาะในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษา ดังความที่หม่อมราชวงศ์สายสิงห์ (สวัสดิวัตน์) ศิริบุตร ซึ่งไปเฝ้าฯ ใน พ.ศ. 2495 และพักอยู่ที่สวนบ้านแก้วประมาณ 1 เดือน เล่าว่า


''“...สมเด็จฯ ทรงเคยขับรถแทรคเตอร์และตัดหญ้าด้วยพระองค์เอง เมื่อมีการปลูกข้าว สมเด็จฯ เคยทรงเกี่ยวข้าวและสีข้าวเอง นอกจากนี้ยังทรงปลูกถั่วลิสงเอง และทรงเก็บเองด้วย โดยผมและหม่อมราชวงศ์บรรลือศักดิ์ กฤดากร เตรียมไถปราบดินไว้ให้...”'' [[#_ftn10|<sup><sup>[10]</sup></sup>]]
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ''“...สวนบ้านแก้วสวยงามมาก ที่พักอยู่สบาย สมเด็จฯ ทรงพระดำเนินตรวจสวนทั้งเช้าและเย็นเสมอ เมื่อถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระองค์จะทรงบาตรและพระราชทานเลี้ยง มีพระญาติและบุคคลต่าง ๆ เข้าเฝ้าฯ มากมาย รวมทั้งพระอาคันตุกะบุคคลสำคัญที่ขอเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายพระพร เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวาปีบุษบากร พระองค์เจ้าจุมภฏพงศ์บริพัตร เอกอัครราชทูตอังกฤษ ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม เป็นต้น...” [[#_ftn11|<sup><sup>[11]</sup></sup>]]''


นอกจากจะทรงทำการเกษตรแล้ว สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ยังมีพระราชอัธยาศัยที่โปรดดอกไม้มาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเรือนเพาะชำส่วนพระองค์ เมื่อทรงว่างจากพระราชภารกิจ ก็โปรดที่จะประทับในเรือนเพาะชำ ทรงปลูกต้นไม้ที่สั่งพันธุ์มาจากต่างประเทศ ทรงดูแลไม้ดอกไม้ประดับเหล่านั้นด้วยพระองค์เองตั้งแต่เช้าถึงกลางวันจนเป็นพระราชจริยวัตรประจำ ทรงปลูกดอกไม้ตามถนนในพระตำหนัก ทรงเลี้ยงสุนัข เลี้ยงนกหงส์หยก และปลาชนิดต่างๆ ระหว่างที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ประทับอยู่ ณ สวนบ้านแก้วนี้ มีพระประยูรญาติและบุคคลต่างๆ เดินทางมาเฝ้าฯ เสมอ โดยเฉพาะในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษา ดังความที่หม่อมราชวงศ์สายสิงห์ (สวัสดิวัตน์) ศิริบุตร ซึ่งไปเฝ้าฯ ใน พ.ศ. 2495 และพักอยู่ที่สวนบ้านแก้วประมาณ 1 เดือน เล่าว่า
&nbsp;


''“...สวนบ้านแก้วสวยงามมาก ที่พักอยู่สบาย สมเด็จฯ ทรงพระดำเนินตรวจสวนทั้งเช้าและเย็นเสมอ เมื่อถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระองค์จะทรงบาตรและพระราชทานเลี้ยง มีพระญาติและบุคคลต่างๆ เข้าเฝ้าฯ มากมาย รวมทั้งพระอาคันตุกะบุคคลสำคัญที่ขอเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายพระพร เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวาปีบุษบากร พระองค์เจ้าจุมภฏพงศ์บริพัตร เอกอัครราชทูตอังกฤษ ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ''<br/> ''เป็นต้น...”'' [[#_ftn11|<sup><sup>[11]</sup></sup>]]
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สวนบ้านแก้ว ประกอบไปด้วยกลุ่มอาคารที่สำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้


สวนบ้านแก้ว ประกอบไปด้วยกลุ่มอาคารที่สำคัญๆ ดังต่อไปนี้
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 1. <u>พระตำหนักดอนแค</u> (ตำหนักแดง)[[#_ftn12|<sup><sup>[12]</sup></sup>]]


'''1. พระตำหนักดอนแค (ตำหนักแดง)[[#_ftn12|<sup>'''<sup>[12]</sup>'''</sup>]]'''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; นามพระตำหนักดอนแคมีที่มาจากบริเวณถนนหน้าพระตำหนักปลูกต้นแคฝรั่ง จึงเรียกขานกันว่า '''“ดอนแค”''' เป็นพระตำหนักที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับสำหรับเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และราชเลขานุการส่วนพระองค์ มีลักษณะเป็นอาคารสองชั้นแบบยุโรปสร้างด้วยไม้สักทาสีแดง มีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้านหลังตำหนัก เดิมเคยเป็นที่พักของ หม่อมราชวงศ์สมัครสมาน กฤดากร ราชเลขานุการ ต่อมาเมื่อราชเลขานุการถึงแก่กรรม หม่อมเจ้าผ่องผัสมณี จักรพันธุ์[[#_ftn13|<sup><sup>[13]</sup></sup>]] พระขนิษฐาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงดำรงตำแหน่งราชเลขานุการ และประทับที่พระตำหนักดอนแค สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ได้เสด็จฯ มาประทับกับหม่อมเจ้าผ่องผัสมณี จนกระทั่งเสด็จฯ กลับไปประทับ ณ วังศุโขทัยเป็นการถาวร


นามพระตำหนักดอนแค มีที่มาจากบริเวณถนนหน้าพระตำหนักปลูกต้นแคฝรั่ง จึงเรียกขานกันว่า<br/> “ดอนแค” เป็นพระตำหนักที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับสำหรับเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และราชเลขานุการส่วนพระองค์ มีลักษณะเป็นอาคารสองชั้นแบบยุโรปสร้างด้วยไม้สักทาสีแดง มีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้านหลังตำหนัก เดิมเคยเป็นที่พักของหม่อมราชวงศ์สมัครสมาน กฤดากร ราชเลขานุการ ต่อมาเมื่อราชเลขานุการถึงแก่กรรม หม่อมเจ้าผ่องผัสมณี จักรพันธุ์[[#_ftn13|<sup><sup>[13]</sup></sup>]] พระขนิษฐา<br/> ของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงดำรงตำแหน่งราชเลขานุการ และประทับที่พระตำหนักดอนแค<br/> สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ได้เสด็จฯ มาประทับกับหม่อมเจ้าผ่องผัสมณี จนกระทั่ง เสด็จฯ กลับไปประทับ<br/> ณ วังศุโขทัยเป็นการถาวร
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 2. <u>พระตำหนักใหญ่</u> (ตำหนักเทา)[[#_ftn14|<sup><sup>[14]</sup></sup>]]


