ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เสื่อสมเด็จฯ"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
(ไม่แสดง 2 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน) | |||
บรรทัดที่ 1: | บรรทัดที่ 1: | ||
''' | '''ผู้เรียบเรียง : '''ศิบดี นพประเสริฐ | ||
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : '''ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ | |||
| | ||
บรรทัดที่ 8: | บรรทัดที่ 8: | ||
พระราชกรณียกิจที่สำคัญประการหนึ่งของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เมื่อครั้งเสด็จฯ มาประทับที่จังหวัดจันทบุรีนั่นคือ ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการทอเสื่อจันทบูรให้มีความสวยงามและทันสมัยจนกลายเป็นสินค้าหัตถกรรมและอาชีพหลักที่มีชื่อเสียงของชาวจังหวัดจันทบุรี และเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในนาม '''“เสื่อสมเด็จฯ”''' | พระราชกรณียกิจที่สำคัญประการหนึ่งของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เมื่อครั้งเสด็จฯ มาประทับที่จังหวัดจันทบุรีนั่นคือ ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการทอเสื่อจันทบูรให้มีความสวยงามและทันสมัยจนกลายเป็นสินค้าหัตถกรรมและอาชีพหลักที่มีชื่อเสียงของชาวจังหวัดจันทบุรี และเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในนาม '''“เสื่อสมเด็จฯ”''' | ||
| เมื่อ[[สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี_พระบรมราชินี]] เสด็จนิวัติพระนครเมื่อ พ.ศ. 2492 พร้อมทั้งทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิ[[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]กลับมาประดิษฐาน ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง ร่วมกับพระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุรพการีแล้วนั้น รัฐบาลได้ใช้พระตำหนัก[[วังศุโขทัย]]เป็นสถานที่ทำงานของกระทรวงสาธารณสุข สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (พระอิสริยยศในณะนั้น) จึงได้เชิญเสด็จสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ไปประทับ ณ พระตำหนักของสมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ ในวังสระปทุม แต่เนื่องจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ไม่ต้องพระราชประสงค์ที่จะทรงรบกวนสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ในการประทับ ณ วังสระปทุมนานเกินควร อีกทั้งยังมีพระราชประสงค์ที่จะมีที่ประทับสำหรับพักผ่อนพระราชอิริยาบถ จึงทรงสร้างสวนบ้านแก้วขึ้นที่จังหวัดจันทบุรีใน วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2493 | ||
ภายหลังจากที่เสด็จฯ มาประทับ ณ สวนบ้านแก้วได้ประมาณ 5 ปี สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินี ทรงทราบว่าคนงานที่รับเข้ามาทำสวนและก่อสร้างนั้นส่วนใหญ่ถนัดงานฝีมืองานทอเสื่อ งานทอผ้า ประกอบกับโปรดเสื่อจันทบูรอยู่แล้ว โดยเสื่อที่ชาวบ้านทอกันอยู่แต่เดิมเป็นเสื่อปูนอนเย็บริม พระองค์ได้เสด็จฯ | ภายหลังจากที่เสด็จฯ มาประทับ ณ สวนบ้านแก้วได้ประมาณ 5 ปี สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินี ทรงทราบว่าคนงานที่รับเข้ามาทำสวนและก่อสร้างนั้นส่วนใหญ่ถนัดงานฝีมืองานทอเสื่อ งานทอผ้า ประกอบกับโปรดเสื่อจันทบูรอยู่แล้ว โดยเสื่อที่ชาวบ้านทอกันอยู่แต่เดิมเป็นเสื่อปูนอนเย็บริม พระองค์ได้เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการทอเสื่อของแม่ชีที่วัดโรมันคาทอลิกหรือวัดญวน ซึ่งตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับ[[สวนบ้านแก้ว]]และทรงเห็นถึงข้อบกพร่องหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นสีที่มีจำกัด ไม่หลากหลาย อีกทั้งเมื่อเส้นกกที่ย้อมสีแล้วถูกน้ำสีจะตกดังที่ นายบุญมี นักเสียง อดีตผู้ทำงานซื้อกกและย้อมกก เล่าว่า[[#_ftn1|<sup><sup>[1]</sup></sup>]] | ||
