ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กองพล 93 ของกองทัพจีนคณะชาติในภาคเหนือของไทย"
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
(ไม่แสดง 5 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 2 คน) | |||
บรรทัดที่ 1: | บรรทัดที่ 1: | ||
'''ผู้เรียบเรียง''' นิติยาภรณ์ และ รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ | |||
---- | ---- | ||
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต | |||
---- | ---- | ||
==ความเป็นมา== | ==ความเป็นมา== | ||
เมื่อ[[สงครามโลกครั้งที่สอง]]ได้สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1945 สภาพทางการเมืองของเหล่าประเทศทั้งหลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เข้าสู่ยุคของการกลับเข้ามาของเจ้า[[การล่าอาณานิคม|อาณานิคม]]เดิมอีกครั้ง หากแต่ในครั้งนี้ ดินแดนที่ตกเป็นอาณานิคมได้สร้างกระบวนการต่อรองอำนาจกับบรรดาประเทศเจ้าอาณานิคมเดิม รวมไปถึงการเรียกร้องการปกครองตนเอง และขยายวงไปสู่การเรียกร้องเอกราชในที่สุด | |||
อย่างไรก็ตามบรรดาดินแดนที่ถือว่ามีความสำคัญยิ่งต่อชาวตะวันตกคือ จีน ทั้งนี้ จีนถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่และเส้นทางยุทธศาสตร์ทางการทหาร และการรบระหว่างญี่ปุ่นกับฝ่ายของ สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ เมื่อสงครามโลกครั้งสองสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2488 สถานการณ์ในจีนในช่วงเวลาหลังจากนั้นได้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ในปี พ.ศ. 2492 พรรคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะเหนือ[[พรรคก๊ก มิน ตั๋ง]] โดยมี[[นายพล เจียง ไค เช็ค]] เป็นผู้นำในขณะนั้น ทำให้จีนจึงอยู่ภายใต้การปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ | อย่างไรก็ตามบรรดาดินแดนที่ถือว่ามีความสำคัญยิ่งต่อชาวตะวันตกคือ จีน ทั้งนี้ จีนถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่และเส้นทางยุทธศาสตร์ทางการทหาร และการรบระหว่างญี่ปุ่นกับฝ่ายของ สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ เมื่อสงครามโลกครั้งสองสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2488 สถานการณ์ในจีนในช่วงเวลาหลังจากนั้นได้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ในปี พ.ศ. 2492 พรรคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะเหนือ[[พรรคก๊ก มิน ตั๋ง]] โดยมี[[นายพล เจียง ไค เช็ค]] เป็นผู้นำในขณะนั้น ทำให้จีนจึงอยู่ภายใต้การปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ | ||
เนื่องจากสภาพการณ์ดังกล่าวมาข้างต้นทำให้[[นายพล เจียง ไค เช็ค]] จำเป็นต้องถอยไปตั้งรัฐบาลใหม่ยัง[[เกาะฟอร์โมซา]] (ประเทศไต้หวันในปัจจุบัน)<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, พ.อ., '''ก๊กมินตั๋ง ทหารจีนคณะชาติตกค้างภาคเหนือประเทศไทย''' (เชียงใหม่: สยามรัตน พริ้นติ้ง, 2546), หน้า 29</ref> อย่างไรก็ตาม ก๊ก มิน ตั๋ง ได้วางกำลังของตนเองไว้ที่มณฑลยูนนาน 2 กองทัพด้วยกันคือ กองทัพที่ 8 และกองทัพที่ 26 ซึ่งแต่ละกองทัพประกอบด้วย 2 กองพล โดยที่'''กองพล 93''' เป็นหน่วยหนึ่งที่ขึ้นตรงต่อกองทัพที่ 26<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 29.</ref> ทำหน้าที่ดูแลพื้นที่ดังกล่าวไว้เพื่อป้องกันไม่ให้กองกำลังของอีกฝ่ายไล่ตามกองกำลังที่เคลื่อนย้ายไปยังเกาะฟอร์โมซาได้ทัน ในเวลาต่อมากองทัพที่ 8 และกองทัพที่ 26 ก็ถูกกองทัพของฝ่าย[[พรรคคอมมิวนิสต์]]ตีแตกพ่ายและถอยลงมายังพื้นที่พม่าตอนบนใกล้กับพรมแดนมณฑลยูนนานของจีน กองทัพที่ 26 ได้ถูกกองกำลังของจีนคอมมิวนิสต์ตีแตกพ่ายอีกครั้งและได้ถอยร่นไปยังลาวและเวียดนาม อีกส่วนก็ถอยเข้ามายังรัฐฉานของประเทศพม่า<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 29.