'''2. พระตำหนักใหญ่ (ตำหนักเทา)[[#_ftn14|<sup>'''<sup>[14]</sup>'''</sup>]]'''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักใหญ่ (พระตำหนักเทา) บนเนินที่ลาดลงไปยังหุบเขา ซึ่งเป็นที่ประทับและรับรองแขก พระตำหนักเป็นอาคารแบบครึ่งตึกครึ่งไม้ชั้นครึ่งรูปทรงยุโรปทาสีเทา ชั้นบนเป็นห้องบรรทมซึ่งมีเฉลียงที่พระองค์สามารถทอดพระเนตรทิวทัศน์อันงดงามของสวนบ้านแก้วได้กว้างไกล ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ได้เสด็จฯ มาที่สวนบ้านแก้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปลูกต้นจำปาไว้ด้านข้างพระตำหนักใหญ่&nbsp;และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงปลูกต้นเงาะไว้บริเวณเดียวกัน


สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักใหญ่<br/> (พระตำหนักเทา) บนเนินที่ลาดลงไปยังหุบเขา ซึ่งเป็นที่ประทับและรับรองแขก พระตำหนักเป็นอาคารแบบครึ่งตึกครึ่งไม้ชั้นครึ่ง รูปทรงยุโรป ทาสีเทา ชั้นบนเป็นห้องบรรทมซึ่งมีเฉลียงที่พระองค์สามารถทอดพระเนตรทิวทัศน์อันงดงามของสวนบ้านแก้วได้กว้างไกล ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ได้เสด็จฯ มาที่สวนบ้านแก้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปลูกต้นจำปาไว้ด้านข้างพระตำหนักใหญ่<br/> และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงปลูกต้นเงาะไว้บริเวณเดียวกัน
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 3. <u>เรือนเขียว</u>[[#_ftn15|<sup><sup>[15]</sup></sup>]]


'''3. เรือนเขียว[[#_ftn15|<sup>'''<sup>[15]</sup>'''</sup>]]'''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; เรือนเขียวเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวทาสีเขียวทั้งหลัง ยกใต้ถุนสูงจากพื้น มีระเบียงหน้าบ้าน หลังคามุงด้วยกระเบื้องลอนคู่ มีทางขึ้นลงได้ 2 ทาง ภายในตัวบ้าน ในอดีตเป็นบ้านพักของราชเลขานุการ ปัจจุบันใช้เป็นที่ทำการของผู้มาติดต่อเยี่ยมชมวังสวนบ้านแก้ว


เรือนเขียวเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวทาสีเขียวทั้งหลัง ยกใต้ถุนสูงจากพื้น มีระเบียงหน้าบ้าน หลังคามุงด้วยกระเบื้องลอนคู่ มีทางขึ้นลงได้ 2 ทาง ภายในตัวบ้าน ในอดีตเป็นบ้านพักของราชเลขานุการ ปัจจุบันใช้เป็นที่ทำการของผู้มาติดต่อเยี่ยมชมวังสวนบ้านแก้ว
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 4. <u>เรือนแดง</u>[[#_ftn16|<sup><sup>[16]</sup></sup>]]


'''4. เรือนแดง[[#_ftn16|<sup>'''<sup>[16]</sup>'''</sup>]]'''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; เรือนแดงตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระตำหนักใหญ่ เป็นเรือนไม้ชั้นเดียวทาสีแดงทั้งหลัง ยกใต้ถุนสูงจากพื้น&nbsp;มีบันไดขึ้นลง 2 ทาง รูปร่างตัวบ้านมีลักษณะเหมือนกับเรือนเทา แตกต่างกันเพียงสีเท่านั้น ในอดีตเรือนแดงเป็นบ้านพักของข้าหลวงที่ตามเสด็จสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ มาจากกรุงเทพฯ


เรือนแดงตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระตำหนักใหญ่ เป็นเรือนไม้ชั้นเดียวทาสีแดงทั้งหลัง ยกใต้ถุนสูงจากพื้น<br/> มีบันไดขึ้นลง 2 ทาง รูปร่างตัวบ้านมีลักษณะเหมือนกับเรือนเทา แตกต่างกันเพียงสีเท่านั้น ในอดีตเรือนแดง<br/> เป็นบ้านพักของข้าหลวงที่ตามเสด็จสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ มาจากกรุงเทพฯ
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; 5. <u>เรือนเทา</u>[[#_ftn17|<sup><sup>[17]</sup></sup>]]


'''5. เรือนเทา[[#_ftn17|<sup>'''<sup>[17]</sup>'''</sup>]]'''
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; เรือนเทาตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพระตำหนักใหญ่ เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวทาสีเทาทั้งหลัง ยกใต้ถุนสูงจากพื้น หลังคามุงกระเบื้องลอนคู่มีทางขึ้นลง 2 ทาง ในอดีตเรือนเทาเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ในระหว่างที่กำลังก่อสร้างพระตำหนักใหญ่ (ตำหนักเทา)


เรือนเทาตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพระตำหนักใหญ่ เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวทาสีเทาทั้งหลัง ยกใต้ถุนสูงจากพื้น หลังคามุงกระเบื้องลอนคู่มีทางขึ้นลง 2 ทาง ในอดีต เรือนเทาเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ในระหว่างที่กำลังก่อสร้างพระตำหนักใหญ่ (ตำหนักเทา)
&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; หลังจากที่ประทับ ณ พระตำหนักสวนบ้านแก้วมาเป็นระยะเวลา 18 ปี ใน พ.ศ. 2511 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงเจริญพระชนมพรรษา 64 พรรษา พระสุขภาพพลานามัยไม่สมบูรณ์แข็งแรงเช่นที่เคยเป็นมา กอปรกับการที่ข้าราชบริพารที่ถวายงานอยู่ที่สวนบ้านแก้วส่วนใหญ่เป็นสตรี จึงมีพระราชดำริที่จะแปรพระราชฐานจากพระตำหนักสวนบ้านแก้วที่จันทบุรีกลับมาประทับ ณ วังศุโขทัยเป็นการถาวร พร้อมกันนี้กระทรวงศึกษาธิการกำลังหาที่ดินสำหรับก่อสร้างวิทยาลัยครูจันทบุรี และได้ทราบว่าสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ไม่ต้องพระราชประสงค์จะประทับที่สวนบ้านแก้วอีกต่อไป พลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงนำความกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองพระบาทเกี่ยวกับความมุ่งหมายของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษามาโดยตลอด จึงทรงมีพระราชหฤทัยยินดีที่จะพระราชทานสวนบ้านแก้วแก่กระทรวงศึกษาธิการ โดยกระทรวงศึกษาธิการทูลเกล้าฯ ถวายเงินจำนวน 18 ล้านบาท[[#_ftn18|<sup><sup>[18]</sup></sup>]] '''“สวนบ้านแก้ว”''' จึงกลายเป็นสถานศึกษาชั้นสูงสำหรับกุลบุตรกุลธิดาชาวจันทบุรีและจังหวัดใกล้เคียง คือ วิทยาลัยครูจันทบุรี และพัฒนามาเป็นสถาบันราชภัฏรำไพพรรณี และมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณีตราบจนปัจจุบัน
 