''“...พระองค์จะใช้เสื่อชาวบ้านมาเป็นบรรทัดฐานก่อน ตอนที่พระองค์เสด็จประพาสตามชนบทต่างๆ ชาวบ้านก็ใช้เสื่อที่ดีที่สุดของเขามาปูลาดพระบาท พอท่านเห็นก็ชื่นชมและนำเสื่อเหล่านั้นมาดูไว้คิดเป็นแบบและค่อยๆ ดำริมาเรื่อยๆ จากผู้ใกล้ชิดมาถึงผม ผมได้ถูกคัดเลือกในเกณฑ์นั้นด้วย ผมจะถนัดงานในด้านฟอกให้เป็นสีขาว...”'' | |||
| | ||
''' | การ '''“ฟอกกกให้เป็นสีขาว”''' นี้ มีสาเหตุมาจากการที่พระองค์ได้เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการทอเสื่อของแม่ชีที่วัดโรมันคาทอลิกหรือวัดญวน ซึ่งตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับสวนบ้านแก้ว และทรงเห็นถึงข้อบกพร่องหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นสีที่มีจำกัด ไม่หลากหลาย อีกทั้งเมื่อเส้นกกที่ย้อมสีแล้วถูกน้ำสีจะตก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงงานทอเสื่อขึ้น โดยสั่งซื้อกกตากแห้งจากชาวบ้าน และมีพระราชประสงค์ที่จะปรับปรุงกรรมวิธีการผลิตให้ทันสมัยขึ้น เช่น การใช้เชือกที่ทำด้วยปอสำหรับถักร้อยกกไม่ใช้เอ็นพลาสติกเหมือนที่อื่น ๆ ส่วนการปรับปรุงเรื่องสีย้อมให้มีความคงทนนั้น หม่อมเจ้าชายกอกษัตริย์ สวัสดิวัตน์ พระอนุชาซึ่งเป็นอาจารย์สอนวิชาเคมีที่มหาวิทยาลัยสิงคโปร์ ทรงศึกษาและแก้ไขปัญหาเรื่องนี้รวมไปถึงการผลิตสีที่ใช้ในการย้อมเส้นกกเพิ่มขึ้นเพื่อให้มีความหลากหลาย[[#_ftn2|<sup><sup>[2]</sup></sup>]] ดังเช่นที่ หม่อมเจ้าชายการวิก จักรพันธุ์ ประทานสัมภาษณ์ไว้ ดังความต่อไปนี้[[#_ftn3|<sup><sup>[3]</sup></sup>]] | ||
กกนั้นซื้อที่ชาวบ้านตากแห้งแล้ว นำมาต้มแล้วแช่ ใช้สารเคมีของญี่ปุ่นซึ่งมีคุณสมบัติเป็นกรดในสัดส่วนพอเหมาะ ฟอกให้ขาวก่อนย้อม | ''“...เสื่อจันทบูรที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าสียังตก สมมติว่าคนไปนอนแล้วเหงื่อออกลุกขึ้นมาหลังจะแดงบ้างเขียวบ้าง ทรงสร้างโรงเสื่อโดยขอลูกชาวบ้านมาหัดทอเสื่อ ทรงศึกษาว่าใช้สีอะไรจะไม่ตกจนสำเร็จ โดยใช้สียี่ห้อดีของต่างประเทศ แต่ทรงข้องพระทัยอยู่ว่าทำไมมีแต่สีแก่ๆ น่าจะมีสีชมพูสีน้ำเงินอ่อนก็ทรงซักถาม เขาเลยบอกว่าไม่ได้ เพราะกกที่ทำไม่ใช่สีขาวมันเป็นสีออกเขียวถ้าจะทำเสื่อสีอ่อนต้องใช้สีขาว ทรงปรึกษากับพระอนุชาที่เป็นศาสตราจารย์ด้านเคมีอยู่ที่มหาวิทยาลัยสิงคโปร์ ท่านชายได้กราบบังคมทูลว่า ง่ายมาก โดยเอาสีเสียดฟอกออกแล้วจะเกือบขาว แล้วจะใช้วิธีย้อมที่ดีโดยสีไม่ตก มีการสาธิตให้ดูและได้ผลตามพระราชประสงค์ ทำให้ได้เสื่อพื้นเมืองสีสวยคุณภาพดียิ่งขึ้นอีก...”'' | ||
| |||
กกนั้นซื้อที่ชาวบ้านตากแห้งแล้ว นำมาต้มแล้วแช่ ใช้สารเคมีของญี่ปุ่นซึ่งมีคุณสมบัติเป็นกรดในสัดส่วนพอเหมาะ ฟอกให้ขาวก่อนย้อม จึงจะได้กกสีอ่อน ๆ เช่น ชมพูอ่อน เขียวอ่อน ถ้าฟอกไม่ขาวออกมาจะเป็นสีเข้ม[[#_ftn4|<sup><sup>[4]</sup></sup>]]การดำเนินการทั้งหมดนี้ทำให้โรงงานทอเสื่อกกของ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เป็นโรงงานแห่งแรกที่รู้จักวิธีฟอกเส้นกกให้ขาวเพื่อย้อมเป็นสีต่าง ๆ และเมื่อย้อมแล้วสีไม่ตก โดยมีคนงานประมาณ 300 คน แบ่งงานเป็นแผนกต่าง ๆ เช่น แผนกฟอกเส้นกกให้ขาว แผนกย้อมกก แผนกทอ แผนกตัดเย็บ แผนกช่างไม้ทำส่วนประกอบผลิตภัณฑ์จากเสื่อ | |||
นอกเหนือจากการทอเสื่อแบบปกติแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์สิ่งของเครื่องใช้ที่ทำด้วยเสื่อกกตามแบบพระราชทาน เช่น ถาด ที่รองแก้ว ที่ใส่กระดาษเช็ดปากรวมไปถึงสินค้าแฟชั่นอย่าง เช่น กระเป๋าถือสตรีที่ทรงมีพระราชดำริออกแบบให้ทันสมัย ดังเช่นที่หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ ประทานสัมภาษณ์ไว้ ดังความต่อไปนี้[[#_ftn5|<sup><sup>[5]</sup></sup>]] | นอกเหนือจากการทอเสื่อแบบปกติแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์สิ่งของเครื่องใช้ที่ทำด้วยเสื่อกกตามแบบพระราชทาน เช่น ถาด ที่รองแก้ว ที่ใส่กระดาษเช็ดปากรวมไปถึงสินค้าแฟชั่นอย่าง เช่น กระเป๋าถือสตรีที่ทรงมีพระราชดำริออกแบบให้ทันสมัย ดังเช่นที่หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ ประทานสัมภาษณ์ไว้ ดังความต่อไปนี้[[#_ftn5|<sup><sup>[5]</sup></sup>]] | ||