</ref> ผ่านทางรัฐฉานด้านเมืองเชียงตุง แล้วผ่านมาทางขี้เหล็กของประเทศไทย โดยมีกำลังประมาณ 1,700 คน<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, บทนำ.</ref> จำนวนทหารที่อยู่ในส่วนนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นกำลังพลที่มาจากหน่วยกองพล 93 ในปี พ.ศ. 2493 เป็นต้นมา พม่าได้ทำการผลักดันกองกำลังของกองทัพที่ 26 ออกจากประเทศพม่า และส่วนหนึ่งเข้ามายังชายแดนไทย อย่างไรก็ดี สถานการณ์การเมืองที่เกาหลีนั้นได้สร้างความกังวลต่อนานาประเทศเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจาก[สงครามเกาหลี|[เกาหลีเหนือบุกเกาหลีใต้]]ในปีพ.ศ. 2493 ทำให้สหรัฐอเมริกาเกิดความวิตกกังวลต่อสถานการณ์การแพร่กระจายของ[[ระบอบคอมมิวนิสต์|คอมมิวนิสต์]] ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีการสร้างแนวยับยั้งคอมมิวนิสต์จากธิเบตถึงประเทศไทย และในขณะเดียวกันก็สนับสนุนทหารจีนคณะชาติในการบุกคืนสู่จีน<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 34.</ref> | |||
เนื่องจากสภาพการณ์ดังกล่าวมาข้างต้นทำให้[[นายพล เจียง ไค เช็ค]] จำเป็นต้องถอยไปตั้งรัฐบาลใหม่ยัง[[เกาะฟอร์โมซา]] (ประเทศไต้หวันในปัจจุบัน)<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, พ.อ., ก๊กมินตั๋ง ทหารจีนคณะชาติตกค้างภาคเหนือประเทศไทย (เชียงใหม่: สยามรัตน พริ้นติ้ง, 2546), หน้า 29</ref> อย่างไรก็ตาม ก๊ก มิน ตั๋ง ได้วางกำลังของตนเองไว้ที่มณฑลยูนนาน 2 กองทัพด้วยกันคือ กองทัพที่ 8 และกองทัพที่ 26 ซึ่งแต่ละกองทัพประกอบด้วย 2 กองพล โดยที่'''กองพล 93''' เป็นหน่วยหนึ่งที่ขึ้นตรงต่อกองทัพที่ 26<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 29.</ref> ทำหน้าที่ดูแลพื้นที่ดังกล่าวไว้เพื่อป้องกันไม่ให้กองกำลังของอีกฝ่ายไล่ตามกองกำลังที่เคลื่อนย้ายไปยังเกาะฟอร์โมซาได้ทัน ในเวลาต่อมากองทัพที่ 8 และกองทัพที่ 26 ก็ถูกกองทัพของฝ่าย[[พรรคคอมมิวนิสต์]]ตีแตกพ่ายและถอยลงมายังพื้นที่พม่าตอนบนใกล้กับพรมแดนมณฑลยูนนานของจีน กองทัพที่ 26 ได้ถูกกองกำลังของจีนคอมมิวนิสต์ตีแตกพ่ายอีกครั้งและได้ถอยร่นไปยังลาวและเวียดนาม อีกส่วนก็ถอยเข้ามายังรัฐฉานของประเทศพม่า<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 29.</ref> ผ่านทางรัฐฉานด้านเมืองเชียงตุง แล้วผ่านมาทางขี้เหล็กของประเทศไทย โดยมีกำลังประมาณ 1,700 คน<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, บทนำ.</ref> จำนวนทหารที่อยู่ในส่วนนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นกำลังพลที่มาจากหน่วยกองพล 93 ในปี พ.ศ. 2493 เป็นต้นมา พม่าได้ทำการผลักดันกองกำลังของกองทัพที่ 26 ออกจากประเทศพม่า และส่วนหนึ่งเข้ามายังชายแดนไทย อย่างไรก็ดี สถานการณ์การเมืองที่เกาหลีนั้นได้สร้างความกังวลต่อนานาประเทศเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจาก[สงครามเกาหลี|[เกาหลีเหนือบุกเกาหลีใต้]]ในปีพ.ศ. 2493 ทำให้สหรัฐอเมริกาเกิดความวิตกกังวลต่อสถานการณ์การแพร่กระจายของ[[ระบอบคอมมิวนิสต์|คอมมิวนิสต์]] ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีการสร้างแนวยับยั้งคอมมิวนิสต์จากธิเบตถึงประเทศไทย และในขณะเดียวกันก็สนับสนุนทหารจีนคณะชาติในการบุกคืนสู่จีน<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 34.</ref> | |||
กองพล 93 ใหม่นี้ เกิดขึ้นภายใต้การนิยามโดยพล หลี่ เหวิน ฝาน ได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวนี้ว่า | กองพล 93 ใหม่นี้ เกิดขึ้นภายใต้การนิยามโดยพล หลี่ เหวิน ฝาน ได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวนี้ว่า | ||