หลังจากที่ประทับ ณ พระตำหนักสวนบ้านแก้วมาเป็นระยะเวลา 18 ปี ใน พ.ศ. 2511 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงเจริญพระชนมพรรษา 64 พรรษา พระสุขภาพพลานามัยไม่สมบูรณ์แข็งแรงเช่นที่เคยเป็นมา กอปรกับการที่ข้าราชบริพารที่ถวายงานอยู่ที่สวนบ้านแก้วส่วนใหญ่เป็นสตรี จึงมีพระราชดำริที่จะแปรพระราชฐานจากพระตำหนักสวนบ้านแก้วที่จันทบุรีกลับมาประทับ ณ วังศุโขทัยเป็นการถาวร พร้อมกันนี้ กระทรวงศึกษาธิการกำลังหาที่ดินสำหรับก่อสร้างวิทยาลัยครูจันทบุรี และได้ทราบว่าสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ไม่ต้องพระราชประสงค์จะประทับที่สวนบ้านแก้วอีกต่อไป พลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงนำความกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองพระบาทเกี่ยวกับความมุ่งหมายของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษามาโดยตลอด จึงทรงมีพระราชหฤทัยยินดีที่จะพระราชทานสวนบ้านแก้วแก่กระทรวงศึกษาธิการ โดยกระทรวงศึกษาธิการทูลเกล้าฯ ถวายเงินจำนวน 18 ล้านบาท[[#_ftn18|<sup><sup>[18]</sup></sup>]] “สวนบ้านแก้ว” จึงกลายเป็นสถานศึกษาชั้นสูงสำหรับกุลบุตรกุลธิดาชาวจันทบุรีและจังหวัดใกล้เคียง คือ วิทยาลัยครูจันทบุรี และพัฒนามาเป็นสถาบัน<br/> ราชภัฏรำไพพรรณี และมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณีตราบจนปัจจุบัน


&nbsp;
&nbsp;