''“...ต่อมาทรงทำกระเป๋าหิ้วแบบผู้หญิง ทรงออกแบบเอง เพราะท่านโปรดทางแฟชั่นอยู่แล้ว ทรงออกแบบแปลกๆ มีลวดลายและทำให้สีอ่อนๆ อยู่ในความนิยมมากทีเดียว...”'' | |||
<p style="text-align: justify;"> เช่นเดียวกับที่ ''' | <p style="text-align: justify;"> เช่นเดียวกับที่ หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ กล่าวไว้ในรายการ'''“ครอบจักรวาล” '''ดังความต่อไปนี้[[#_ftn6|<sup><sup>[6]</sup></sup>]]</p> | ||
''“...ต่อมาท่านทรงส่งเสริมเรื่องการทอเสื่อซึ่งเป็นอาชีพของชาวจันทบูร ทรงเห็นว่าแบบที่เขาทำกันมามันเชย ท่านทรงคิดค้นออกแบบกระเป๋าให้คนเขาถือไปได้ เป็นกระเป๋าคล้ายกระเป๋าดิออร์ อีฟแซงต์โลรองต์ แต่ทำด้วยเสื่อทั้งหมด ปรากฏว่าขายดิบขายดี มีคนนิยมชมชอบ...”'' | |||
| |||
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี พระราชทานคำแนะนำและทรงเน้นความละเอียดละออเป็นพิเศษในกรณีที่จะประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร และกระเป๋าเสื่อในเรื่องของลายเสื่อ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ โปรดให้ทอเป็นลายพื้นบ้านก่อน เช่น ลายลูกโซ่ ยกเป็นดอก เช่น ลายข้าวหลามตัด ดอกจันทน์ และในภายหลังทรงคิดเพิ่มเติมขึ้นอีก เช่น ลายตาเสื่อ ลายพิกุล ลายลูกคลื่น ลายลูกคลื่นใส่ 2 เส้น (ดำ 2 เส้น ขาว 2 เส้น) เป็นต้น และในภายหลังช่างทำกระเป๋าเสื่อได้คิดค้นลวดลายเพิ่มเติม เช่น ลายดอกกุหลาบชมจันทร์ ลายกนก ลายมะลิเลื้อย เป็นต้น ทั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ มีความสนพระราชหฤทัยในศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านชนิดนี้มาก หลังจากเสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว จะเสด็จฯ มาทอดพระเนตรโรงทอเสื่อและจะเสด็จฯ มาอีกครั้งในช่วงบ่าย บางครั้งก็โปรดที่จะทรงทอเสื่อด้วยพระองค์เอง และยังพระราชทานคำแนะนำเรื่องลวดลายเรื่องสี เรื่องรูปทรง และยังทรงตรวจสอบชิ้นงานทุกชิ้นด้วยพระองค์เอง[[#_ftn7|<sup><sup>[7]</sup></sup>]] | สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี พระราชทานคำแนะนำและทรงเน้นความละเอียดละออเป็นพิเศษในกรณีที่จะประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร และกระเป๋าเสื่อในเรื่องของลายเสื่อ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ โปรดให้ทอเป็นลายพื้นบ้านก่อน เช่น ลายลูกโซ่ ยกเป็นดอก เช่น ลายข้าวหลามตัด ดอกจันทน์ และในภายหลังทรงคิดเพิ่มเติมขึ้นอีก เช่น ลายตาเสื่อ ลายพิกุล ลายลูกคลื่น ลายลูกคลื่นใส่ 2 เส้น (ดำ 2 เส้น ขาว 2 เส้น) เป็นต้น และในภายหลังช่างทำกระเป๋าเสื่อได้คิดค้นลวดลายเพิ่มเติม เช่น ลายดอกกุหลาบชมจันทร์ ลายกนก ลายมะลิเลื้อย เป็นต้น ทั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ มีความสนพระราชหฤทัยในศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านชนิดนี้มาก หลังจากเสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว จะเสด็จฯ มาทอดพระเนตรโรงทอเสื่อและจะเสด็จฯ มาอีกครั้งในช่วงบ่าย บางครั้งก็โปรดที่จะทรงทอเสื่อด้วยพระองค์เอง และยังพระราชทานคำแนะนำเรื่องลวดลายเรื่องสี เรื่องรูปทรง และยังทรงตรวจสอบชิ้นงานทุกชิ้นด้วยพระองค์เอง[[#_ftn7|<sup><sup>[7]</sup></sup>]] | ||
สินค้าที่ออกจากโรงงานทอเสื่อกกนี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี พระราชทานเครื่องหมายการค้าเป็นรูปคนหาบกระจาด และใช้ชื่อสินค้าว่า '''''“'''''<b>S.B.K. ส.บ.ก. อุตสาหกรรมชาวบ้าน The Peasant Industries, RAMBHAI PANA LTD. THAILAND.”</b> [[#_ftn8|<sup><sup>[8]</sup></sup>]] แต่กลับได้รับการเรียกขานกันเป็นสามัญว่าผลิตภัณฑ์ '''“เสื่อสมเด็จฯ”''' ซึ่งได้รับความนิยมมาก คนงานต้องทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน แม้กระนั้นก็ตามโรงงานก็ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทันตามความต้องการ เมื่อมีบริษัทที่สหรัฐอเมริกาสั่งซื้อมาจึงไม่สามารถรับงานได้ | สินค้าที่ออกจากโรงงานทอเสื่อกกนี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี พระราชทานเครื่องหมายการค้าเป็นรูปคนหาบกระจาด และใช้ชื่อสินค้าว่า '''''“'''''<b>S.B.K. ส.