''“...กองพล 93 นั้นเป็นชื่อของกองพลหนึ่งในกองทัพแห่งชาติของจีน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ... เมื่อเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 กองพล 93 ถูกถอนกลับหมด ... ข้าพเจ้าไม่เคยเป็นทหารประจำการอาชีพ แต่พวกข้าพเจ้าเป็นเพียงอาสาสมัคร เพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตน...”''<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 39.</ref> | {{Cquote|''“...กองพล 93 นั้นเป็นชื่อของกองพลหนึ่งในกองทัพแห่งชาติของจีน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ... เมื่อเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 กองพล 93 ถูกถอนกลับหมด ... ข้าพเจ้าไม่เคยเป็นทหารประจำการอาชีพ แต่พวกข้าพเจ้าเป็นเพียงอาสาสมัคร เพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตน...”''|}}<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 39.</ref> | ||
กองพล 93 ใหม่นี้ได้ขยายกำลังเป็นกองทัพกู้ชาติ โดยมี[[นายพล หลี่ มี่]] เป็นผู้บัญชาการ และมีกองกำลังสนับสนุนของหน่วยข่างกรองกลางของสหรัฐอเมริกา ในเวลาต่อมาได้มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเหล่าทหารปืนใหญ่และเหล่าเทคนิค โดยจัดตั้งขึ้นที่บ้านปงป่าแขมใกล้กับชายแดนไทย คือ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งยังเป็นเส้นทางในการส่งกำลังบำรุงอีกเส้นทางหนึ่งที่นอกเหนือจากเส้นทางด้านท่าตอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 41.</ref> ในปี พ.ศ. 2496 คณะกรรมการ 4 ชาติ กำหนดให้มีการถอนกำลังทหารของจีนคณะชาติกลับไต้หวัน หลังจากปี พ.ศ. 2504 เมื่อกองบัญชาการกองทัพสนามร่วมของนายพล หลิว เหยี่ยน หลิง ที่เมืองเชียงลับ ถูกทหารผสม จีน-พม่า บุกเข้าทำลาย ทำให้ทหารจีนคณะชาติที่อยู่ในบริเวณของรัฐฉานไม่มีฐานที่มั่น ทำให้อพยพเข้ามาสู้ประเทศไทย<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 7, 53.</ref> | กองพล 93 ใหม่นี้ได้ขยายกำลังเป็นกองทัพกู้ชาติ โดยมี[[นายพล หลี่ มี่]] เป็นผู้บัญชาการ และมีกองกำลังสนับสนุนของหน่วยข่างกรองกลางของสหรัฐอเมริกา ในเวลาต่อมาได้มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเหล่าทหารปืนใหญ่และเหล่าเทคนิค โดยจัดตั้งขึ้นที่บ้านปงป่าแขมใกล้กับชายแดนไทย คือ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งยังเป็นเส้นทางในการส่งกำลังบำรุงอีกเส้นทางหนึ่งที่นอกเหนือจากเส้นทางด้านท่าตอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 41.</ref> ในปี พ.ศ. 2496 คณะกรรมการ 4 ชาติ กำหนดให้มีการถอนกำลังทหารของจีนคณะชาติกลับไต้หวัน หลังจากปี พ.ศ. 2504 เมื่อกองบัญชาการกองทัพสนามร่วมของนายพล หลิว เหยี่ยน หลิง ที่เมืองเชียงลับ ถูกทหารผสม จีน-พม่า บุกเข้าทำลาย ทำให้ทหารจีนคณะชาติที่อยู่ในบริเวณของรัฐฉานไม่มีฐานที่มั่น ทำให้อพยพเข้ามาสู้ประเทศไทย<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 7, 53.</ref> | ||
บรรทัดที่ 29: | บรรทัดที่ 25: | ||
นโยบายของรัฐบาลไทยที่มีต่อการอพยพเข้ามาของ[[กองกำลังทหารจีนคณะชาติ]]นั้นดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง นโยบายของรัฐบาลไทยก่อนและหลังจากปีพ.ศ. 2501 เป็นต้นมา ได้มีการดำเนินการส่งทหารจีนคณะชาติกลับไต้หวันครั้งแรกในปี พ.ศ. 2496 และครั้งที่สอง คือ พ.ศ. 2504 | นโยบายของรัฐบาลไทยที่มีต่อการอพยพเข้ามาของ[[กองกำลังทหารจีนคณะชาติ]]นั้นดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง นโยบายของรัฐบาลไทยก่อนและหลังจากปีพ.ศ. 2501 เป็นต้นมา ได้มีการดำเนินการส่งทหารจีนคณะชาติกลับไต้หวันครั้งแรกในปี พ.ศ. 2496 และครั้งที่สอง คือ พ.ศ. 2504 | ||