อ้างอิง
<span style="font-size:x-large;">'''อ้างอิง'''</span>
<div>
<div><div id="ftn1">
----
<div id="ftn1">
[[#_ftnref1|<sup><sup>[1]</sup></sup>]] พระนามเดิมคือ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฎวิทยมหาราช ประสูติแต่สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม พระสนมเอก สกุลเดิม “สุจริตกุล”) ต้นราชสกุล “สวัสดิวัตน์” นอกจากจะเป็นพระชนกในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 (พระนามเดิม หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์) แล้ว ยังเป็นพระโสทรานุชาธิบดีในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรประการ (ต้นราชสกุล “เทวกุล”) สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีในรัชกาลที่ 5 สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงในรัชกาลที่ 6 และ 7 อีกด้วย
[[#_ftnref1|<sup><sup>[1]</sup></sup>]] พระนามเดิมคือ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฎวิทยมหาราช ประสูติแต่สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม พระสนมเอก สกุลเดิม “สุจริตกุล”) ต้นราชสกุล “สวัสดิวัตน์” นอกจากจะเป็นพระชนกในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 (พระนามเดิม หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์) แล้ว ยังเป็นพระโสทรานุชาธิบดีในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรประการ (ต้นราชสกุล “เทวกุล”) สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีในรัชกาลที่ 5 สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงในรัชกาลที่ 6 และ 7 อีกด้วย
</div> <div id="ftn2">
</div> <div id="ftn2">
[[#_ftnref2|<sup><sup>[2]</sup></sup>]] เมื่อ พ.ศ. 2513 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธยสมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ เป็นสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และเฉลิมพระนามาภิไธยสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ เป็นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ดูใน “ประกาศเฉลิมพระนามาภิไธยสมเด็จพระบรมราชชนก และสมเด็จพระบรมราชชนนี,” <u>ราชกิจจานุเบกษา</u>,​ เล่ม 87 ตอนที่ 52 (12 มิถุนายน 2513) : 1-7.
[[#_ftnref2|<sup><sup>[2]</sup></sup>]] เมื่อ พ.ศ. 2513 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธยสมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ เป็นสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และเฉลิมพระนามาภิไธยสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ เป็นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ดูใน “ประกาศเฉลิมพระนามาภิไธยสมเด็จพระบรมราชชนก และสมเด็จพระบรมราชชนนี,” <u>ราชกิจจานุเบกษา</u>,​ เล่ม 87 ตอนที่ 52 (12 มิถุนายน 2513)&nbsp;: 1-7.
</div> <div id="ftn3">
</div> <div id="ftn3">
[[#_ftnref3|<sup><sup>[3]</sup></sup>]] พระโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเสรฐวงศ์วราวัตร กรมหมื่นอนุพงศ์จักรพรรดิ และเป็นพระนัดดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ (ต้นราชสกุล “จักรพันธุ์”) พระโสทรานุชาธิบดีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
[[#_ftnref3|<sup><sup>[3]</sup></sup>]] พระโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเสรฐวงศ์วราวัตร กรมหมื่นอนุพงศ์จักรพรรดิ และเป็นพระนัดดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ (ต้นราชสกุล “จักรพันธุ์”) พระโสทรานุชาธิบดีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
บรรทัดที่ 74: บรรทัดที่ 76:
[[#_ftnref4|<sup><sup>[4]</sup></sup>]] กองบรรณาธิการมติชน, <u>พระผู้เพิ่งจากไป</u> (กรุงเทพฯ: มติชน, 2527), หน้า 115.
[[#_ftnref4|<sup><sup>[4]</sup></sup>]] กองบรรณาธิการมติชน, <u>พระผู้เพิ่งจากไป</u> (กรุงเทพฯ: มติชน, 2527), หน้า 115.
</div> <div id="ftn5">
</div> <div id="ftn5">
[[#_ftnref5|<sup><sup>[5]</sup></sup>]] สำนักราชเลขาธิการ, <u>พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7</u> (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531),&nbsp; หน้า 139.
[[#_ftnref5|<sup><sup>[5]</sup></sup>]] สำนักราชเลขาธิการ, <u>พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7</u> (กรุงเทพฯ&nbsp;: สำนักราชเลขาธิการ, 2531),&nbsp; หน้า 139.
</div> <div id="ftn6">
</div> <div id="ftn6">
[[#_ftnref6|<sup><sup>[6]</sup></sup>]] สำนักราชเลขาธิการ, <u>พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7</u> (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531),&nbsp; หน้า 141.
[[#_ftnref6|<sup><sup>[6]</sup></sup>]] สำนักราชเลขาธิการ, <u>พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7</u> (กรุงเทพฯ&nbsp;: สำนักราชเลขาธิการ, 2531),&nbsp; หน้า 141.
</div> <div id="ftn7">
</div> <div id="ftn7">
[[#_ftnref7|<sup><sup>[7]</sup></sup>]] สำนักราชเลขาธิการ, <u>พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7</u> (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531),&nbsp; หน้า 141.
[[#_ftnref7|<sup><sup>[7]</sup></sup>]] สำนักราชเลขาธิการ, <u>พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7</u> (กรุงเทพฯ&nbsp;: สำนักราชเลขาธิการ, 2531),&nbsp; หน้า 141.
</div> <div id="ftn8">
</div> <div id="ftn8">
[[#_ftnref8|<sup><sup>[8]</sup></sup>]] สำนักราชเลขาธิการ, <u>พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7</u> (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531),&nbsp; หน้า 141.
[[#_ftnref8|<sup><sup>[8]</sup></sup>]] สำนักราชเลขาธิการ, <u>พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7</u> (กรุงเทพฯ&nbsp;: สำนักราชเลขาธิการ, 2531),&nbsp; หน้า 141.
</div> <div id="ftn9">
</div> <div id="ftn9">
[[#_ftnref9|<sup><sup>[9]</sup></sup>]] สำนักราชเลขาธิการ, <u>พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7</u> (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531),&nbsp; หน้า 142.
[[#_ftnref9|<sup><sup>[9]</sup></sup>]] สำนักราชเลขาธิการ, <u>พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7</u> (กรุงเทพฯ&nbsp;: สำนักราชเลขาธิการ, 2531),&nbsp; หน้า 142.
</div> <div id="ftn10">
</div> <div id="ftn10">
[[#_ftnref10|<sup><sup>[10]</sup></sup>]] สำนักราชเลขาธิการ, <u>พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7</u> (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531),&nbsp; หน้า 143.
[[#_ftnref10|<sup><sup>[10]</sup></sup>]] สำนักราชเลขาธิการ, <u>พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7</u> (กรุงเทพฯ&nbsp;: สำนักราชเลขาธิการ, 2531),&nbsp; หน้า 143.
</div> <div id="ftn11">
</div> <div id="ftn11">
[[#_ftnref11|<sup><sup>[11]</sup></sup>]] สำนักราชเลขาธิการ, <u>พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7</u> (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531),&nbsp; หน้า 146.
[[#_ftnref11|<sup><sup>[11]</sup></sup>]] สำนักราชเลขาธิการ, <u>พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7</u> (กรุงเทพฯ&nbsp;: สำนักราชเลขาธิการ, 2531),&nbsp; หน้า 146.
</div> <div id="ftn12">
</div> <div id="ftn12">
[[#_ftnref12|<sup><sup>[12]</sup></sup>]] “พระตำหนักดอนแค (พระตำหนักแดง),” <u>วังสวนบ้านแก้ว สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี</u> [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/tum_dang
[[#_ftnref12|<sup><sup>[12]</sup></sup>]] “พระตำหนักดอนแค (พระตำหนักแดง),” <u>วังสวนบ้านแก้ว สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี</u> [ออนไลน์] แหล่งที่มา&nbsp;: [http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/tum_dang http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/tum_dang]
</div> <div id="ftn13">
</div> <div id="ftn13">
[[#_ftnref13|<sup><sup>[13]</sup></sup>]] พระนามเดิม หม่อมเจ้าหญิงผ่องผัสมณี สวัสดิวัตน์ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ ประสูติแต่หม่อมเจ้าหญิงฉวีวิลัย (ราชสกุลเดิม คัคณางค์) พระขนิษฐาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภาพรรณี (หม่อมเจ้าหญิงอาภาพรรณี คัคณางค์) พระชนนีในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 หม่อมเจ้าหญิงผ่องผัสมณี สวัสดิวัตน์ ทรงเสกสมรสกับหม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์
[[#_ftnref13|<sup><sup>[13]</sup></sup>]] พระนามเดิม หม่อมเจ้าหญิงผ่องผัสมณี สวัสดิวัตน์ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ ประสูติแต่หม่อมเจ้าหญิงฉวีวิลัย (ราชสกุลเดิม คัคณางค์) พระขนิษฐาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภาพรรณี (หม่อมเจ้าหญิงอาภาพรรณี คัคณางค์) พระชนนีในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 หม่อมเจ้าหญิงผ่องผัสมณี สวัสดิวัตน์ ทรงเสกสมรสกับหม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์
</div> <div id="ftn14">
</div> <div id="ftn14">
[[#_ftnref14|<sup><sup>[14]</sup></sup>]] “พระตำหนักใหญ่ (ตำหนักเทา),” <u>วังสวนบ้านแก้ว สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี</u> [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/tum_gray
[[#_ftnref14|<sup><sup>[14]</sup></sup>]] “พระตำหนักใหญ่ (ตำหนักเทา),” <u>วังสวนบ้านแก้ว สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี</u> [ออนไลน์] แหล่งที่มา&nbsp;: [http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/tum_gray http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/tum_gray]
</div> <div id="ftn15">
</div> <div id="ftn15">
[[#_ftnref15|<sup><sup>[15]</sup></sup>]] “เรือนเขียว,” <u>วังสวนบ้านแก้ว สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี</u> [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/tgreen
[[#_ftnref15|<sup><sup>[15]</sup></sup>]] “เรือนเขียว,” <u>วังสวนบ้านแก้ว สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี</u> [ออนไลน์] แหล่งที่มา&nbsp;: [http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/tgreen http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/tgreen]
</div> <div id="ftn16">
</div> <div id="ftn16">
[[#_ftnref16|<sup><sup>[16]</sup></sup>]] “เรือนแดง,” <u>วังสวนบ้านแก้ว สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี</u> [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/ruen_dang
[[#_ftnref16|<sup><sup>[16]</sup></sup>]] “เรือนแดง,” <u>วังสวนบ้านแก้ว สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี</u> [ออนไลน์] แหล่งที่มา&nbsp;: [http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/ruen_dang http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/ruen_dang]
</div> <div id="ftn17">
</div> <div id="ftn17">
[[#_ftnref17|<sup><sup>[17]</sup></sup>]] “เรือนเทา,” <u>วังสวนบ้านแก้ว สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี</u> [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/ruen_gray
[[#_ftnref17|<sup><sup>[17]</sup></sup>]] “เรือนเทา,” <u>วังสวนบ้านแก้ว สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี</u> [ออนไลน์] แหล่งที่มา&nbsp;: [http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/ruen_gray http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/ruen_gray]
</div> <div id="ftn18">
</div> <div id="ftn18">
[[#_ftnref18|<sup><sup>[18]</sup></sup>]] หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ&nbsp;ชุมพล, <u>กุลสตรีศรีสยาม สง่างามทุกกาลสถาน</u> (กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, 2560), หน้า 372.
[[#_ftnref18|<sup><sup>[18]</sup></sup>]] หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ&nbsp;ชุมพล, <u>กุลสตรีศรีสยาม สง่างามทุกกาลสถาน</u> (กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, 2560), หน้า 372.
</div> </div>  
</div> </div>  
&nbsp;[[Category:พระปกเกล้าศึกษา]][[Category:พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]
&nbsp;
 