บ.ก. อุตสาหกรรมชาวบ้าน The Peasant Industries, RAMBHAI PANA LTD. THAILAND.”</b> [[#_ftn8|<sup><sup>[8]</sup></sup>]] แต่กลับได้รับการเรียกขานกันเป็นสามัญว่าผลิตภัณฑ์ '''“เสื่อสมเด็จฯ”''' ซึ่งได้รับความนิยมมาก คนงานต้องทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน แม้กระนั้นก็ตามโรงงานก็ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทันตามความต้องการ เมื่อมีบริษัทที่สหรัฐอเมริกาสั่งซื้อมาจึงไม่สามารถรับงานได้ ดังนั้นการผลิตสินค้าของโรงงานจึงจำกัดอยู่เพียงภายในประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพฯและจันทบุรีเท่านั้น[[#_ftn9|<sup><sup>[9]</sup></sup>]]สำหรับการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ส่วนใหญ่จะนำสินค้าไปจัดแสดงไว้ที่ร้านวิบูลย์สุขในตัวเมืองจันทบุรี ปรากฏว่าผลิตภัณฑ์ '''“เสื่อสมเด็จฯ”''' ได้รับความนิยมเพราะฝีมือละเอียดมีรูปแบบทันสมัยสวยงามส่วนการจำหน่ายสินค้าในกรุงเทพฯ มีการฝากขายที่ร้านโขมพัสตร์ของ หม่อมเจ้าหญิงผจงรจิตร์ กฤดากร ระยะหนึ่ง และยังเปิดร้านจำหน่ายบริเวณมุมถนนบูรพาทางเข้าโรงแรมโอเรียนเต็ล ชื่อร้าน'''“อุตสาหกรรมชาวบ้าน” '''และในภายหลัง เมื่อทรงย้ายกลับมาประทับยัง[[วังศุโขทัย|วังศุโขทัยแล้ว]] ก็ยังมีผู้สนใจเข้ามาสั่งซื้อถึงในวังศุโขทัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปิดร้านจำหน่ายบริเวณพระตำหนักน้ำวังศุโขทัย ตั้งแต่เวลา 8.00 - 16.00 น. ทุกวันเว้นวันอาทิตย์[[#_ftn10|<sup><sup>[10]</sup></sup>]] | ||
ในกิจการทอเสื่อนั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้พระราชทานคำแนะนำในการทอเสื่อด้วยพระองค์เอง ให้สตรีในท้องถิ่นที่สนใจหัตถกรรมทอเสื่อได้ผลิตเสื่อออกขาย อีกทั้งผลิตภัณฑ์ '''“เสื่อสมเด็จฯ”''' ยังเป็นผลให้ความนิยมเสื่อและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเสื่อจันทบูรแพร่หลายอย่างรวดเร็วแม้ว่าในเวลาต่อมา สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 จะได้เสด็จแปรพระราชฐานกลับมาประทับ ณ วังศุโขทัยเป็นการถาวร แต่กิจการทอเสื่อสวนบ้านแก้วจังหวัดจันทบุรีก็ยังเจริญรุ่งเรือง ผลิตภัณฑ์ '''“เสื่อสมเด็จ”''' กำลังเป็นที่รู้จักและนิยมกันอย่างแพร่หลาย ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือได้ช่วยส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นให้มีรายได้ และมีอาชีพในทางหัตถกรรมเป็นของตนเอง อีกทั้งผู้ตามเสด็จฯ บางท่านยังสามารถทอเสื่อได้อีกด้วยเพื่อการอนุรักษ์และส่งเสริมกิจกรรมการทอเสื่อนี้ไว้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายโรงงานทอเสื่อจากสวนบ้านแก้วมายังวังศุโขทัย โดยพระราชทานบริเวณพระตำหนักน้ำเป็นสถานที่ทอเสื่อโดยเฉพาะ กิจการทอเสื่อที่วังศุโขทัยนี้เป็นลักษณะอุตสาหกรรมในครัวเรือนเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ดำเนินกิจการที่สวนบ้านแก้วโดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชาวจันทบุรีที่ตามเสด็จฯ มานั้นเป็นครูฝึกสอนการทอเสื่อที่วังศุโขทัย เมื่อทรงว่างจากพระราชกิจในช่วงเช้ามักจะเสด็จลงทอดพระเนตรการทอเสื่ออยู่เสมอ ทรงออกแบบและเลือกสีด้วยพระองค์เอง และเมื่อใดที่ทอดพระเนตรเห็นกระเป๋าถือสมัยใหม่ ก็จะโปรดให้ช่างทอเสื่อดูเป็นแบบอย่างเพื่อทอและประกอบเป็นกระเป๋าต่อไป นับได้ว่าผลิตภัณฑ์ '''“เสื่อสมเด็จ”''' เป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพให้แก่ประชาชนให้มีรายได้ สามารถพึ่งพาตนเองได้ และทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามลำดับตราบจนทุกวันนี้ | |||