[[Category:พระปกเกล้าศึกษา]] [[Category:พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 10:32, 8 มิถุนายน 2565

ผู้เรียบเรียง : ศิบดี นพประเสริฐ 

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ

 

          “สวนบ้านแก้ว” คือ ที่ประทับแปรพระราชฐานในจังหวัดจันทบุรีของ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี_พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ระหว่าง พ.ศ. 2493-2511 ความเป็นมาของสวนบ้านแก้ว เริ่มต้นขึ้นเมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เสด็จนิวัติประเทศไทยเป็นการถาวรใน พ.ศ. 2492 ในช่วงแรกรัฐบาลไทยในขณะนั้นมีดำริจะจัดวังตำบลท่าช้างอันเคยเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์[1] พระชนกในพระองค์ถวายเป็นที่ประทับตามคำปรารภของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เนื่องจากวังศุโขทัยซึ่งเป็นที่ประทับเดิมมาตั้งแต่ครั้งอภิเษกสมรส ยังคงใช้เป็นที่ทำการของกระทรวงสาธารณสุข แต่ด้วยสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (พระอิสริยยศในครั้งนั้น) กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ไปประทับยัง “ตำหนักหอ” วังสระปทุม อันเป็นที่ประทับเดิมของสมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ กับสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์[2] สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ประทับ ณ วังสระปทุมเป็นเวลาประมาณเกือบ 2 ปี จึงเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับที่พระตำหนักสวนบ้านแก้ว จังหวัดจันทบุรี

          สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี มีพระราชอัธยาศัยโปรดธรรมชาติอย่างยิ่ง ดังปรากฏว่าที่วังศุโขทัยและพระตำหนักต่าง ๆ ในประเทศอังกฤษนั้นแวดล้อมไปด้วยสวนดอกไม้ ต้นไม้ใหญ่น้อยต่าง ๆ และในส่วนพระองค์ก็โปรดการทำสวนเป็นพระราชจริยวัตร ดังนั้น ภายหลังจากที่เสด็จฯ กลับจากประเทศอังกฤษแล้ว จึงมีพระราชดำริที่จะหาที่ดินในต่างจังหวัดที่มีอากาศดี เพื่อสร้างพระตำหนักที่ประทับสำหรับพักผ่อนพระราชอิริยาบถและทรงเยี่ยมเยียนประชาชน หม่อมเจ้าประดิษฐา จักรพันธุ์[3] ผู้จัดการสวนบ้านแก้วในเวลาต่อมา ทรงเล่าว่าในการหาที่ดินในต่างจังหวัดนั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี มีพระราชดำรำไว้ 2 แห่ง คือ จังหวัดเชียงใหม่ และ จังหวัดจันทบุรี เหตุผลที่ทรงตัดสินพระราชหฤทัยเลือกจังหวัดจันทบุรีนั้น เพราะทรงเห็นว่าจังหวัดเชียงใหม่อยู่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ มากเกินไป อีกทั้งการเดินทางยังไม่สะดวก ต้องเสด็จฯ ทางรถไฟเป็นประจำ จึงทรงสนพระราชหฤทัยจังหวัดจันทบุรี เพราะระยะทางใกล้กว่าและสามารถเสด็จฯ เข้ากรุงเทพฯ ได้ในวันเดียว ประกอบกับผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีในครั้งนั้นได้กราบบังคมทูลแนะนำให้เสด็จฯ ไปประทับที่นั่นด้วย พระราชดำริที่จะมีที่ประทับอยู่นอกพระนครนั้น สะท้อนได้จากการที่ หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ได้พูดออกอากาศในรายการ “ครอบจักรวาล” ทางสถานีวิทยุ ททบ. 5 ในช่วงเวลาที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี สวรรคต ดังใจความต่อไปนี้[4]

         “...ทรงมีความคิดที่จะหาที่ปลูกต้นไม้ต้นไร่ ทำสวนเล่น คือทรงรับเอานิสัยของคนอังกฤษมา คนอังกฤษ นี่ถือตัวว่าเขาเป็น “คนบ้านนอก” เขาจะเข้ามาอยู่ในลอนดอนก็เมื่อมีธุรกิจมีงานมีการ แต่พอถึงเสาร์อาทิตย์ เขาจะต้องกลับไปต่างจังหวัด เพราะว่าเศรษฐีเมืองอังกฤษมีที่ดินอย่างมหาศาล พวกขุนน้ำขุนนางมีที่ดินเยอะแยะ บางทีมีป่าส่วนตัว พอถึงเวลาพักผ่อนก็จะไปตามป่า ตามไร่ ตามนาของตัวเอง ทรงรับนิสัยอังกฤษแบบนี้มาแน่นอน ก็รับสั่งให้เจ้ากาวิละ ณ เชียงใหม่ ลองไปหาที่ดูซิที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ โดยทางรถยนต์ คือ เดินทางไม่เกิน 1 วัน มีไหมอย่างที่จันทบุรี...”

 

          ใน พ.ศ. 2493 พลตรีหม่อมทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์ (หม่อมราชวงศ์เฉลิมลาภ ทวีวงศ์) เลขาธิการพระราชวังในขณะนั้น จึงได้สืบหาที่ดินในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี และได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรที่ดิน สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้เสด็จฯ ไปตามถนนที่ยังไม่ได้ลาดยาง เต็มไปด้วยหลุมบ่อและฝุ่นละออง รถยนต์พระที่นั่งแล่นแบบกระแทกกระเทือนไปตลอดทางเป็นเวลาถึงครึ่งวัน ทั้งยังต้องผ่านแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต้องข้ามสะพานชั่วคราวบ้าง หรือแพขนานยนต์ที่ตกค้างมาจากสมัยสงครามบ้างในที่สุด ทรงพบพื้นที่ที่ต้องพระราชหฤทัยที่ตำบลสวนแก้ว ตรงทางแยกเข้าตัวเมืองและทางไปจังหวัดตราด จึงทรงตัดสินพระราชหฤทัยกู้เงินจากธนาคารเพื่อทรงซื้อที่ดินบริเวณดังกล่าวจากเจ้าของที่ดินหลายรายรวมกันได้ 687 ไร่ มีลักษณะเป็นที่ดินอยู่สองฝั่งคลองบ้านแก้ว และพระราชทานนามที่ดินตามชื่อตำบลว่า “สวนบ้านแก้ว”[5]

          ในระยะแรกนั้น สวนบ้านแก้วยังมีสภาพเป็นป่า จึงมีการจัดสร้างที่ประทับชั่วคราวและมีเรือนรับแขก มีลักษณะเป็นแคมป์ทำด้วยไม้ไผ่หลังคามุงด้วยใบจากขึ้นก่อน แล้วจึงสร้างพระตำหนักที่ประทับและเรือนพักข้าราชบริพาร สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพยายามประหยัดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างมากที่สุด จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการเผาอิฐเองที่ไร่ โดยจ้างช่างมาสอนคนงานพื้นเมืองในการทำเตาเผา นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำกระเบื้องมุงหลังคาเองอีกด้วย[6]

          เมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จฯ ไปประทับในระยะแรก ๆ มีผู้ตามเสด็จไปอยู่ด้วยประมาณ 100 กว่าคน ขณะนั้น สวนบ้านแก้วยังไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปาใช้ ต้องทำเครื่องปั่นไฟฟ้าใช้เอง และต้องสูบน้ำจากคลองบ้านแก้ว อีกทั้งไม่มีโทรศัพท์ เมื่อมีเรื่องด่วนที่ต้องติดต่อไปยังกรุงเทพฯ ต้องเข้าไปใช้โทรเลขในตัวเมืองซึ่งห่างออกไปจากสวนบ้านแก้วประมาณ 8 กิโลเมตร[7]

          สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้าประดิษฐา จักรพันธุ์ ทรงเป็นผู้จัดการสวนบ้านแก้ว มีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ และพระราชทานพระราชดำริให้ปลูกพืชสวนครัว และผลไม้นานาชนิด ทั้งที่เป็นพืชที่ทรงนำมาจากต่างถิ่นและพืชในท้องถิ่น และเลี้ยงสัตว์ พันธุ์ต่าง ๆ ด้วยต้องพระราชประสงค์ให้สวนบ้านแก้วเป็นพื้นที่ตัวอย่างด้านการเกษตรมากกว่าเพื่อทำการค้า ดังนั้น เมื่อมีการทดลองว่าการปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ชนิดใดได้ผลดี ก็จะทรงนำความรู้และผลที่ได้จากการทดลองนั้นไปแนะนำและเผยแพร่แก่ประชาชนในท้องถิ่นต่อไป ในการนี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักวิชาการจากสถานีทดลองการเกษตรที่จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นข้าราชบริพารเก่ามาช่วยแนะนำประชาชนที่มีเรือกสวนไร่นาของตนเองในละแวกนั้น และอาศัยเวลาที่ว่างจากการทำงานมารับจ้างทำไร่ที่สวนบ้านแก้ว ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ประชาชนมีรายได้พิเศษแล้ว พวกเขาเหล่านั้นยังสามารถนำความรู้ที่ได้จากสวนบ้านแก้วไปปรับปรุงใช้ในกิจการของตนเองอีกด้วย[8]

          การทดลองปลูกพืชไร่ต่าง ๆ นั้น ในระยะแรก สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกถั่วลิสงและนุ่น โดยมีพระราชประสงค์ให้ปลูกเป็นตัวอย่างแก่ประชาชน แต่เนื่องจากพืชทั้งสองชนิดเป็นพืชที่ไม่เหมาะสมกับภูมิอากาศที่มีฝนตกชุกในเขตจังหวัดจันทบุรี การปลูกพืชทั้งสองชนิดจึงไม่ได้รับความนิยม อย่างไรก็ตามพืชและผลไม้ต่าง ๆ ที่ปลูกในระยะนั้นส่วนใหญ่เป็นการปลูกทดลองเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ประชาชน ผลิตผลที่ได้ทรงนำออกพระราชทานแจกจ่ายทั้งพระประยูรญาติและบุคคลต่าง ๆ ต่อมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปลูก เงาะ ลางสาด มังคุด ลิ้นจี่ พริกไทย มันสำปะหลัง ส้มเขียวหวาน และทุเรียน ดังรายละเอียดที่หม่อมเจ้าประดิษฐา จักรพันธุ์ ทรงเล่าว่า

            “...ได้ทดลองปลูกมันสำปะหลังเป็นจำนวนร้อย ๆ ไร่ เพื่อกันไม่ให้หญ้าขึ้นรกและไม่ให้ดินไหล ได้ผลดีมาก จนเคยนำออกขาย ภายหลังจากปลูกมันสำปะหลังแล้ว ได้ปลูกส้มเขียวหวานประมาณ 3,000 ต้น โดยซื้อกิ่งชำจากสถานีทดลองเกษตรของจันทบุรี นอกจากนี้ยังทดลองปลูกพริกไทยประมาณ 1 ไร่ สำหรับพระราชทานเป็นของฝากแก่บุคคลต่าง ๆ และโปรดเกล้าฯ ให้นำทุเรียนพันธุ์ใหม่จากต่างถิ่นมาปลูก คือ พันธุ์หมอนทอง อีกทั้งยังมีการปลูกแตงไทย และแตงโม โดยหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ทรงนำมาทดลองปลูกประมาณ 8 ไร่ ทรงดูแลอย่างดี และทดลองนำพันธุ์แตงโมต่าง ๆ มาปลูก มีพันธุ์หนึ่งได้ผลดีมาก เคยปรากฏว่ามีน้ำหนักถึงลูกละ 15 ก.ก. แตงโมที่ทรงนำมาปลูกนี้ สมเด็จฯ เสวยเอง และพระราชทานแก่บุคคลต่าง ๆ จึงไม่ได้นำออกขายทั่วไป...”[9]