<div><p style="text-align: justify;"> </p> <p style="text-align: justify;"><span style="font-size:x-large;">'''อ้างอิง'''</span></p> <div id="ftn1"><p style="text-align: justify;">[[#_ftnref1|<sup><sup>[1]</sup></sup>]] หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ ชุมพล, <u>กุลสตรีศรีสยาม สง่างามทุกกาลสถาน</u> (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2560), หน้า 339.</p> </div> <div id="ftn2"><p style="text-align: justify;">[[#_ftnref2|<sup><sup>[2]</sup></sup>]] สำนักราชเลขาธิการ, <u>พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7</u> (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531), หน้า 143.</p> </div> <div id="ftn3"><p style="text-align: justify;">[[#_ftnref3|<sup><sup>[3]</sup></sup>]]“ท่านเป็นหญิงที่โดดเดี่ยว,” ใน กองบรรณาธิการมติชน, <u>พระผู้เพิ่งจากไป</u> (กรุงเทพฯ: มติชน, 2527), หน้า 101.</p> </div> <div id="ftn4"><p style="text-align: justify;">[[#_ftnref4|<sup><sup>[4]</sup></sup>]] หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ ชุมพล, <u>กุลสตรีศรีสยาม สง่างามทุกกาลสถาน</u> (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2560), หน้า 340.</p> </div> <div id="ftn5"><p style="text-align: justify;">[[#_ftnref5|<sup><sup>[5]</sup></sup>]] “ท่านเป็นหญิงที่โดดเดี่ยว,” ใน กองบรรณาธิการมติชน, <u>พระผู้เพิ่งจากไป</u> (กรุงเทพฯ: มติชน, 2527), หน้า 102.</p> </div> <div id="ftn6"><p style="text-align: justify;">[[#_ftnref6|<sup><sup>[6]</sup></sup>]] กองบรรณาธิการมติชน, <u>พระผู้เพิ่งจากไป</u> (กรุงเทพฯ: มติชน, 2527), หน้า 116.</p> </div> <div id="ftn7"><p style="text-align: justify;">[[#_ftnref7|<sup><sup>[7]</sup></sup>]] หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ ชุมพล, <u>กุลสตรีศรีสยาม สง่างามทุกกาลสถาน</u> (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2560), หน้า 342-343.</p> </div> <div id="ftn8"><p style="text-align: justify;">[[#_ftnref8|<sup><sup>[8]</sup></sup>]] หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ ชุมพล, <u>กุลสตรีศรีสยาม สง่างามทุกกาลสถาน</u> (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2560), หน้า 346.</p> </div> <div id="ftn9"><p style="text-align: justify;">[[#_ftnref9|<sup><sup>[9]</sup></sup>]] สำนักราชเลขาธิการ, <u>พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7</u> (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531), หน้า 144.</p> </div> <div id="ftn10"><p style="text-align: justify;">[[#_ftnref10|<sup><sup>[10]</sup></sup>]] สำนักราชเลขาธิการ, <u>พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7</u> (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531), หน้า 170-171.</p> </div> </div> <p style="text-align: justify;"> </p> | |||
| |||
[[Category:พระปกเกล้าศึกษา]][[Category:พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]][[Category:พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ]] | |||
[[Category: |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 10:07, 8 มิถุนายน 2565
ผู้เรียบเรียง : ศิบดี นพประเสริฐ
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ
พระราชกรณียกิจที่สำคัญประการหนึ่งของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เมื่อครั้งเสด็จฯ มาประทับที่จังหวัดจันทบุรีนั่นคือ ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการทอเสื่อจันทบูรให้มีความสวยงามและทันสมัยจนกลายเป็นสินค้าหัตถกรรมและอาชีพหลักที่มีชื่อเสียงของชาวจังหวัดจันทบุรี และเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในนาม “เสื่อสมเด็จฯ”
เมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี_พระบรมราชินี เสด็จนิวัติพระนครเมื่อ พ.ศ. 2492 พร้อมทั้งทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกลับมาประดิษฐาน ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง ร่วมกับพระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุรพการีแล้วนั้น รัฐบาลได้ใช้พระตำหนักวังศุโขทัยเป็นสถานที่ทำงานของกระทรวงสาธารณสุข สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (พระอิสริยยศในณะนั้น) จึงได้เชิญเสด็จสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ไปประทับ ณ พระตำหนักของสมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ ในวังสระปทุม แต่เนื่องจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ไม่ต้องพระราชประสงค์ที่จะทรงรบกวนสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ในการประทับ ณ วังสระปทุมนานเกินควร อีกทั้งยังมีพระราชประสงค์ที่จะมีที่ประทับสำหรับพักผ่อนพระราชอิริยาบถ จึงทรงสร้างสวนบ้านแก้วขึ้นที่จังหวัดจันทบุรีใน วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2493
ภายหลังจากที่เสด็จฯ มาประทับ ณ สวนบ้านแก้วได้ประมาณ 5 ปี สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินี ทรงทราบว่าคนงานที่รับเข้ามาทำสวนและก่อสร้างนั้นส่วนใหญ่ถนัดงานฝีมืองานทอเสื่อ งานทอผ้า ประกอบกับโปรดเสื่อจันทบูรอยู่แล้ว โดยเสื่อที่ชาวบ้านทอกันอยู่แต่เดิมเป็นเสื่อปูนอนเย็บริม พระองค์ได้เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการทอเสื่อของแม่ชีที่วัดโรมันคาทอลิกหรือวัดญวน ซึ่งตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับสวนบ้านแก้วและทรงเห็นถึงข้อบกพร่องหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นสีที่มีจำกัด ไม่หลากหลาย อีกทั้งเมื่อเส้นกกที่ย้อมสีแล้วถูกน้ำสีจะตกดังที่ นายบุญมี นักเสียง อดีตผู้ทำงานซื้อกกและย้อมกก เล่าว่า[1]
“...พระองค์จะใช้เสื่อชาวบ้านมาเป็นบรรทัดฐานก่อน ตอนที่พระองค์เสด็จประพาสตามชนบทต่างๆ ชาวบ้านก็ใช้เสื่อที่ดีที่สุดของเขามาปูลาดพระบาท พอท่านเห็นก็ชื่นชมและนำเสื่อเหล่านั้นมาดูไว้คิดเป็นแบบและค่อยๆ ดำริมาเรื่อยๆ จากผู้ใกล้ชิดมาถึงผม ผมได้ถูกคัดเลือกในเกณฑ์นั้นด้วย ผมจะถนัดงานในด้านฟอกให้เป็นสีขาว...”
การ “ฟอกกกให้เป็นสีขาว” นี้ มีสาเหตุมาจากการที่พระองค์ได้เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการทอเสื่อของแม่ชีที่วัดโรมันคาทอลิกหรือวัดญวน ซึ่งตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับสวนบ้านแก้ว และทรงเห็นถึงข้อบกพร่องหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นสีที่มีจำกัด ไม่หลากหลาย อีกทั้งเมื่อเส้นกกที่ย้อมสีแล้วถูกน้ำสีจะตก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงงานทอเสื่อขึ้น โดยสั่งซื้อกกตากแห้งจากชาวบ้าน และมีพระราชประสงค์ที่จะปรับปรุงกรรมวิธีการผลิตให้ทันสมัยขึ้น เช่น การใช้เชือกที่ทำด้วยปอสำหรับถักร้อยกกไม่ใช้เอ็นพลาสติกเหมือนที่อื่น ๆ ส่วนการปรับปรุงเรื่องสีย้อมให้มีความคงทนนั้น หม่อมเจ้าชายกอกษัตริย์ สวัสดิวัตน์ พระอนุชาซึ่งเป็นอาจารย์สอนวิชาเคมีที่มหาวิทยาลัยสิงคโปร์ ทรงศึกษาและแก้ไขปัญหาเรื่องนี้รวมไปถึงการผลิตสีที่ใช้ในการย้อมเส้นกกเพิ่มขึ้นเพื่อให้มีความหลากหลาย[2] ดังเช่นที่ หม่อมเจ้าชายการวิก จักรพันธุ์ ประทานสัมภาษณ์ไว้ ดังความต่อไปนี้[3]
“...เสื่อจันทบูรที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าสียังตก สมมติว่าคนไปนอนแล้วเหงื่อออกลุกขึ้นมาหลังจะแดงบ้างเขียวบ้าง ทรงสร้างโรงเสื่อโดยขอลูกชาวบ้านมาหัดทอเสื่อ ทรงศึกษาว่าใช้สีอะไรจะไม่ตกจนสำเร็จ โดยใช้สียี่ห้อดีของต่างประเทศ แต่ทรงข้องพระทัยอยู่ว่าทำไมมีแต่สีแก่ๆ น่าจะมีสีชมพูสีน้ำเงินอ่อนก็ทรงซักถาม เขาเลยบอกว่าไม่ได้ เพราะกกที่ทำไม่ใช่สีขาวมันเป็นสีออกเขียวถ้าจะทำเสื่อสีอ่อนต้องใช้สีขาว ทรงปรึกษากับพระอนุชาที่เป็นศาสตราจารย์ด้านเคมีอยู่ที่มหาวิทยาลัยสิงคโปร์ ท่านชายได้กราบบังคมทูลว่า ง่ายมาก โดยเอาสีเสียดฟอกออกแล้วจะเกือบขาว แล้วจะใช้วิธีย้อมที่ดีโดยสีไม่ตก มีการสาธิตให้ดูและได้ผลตามพระราชประสงค์ ทำให้ได้เสื่อพื้นเมืองสีสวยคุณภาพดียิ่งขึ้นอีก...”