 

          นอกจากนี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ยังทรงให้มีการทดลองทำนาในบริเวณสวนบ้านแก้ว ซึ่งมีโรงสีของพระองค์เอง และเนื่องจากลักษณะของพื้นที่เป็นเนินเขาจึงปลูกข้าวแบบ ข้าวไร่ โดยทดลองปลูกข้าวพันธุ์หอมเหลือง แต่ปลูกในจำนวนไม่มาก ส่วนการปศุสัตว์ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส่งไก่พันธุ์ไข่จากต่างประเทศหลากหลายพันธุ์เพื่อทดลองเลี้ยงประมาณ 2,000 ตัว และฟักไข่ไก่ด้วยเครื่อง นอกจากนี้ ยังทรงเลี้ยงเป็ดพันธุ์ปักกิ่ง ห่าน และวัวพันธุ์เนื้อประมาณ 100 ตัว โดยเลี้ยงตามธรรมชาติเพื่อช่วยในการปราบหญ้า การที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงทดลองเลี้ยงสัตว์นั้น เพราะมีพระราชประสงค์ให้นำความรู้ที่ได้จากการทดลองไปเผยแพร่แก่ประชาชนต่อไปเช่นกัน ทั้งนี้ หม่อมเจ้าประดิษฐา จักรพันธุ์ ทรงเล่าว่า

          “...สมเด็จฯ ทรงเคยขับรถแทรคเตอร์และตัดหญ้าด้วยพระองค์เอง เมื่อมีการปลูกข้าว สมเด็จฯ เคยทรงเกี่ยวข้าวและสีข้าวเอง นอกจากนี้ยังทรงปลูกถั่วลิสงเอง และทรงเก็บเองด้วย โดยผมและหม่อมราชวงศ์บรรลือศักดิ์ กฤดากร เตรียมไถปราบดินไว้ให้...” [10]

 

          นอกจากจะทรงทำการเกษตรแล้ว สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ยังมีพระราชอัธยาศัยที่โปรดดอกไม้มาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเรือนเพาะชำส่วนพระองค์ เมื่อทรงว่างจากพระราชภารกิจก็โปรดที่จะประทับในเรือนเพาะชำ ทรงปลูกต้นไม้ที่สั่งพันธุ์มาจากต่างประเทศ ทรงดูแลไม้ดอกไม้ประดับเหล่านั้นด้วยพระองค์เองตั้งแต่เช้าถึงกลางวันจนเป็นพระราชจริยวัตรประจำ ทรงปลูกดอกไม้ตามถนนในพระตำหนัก ทรงเลี้ยงสุนัข เลี้ยงนกหงส์หยก และปลาชนิดต่าง ๆ ระหว่างที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ประทับอยู่ ณ สวนบ้านแก้วนี้ มีพระประยูรญาติและบุคคลต่าง ๆ เดินทางมาเฝ้าฯ เสมอ โดยเฉพาะในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษา ดังความที่หม่อมราชวงศ์สายสิงห์ (สวัสดิวัตน์) ศิริบุตร ซึ่งไปเฝ้าฯ ใน พ.ศ. 2495 และพักอยู่ที่สวนบ้านแก้วประมาณ 1 เดือน เล่าว่า

          “...สวนบ้านแก้วสวยงามมาก ที่พักอยู่สบาย สมเด็จฯ ทรงพระดำเนินตรวจสวนทั้งเช้าและเย็นเสมอ เมื่อถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระองค์จะทรงบาตรและพระราชทานเลี้ยง มีพระญาติและบุคคลต่าง ๆ เข้าเฝ้าฯ มากมาย รวมทั้งพระอาคันตุกะบุคคลสำคัญที่ขอเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายพระพร เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวาปีบุษบากร พระองค์เจ้าจุมภฏพงศ์บริพัตร เอกอัครราชทูตอังกฤษ ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม เป็นต้น...” [11]

 

          สวนบ้านแก้ว ประกอบไปด้วยกลุ่มอาคารที่สำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้

          1. พระตำหนักดอนแค (ตำหนักแดง)[12]

          นามพระตำหนักดอนแคมีที่มาจากบริเวณถนนหน้าพระตำหนักปลูกต้นแคฝรั่ง จึงเรียกขานกันว่า “ดอนแค” เป็นพระตำหนักที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับสำหรับเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และราชเลขานุการส่วนพระองค์ มีลักษณะเป็นอาคารสองชั้นแบบยุโรปสร้างด้วยไม้สักทาสีแดง มีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้านหลังตำหนัก เดิมเคยเป็นที่พักของ หม่อมราชวงศ์สมัครสมาน กฤดากร ราชเลขานุการ ต่อมาเมื่อราชเลขานุการถึงแก่กรรม หม่อมเจ้าผ่องผัสมณี จักรพันธุ์[13] พระขนิษฐาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงดำรงตำแหน่งราชเลขานุการ และประทับที่พระตำหนักดอนแค สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ได้เสด็จฯ มาประทับกับหม่อมเจ้าผ่องผัสมณี จนกระทั่งเสด็จฯ กลับไปประทับ ณ วังศุโขทัยเป็นการถาวร

          2. พระตำหนักใหญ่ (ตำหนักเทา)[14]

          สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักใหญ่ (พระตำหนักเทา) บนเนินที่ลาดลงไปยังหุบเขา ซึ่งเป็นที่ประทับและรับรองแขก พระตำหนักเป็นอาคารแบบครึ่งตึกครึ่งไม้ชั้นครึ่งรูปทรงยุโรปทาสีเทา ชั้นบนเป็นห้องบรรทมซึ่งมีเฉลียงที่พระองค์สามารถทอดพระเนตรทิวทัศน์อันงดงามของสวนบ้านแก้วได้กว้างไกล ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ได้เสด็จฯ มาที่สวนบ้านแก้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปลูกต้นจำปาไว้ด้านข้างพระตำหนักใหญ่ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงปลูกต้นเงาะไว้บริเวณเดียวกัน

          3. เรือนเขียว[15]

          เรือนเขียวเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวทาสีเขียวทั้งหลัง ยกใต้ถุนสูงจากพื้น มีระเบียงหน้าบ้าน หลังคามุงด้วยกระเบื้องลอนคู่ มีทางขึ้นลงได้ 2 ทาง ภายในตัวบ้าน ในอดีตเป็นบ้านพักของราชเลขานุการ ปัจจุบันใช้เป็นที่ทำการของผู้มาติดต่อเยี่ยมชมวังสวนบ้านแก้ว

          4. เรือนแดง[16]

          เรือนแดงตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระตำหนักใหญ่ เป็นเรือนไม้ชั้นเดียวทาสีแดงทั้งหลัง ยกใต้ถุนสูงจากพื้น มีบันไดขึ้นลง 2 ทาง รูปร่างตัวบ้านมีลักษณะเหมือนกับเรือนเทา แตกต่างกันเพียงสีเท่านั้น ในอดีตเรือนแดงเป็นบ้านพักของข้าหลวงที่ตามเสด็จสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ มาจากกรุงเทพฯ

          5. เรือนเทา[17]

          เรือนเทาตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพระตำหนักใหญ่ เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวทาสีเทาทั้งหลัง ยกใต้ถุนสูงจากพื้น หลังคามุงกระเบื้องลอนคู่มีทางขึ้นลง 2 ทาง ในอดีตเรือนเทาเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ในระหว่างที่กำลังก่อสร้างพระตำหนักใหญ่ (ตำหนักเทา)

            หลังจากที่ประทับ ณ พระตำหนักสวนบ้านแก้วมาเป็นระยะเวลา 18 ปี ใน พ.ศ. 2511 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงเจริญพระชนมพรรษา 64 พรรษา พระสุขภาพพลานามัยไม่สมบูรณ์แข็งแรงเช่นที่เคยเป็นมา กอปรกับการที่ข้าราชบริพารที่ถวายงานอยู่ที่สวนบ้านแก้วส่วนใหญ่เป็นสตรี จึงมีพระราชดำริที่จะแปรพระราชฐานจากพระตำหนักสวนบ้านแก้วที่จันทบุรีกลับมาประทับ ณ วังศุโขทัยเป็นการถาวร พร้อมกันนี้กระทรวงศึกษาธิการกำลังหาที่ดินสำหรับก่อสร้างวิทยาลัยครูจันทบุรี และได้ทราบว่าสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ไม่ต้องพระราชประสงค์จะประทับที่สวนบ้านแก้วอีกต่อไป พลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงนำความกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองพระบาทเกี่ยวกับความมุ่งหมายของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษามาโดยตลอด จึงทรงมีพระราชหฤทัยยินดีที่จะพระราชทานสวนบ้านแก้วแก่กระทรวงศึกษาธิการ โดยกระทรวงศึกษาธิการทูลเกล้าฯ ถวายเงินจำนวน 18 ล้านบาท[18] “สวนบ้านแก้ว” จึงกลายเป็นสถานศึกษาชั้นสูงสำหรับกุลบุตรกุลธิดาชาวจันทบุรีและจังหวัดใกล้เคียง คือ วิทยาลัยครูจันทบุรี และพัฒนามาเป็นสถาบันราชภัฏรำไพพรรณี และมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณีตราบจนปัจจุบัน

 

อ้างอิง

[1] พระนามเดิมคือ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฎวิทยมหาราช ประสูติแต่สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม พระสนมเอก สกุลเดิม “สุจริตกุล”) ต้นราชสกุล “สวัสดิวัตน์” นอกจากจะเป็นพระชนกในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 (พระนามเดิม หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์) แล้ว ยังเป็นพระโสทรานุชาธิบดีในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรประการ (ต้นราชสกุล “เทวกุล”) สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีในรัชกาลที่ 5 สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงในรัชกาลที่ 6 และ 7 อีกด้วย

[2] เมื่อ พ.ศ. 2513 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธยสมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ เป็นสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และเฉลิมพระนามาภิไธยสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ เป็นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ดูใน “ประกาศเฉลิมพระนามาภิไธยสมเด็จพระบรมราชชนก และสมเด็จพระบรมราชชนนี,” ราชกิจจานุเบกษา,​ เล่ม 87 ตอนที่ 52 (12 มิถุนายน 2513) : 1-7.

[3] พระโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเสรฐวงศ์วราวัตร กรมหมื่นอนุพงศ์จักรพรรดิ และเป็นพระนัดดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ (ต้นราชสกุล “จักรพันธุ์”) พระโสทรานุชาธิบดีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

[4] กองบรรณาธิการมติชน, พระผู้เพิ่งจากไป (กรุงเทพฯ: มติชน, 2527), หน้า 115.

[5] สำนักราชเลขาธิการ, พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531),  หน้า 139.

[6] สำนักราชเลขาธิการ, พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531),  หน้า 141.

[7] สำนักราชเลขาธิการ, พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531),  หน้า 141.

[8] สำนักราชเลขาธิการ, พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531),  หน้า 141.

[9] สำนักราชเลขาธิการ, พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531),  หน้า 142.

[10] สำนักราชเลขาธิการ, พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531),  หน้า 143.

[11] สำนักราชเลขาธิการ, พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531),  หน้า 146.

[12] “พระตำหนักดอนแค (พระตำหนักแดง),” วังสวนบ้านแก้ว สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/tum_dang

[13] พระนามเดิม หม่อมเจ้าหญิงผ่องผัสมณี สวัสดิวัตน์ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ ประสูติแต่หม่อมเจ้าหญิงฉวีวิลัย (ราชสกุลเดิม คัคณางค์) พระขนิษฐาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภาพรรณี (หม่อมเจ้าหญิงอาภาพรรณี คัคณางค์) พระชนนีในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 หม่อมเจ้าหญิงผ่องผัสมณี สวัสดิวัตน์ ทรงเสกสมรสกับหม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์

[14] “พระตำหนักใหญ่ (ตำหนักเทา),” วังสวนบ้านแก้ว สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/tum_gray

[15] “เรือนเขียว,” วังสวนบ้านแก้ว สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/tgreen

[16] “เรือนแดง,” วังสวนบ้านแก้ว สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/ruen_dang

[17] “เรือนเทา,” วังสวนบ้านแก้ว สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://www.wangsuanbankaew.rbru.ac.th/index.php?pg=place/ruen_gray

[18] หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ ชุมพล, กุลสตรีศรีสยาม สง่างามทุกกาลสถาน (กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, 2560), หน้า 372.