กกนั้นซื้อที่ชาวบ้านตากแห้งแล้ว นำมาต้มแล้วแช่ ใช้สารเคมีของญี่ปุ่นซึ่งมีคุณสมบัติเป็นกรดในสัดส่วนพอเหมาะ ฟอกให้ขาวก่อนย้อม จึงจะได้กกสีอ่อน ๆ เช่น ชมพูอ่อน เขียวอ่อน ถ้าฟอกไม่ขาวออกมาจะเป็นสีเข้ม[4]การดำเนินการทั้งหมดนี้ทำให้โรงงานทอเสื่อกกของ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เป็นโรงงานแห่งแรกที่รู้จักวิธีฟอกเส้นกกให้ขาวเพื่อย้อมเป็นสีต่าง ๆ และเมื่อย้อมแล้วสีไม่ตก โดยมีคนงานประมาณ 300 คน แบ่งงานเป็นแผนกต่าง ๆ เช่น แผนกฟอกเส้นกกให้ขาว แผนกย้อมกก แผนกทอ แผนกตัดเย็บ แผนกช่างไม้ทำส่วนประกอบผลิตภัณฑ์จากเสื่อ
นอกเหนือจากการทอเสื่อแบบปกติแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์สิ่งของเครื่องใช้ที่ทำด้วยเสื่อกกตามแบบพระราชทาน เช่น ถาด ที่รองแก้ว ที่ใส่กระดาษเช็ดปากรวมไปถึงสินค้าแฟชั่นอย่าง เช่น กระเป๋าถือสตรีที่ทรงมีพระราชดำริออกแบบให้ทันสมัย ดังเช่นที่หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ ประทานสัมภาษณ์ไว้ ดังความต่อไปนี้[5]
“...ต่อมาทรงทำกระเป๋าหิ้วแบบผู้หญิง ทรงออกแบบเอง เพราะท่านโปรดทางแฟชั่นอยู่แล้ว ทรงออกแบบแปลกๆ มีลวดลายและทำให้สีอ่อนๆ อยู่ในความนิยมมากทีเดียว...”
เช่นเดียวกับที่ หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ กล่าวไว้ในรายการ“ครอบจักรวาล” ดังความต่อไปนี้[6]
“...ต่อมาท่านทรงส่งเสริมเรื่องการทอเสื่อซึ่งเป็นอาชีพของชาวจันทบูร ทรงเห็นว่าแบบที่เขาทำกันมามันเชย ท่านทรงคิดค้นออกแบบกระเป๋าให้คนเขาถือไปได้ เป็นกระเป๋าคล้ายกระเป๋าดิออร์ อีฟแซงต์โลรองต์ แต่ทำด้วยเสื่อทั้งหมด ปรากฏว่าขายดิบขายดี มีคนนิยมชมชอบ...”
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี พระราชทานคำแนะนำและทรงเน้นความละเอียดละออเป็นพิเศษในกรณีที่จะประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร และกระเป๋าเสื่อในเรื่องของลายเสื่อ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ โปรดให้ทอเป็นลายพื้นบ้านก่อน เช่น ลายลูกโซ่ ยกเป็นดอก เช่น ลายข้าวหลามตัด ดอกจันทน์ และในภายหลังทรงคิดเพิ่มเติมขึ้นอีก เช่น ลายตาเสื่อ ลายพิกุล ลายลูกคลื่น ลายลูกคลื่นใส่ 2 เส้น (ดำ 2 เส้น ขาว 2 เส้น) เป็นต้น และในภายหลังช่างทำกระเป๋าเสื่อได้คิดค้นลวดลายเพิ่มเติม เช่น ลายดอกกุหลาบชมจันทร์ ลายกนก ลายมะลิเลื้อย เป็นต้น ทั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ มีความสนพระราชหฤทัยในศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านชนิดนี้มาก หลังจากเสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว จะเสด็จฯ มาทอดพระเนตรโรงทอเสื่อและจะเสด็จฯ มาอีกครั้งในช่วงบ่าย บางครั้งก็โปรดที่จะทรงทอเสื่อด้วยพระองค์เอง และยังพระราชทานคำแนะนำเรื่องลวดลายเรื่องสี เรื่องรูปทรง และยังทรงตรวจสอบชิ้นงานทุกชิ้นด้วยพระองค์เอง[7]
สินค้าที่ออกจากโรงงานทอเสื่อกกนี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี พระราชทานเครื่องหมายการค้าเป็นรูปคนหาบกระจาด และใช้ชื่อสินค้าว่า “S.B.K. ส.บ.ก. อุตสาหกรรมชาวบ้าน The Peasant Industries, RAMBHAI PANA LTD. THAILAND.” [8] แต่กลับได้รับการเรียกขานกันเป็นสามัญว่าผลิตภัณฑ์ “เสื่อสมเด็จฯ” ซึ่งได้รับความนิยมมาก คนงานต้องทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน แม้กระนั้นก็ตามโรงงานก็ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทันตามความต้องการ เมื่อมีบริษัทที่สหรัฐอเมริกาสั่งซื้อมาจึงไม่สามารถรับงานได้ ดังนั้นการผลิตสินค้าของโรงงานจึงจำกัดอยู่เพียงภายในประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพฯและจันทบุรีเท่านั้น[9]สำหรับการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ส่วนใหญ่จะนำสินค้าไปจัดแสดงไว้ที่ร้านวิบูลย์สุขในตัวเมืองจันทบุรี ปรากฏว่าผลิตภัณฑ์ “เสื่อสมเด็จฯ” ได้รับความนิยมเพราะฝีมือละเอียดมีรูปแบบทันสมัยสวยงามส่วนการจำหน่ายสินค้าในกรุงเทพฯ มีการฝากขายที่ร้านโขมพัสตร์ของ หม่อมเจ้าหญิงผจงรจิตร์ กฤดากร ระยะหนึ่ง และยังเปิดร้านจำหน่ายบริเวณมุมถนนบูรพาทางเข้าโรงแรมโอเรียนเต็ล ชื่อร้าน“อุตสาหกรรมชาวบ้าน” และในภายหลัง เมื่อทรงย้ายกลับมาประทับยังวังศุโขทัยแล้ว ก็ยังมีผู้สนใจเข้ามาสั่งซื้อถึงในวังศุโขทัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปิดร้านจำหน่ายบริเวณพระตำหนักน้ำวังศุโขทัย ตั้งแต่เวลา 8.00 - 16.00 น. ทุกวันเว้นวันอาทิตย์[10]
ในกิจการทอเสื่อนั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้พระราชทานคำแนะนำในการทอเสื่อด้วยพระองค์เอง ให้สตรีในท้องถิ่นที่สนใจหัตถกรรมทอเสื่อได้ผลิตเสื่อออกขาย อีกทั้งผลิตภัณฑ์ “เสื่อสมเด็จฯ” ยังเป็นผลให้ความนิยมเสื่อและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเสื่อจันทบูรแพร่หลายอย่างรวดเร็วแม้ว่าในเวลาต่อมา สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 จะได้เสด็จแปรพระราชฐานกลับมาประทับ ณ วังศุโขทัยเป็นการถาวร แต่กิจการทอเสื่อสวนบ้านแก้วจังหวัดจันทบุรีก็ยังเจริญรุ่งเรือง ผลิตภัณฑ์ “เสื่อสมเด็จ” กำลังเป็นที่รู้จักและนิยมกันอย่างแพร่หลาย ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือได้ช่วยส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นให้มีรายได้ และมีอาชีพในทางหัตถกรรมเป็นของตนเอง อีกทั้งผู้ตามเสด็จฯ บางท่านยังสามารถทอเสื่อได้อีกด้วยเพื่อการอนุรักษ์และส่งเสริมกิจกรรมการทอเสื่อนี้ไว้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายโรงงานทอเสื่อจากสวนบ้านแก้วมายังวังศุโขทัย โดยพระราชทานบริเวณพระตำหนักน้ำเป็นสถานที่ทอเสื่อโดยเฉพาะ กิจการทอเสื่อที่วังศุโขทัยนี้เป็นลักษณะอุตสาหกรรมในครัวเรือนเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ดำเนินกิจการที่สวนบ้านแก้วโดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชาวจันทบุรีที่ตามเสด็จฯ มานั้นเป็นครูฝึกสอนการทอเสื่อที่วังศุโขทัย เมื่อทรงว่างจากพระราชกิจในช่วงเช้ามักจะเสด็จลงทอดพระเนตรการทอเสื่ออยู่เสมอ ทรงออกแบบและเลือกสีด้วยพระองค์เอง และเมื่อใดที่ทอดพระเนตรเห็นกระเป๋าถือสมัยใหม่ ก็จะโปรดให้ช่างทอเสื่อดูเป็นแบบอย่างเพื่อทอและประกอบเป็นกระเป๋าต่อไป นับได้ว่าผลิตภัณฑ์ “เสื่อสมเด็จ” เป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพให้แก่ประชาชนให้มีรายได้ สามารถพึ่งพาตนเองได้ และทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามลำดับตราบจนทุกวันนี้
อ้างอิง
[1] หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ ชุมพล, กุลสตรีศรีสยาม สง่างามทุกกาลสถาน (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2560), หน้า 339.
[2] สำนักราชเลขาธิการ, พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531), หน้า 143.
[3]“ท่านเป็นหญิงที่โดดเดี่ยว,” ใน กองบรรณาธิการมติชน, พระผู้เพิ่งจากไป (กรุงเทพฯ: มติชน, 2527), หน้า 101.
[4] หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ ชุมพล, กุลสตรีศรีสยาม สง่างามทุกกาลสถาน (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2560), หน้า 340.
[5] “ท่านเป็นหญิงที่โดดเดี่ยว,” ใน กองบรรณาธิการมติชน, พระผู้เพิ่งจากไป (กรุงเทพฯ: มติชน, 2527), หน้า 102.
[6] กองบรรณาธิการมติชน, พระผู้เพิ่งจากไป (กรุงเทพฯ: มติชน, 2527), หน้า 116.
[7] หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ ชุมพล, กุลสตรีศรีสยาม สง่างามทุกกาลสถาน (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2560), หน้า 342-343.
[8] หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ ชุมพล, กุลสตรีศรีสยาม สง่างามทุกกาลสถาน (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2560), หน้า 346.
[9] สำนักราชเลขาธิการ, พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531), หน้า 144.
[10] สำนักราชเลขาธิการ, พระราชประวัติ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 (กรุงเทพฯ : สำนักราชเลขาธิการ, 2531), หน้า 170-171.