อย่างไรก็ดี ในเดือนมีนาคมปีเดียวกันนี้เอง รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ[[สฤษดิ์ ธนะรัชต์|จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์]] ได้ประกาศเจตนาที่จะปฏิบัติการตาม[[กฎหมาย]]ระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด และได้ยื่นคำขาดให้กองทหารจีนคณะชาติออกจากเขตแดนไทยภายใน 3 วัน อีกทั้งได้เตรียมกำลังเคลื่อนย้ายออกไป ในปี พ.ศ. 2505 ได้มีกองทหารจีนคณะชาติล้ำแดนเข้ามายังประเทศไทยจำนวนมาก อีกทั้งได้ตั้งฐานที่มั่นอยู่ในเขตแดนของไทย ทำให้รัฐบาลต้องประกาศนโยบายให้ปฏิบัติต่อกองทหารจันคณะชาติตามที่ได้ทำตาม<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 101.</ref> ได้มีการดำเนินการทางการเมืองโดยที่ทางรัฐบาลไทยพยายามเจรจากับรัฐบาลของจีนและการทหารโดยการผลักดันให้ออกนอกประเทศ โดยจะมีการปลดอาวุธและควบคุมตัวหากไม่เดินทางออกไป<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 99.</ref> | |||
อย่างไรก็ดี ในเดือนมีนาคมปีเดียวกันนี้เอง รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ[[จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์]] | |||
อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 2506 รัฐบาลไทยได้มีมาตราการที่ใช้กับทหาร[[พรรค ก๊ก มิน ตั๋ง|จีนคณะชาติ]]คือการดำเนินการติดต่อกับสถานฑูตของจีนอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องการควบคุม และไม่ใช้เจ้าหน้าที่รัฐบาลติดต่อกับหน่วยทหารโดยตรง เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นการรับรองฐานะของกองทหารจีนคณะชาติ ทำการปราบปรามยาเสพติด เส้นทางการลำเลียงโดยดำเนินการเป็นครั้งคราว หรือในกรณีเคลื่อนย้ายอาวุธ อันอาจเป็นภัยต่อประเทศ และดำเนินการปราบปรามและจับกุมตามความเหมาะสม<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 103.</ref> นอกจากนี้แล้ว ตั้งแต่หลังปี พ.ศ. 2506 เป็นต้นมา กองกำลังทหารจีนคณะชาติกองทัพที่ 3 และ 5 เข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการเป็นการถาวรอยู่ตามบริเวณชายแดนไทย อีกทั้งหน่วยข่าวกรองของ[[พรรคก๊ก มิน ตั๋ง]] ได้เข้ามาใช้พื้นที่ของประเทศไทยในการหาข่าว<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 106.</ref> | อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 2506 รัฐบาลไทยได้มีมาตราการที่ใช้กับทหาร[[พรรค ก๊ก มิน ตั๋ง|จีนคณะชาติ]]คือการดำเนินการติดต่อกับสถานฑูตของจีนอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องการควบคุม และไม่ใช้เจ้าหน้าที่รัฐบาลติดต่อกับหน่วยทหารโดยตรง เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นการรับรองฐานะของกองทหารจีนคณะชาติ ทำการปราบปรามยาเสพติด เส้นทางการลำเลียงโดยดำเนินการเป็นครั้งคราว หรือในกรณีเคลื่อนย้ายอาวุธ อันอาจเป็นภัยต่อประเทศ และดำเนินการปราบปรามและจับกุมตามความเหมาะสม<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 103.</ref> นอกจากนี้แล้ว ตั้งแต่หลังปี พ.ศ. 2506 เป็นต้นมา กองกำลังทหารจีนคณะชาติกองทัพที่ 3 และ 5 เข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการเป็นการถาวรอยู่ตามบริเวณชายแดนไทย อีกทั้งหน่วยข่าวกรองของ[[พรรคก๊ก มิน ตั๋ง]] ได้เข้ามาใช้พื้นที่ของประเทศไทยในการหาข่าว<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 106.</ref> | ||
นโยบายต่อมาหลังจากปี พ.ศ. 2510 เป็นต้นมารัฐบาลมีนโยบายที่คุมเข้มต่อกลุ่มทหารจีนคณะชาติ เนื่องจากว่าในพื้นที่ชายแดนลาวกับเขตอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่ที่เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่ม[[จีนฮ่อ]] นำโดย [[ขุนส่า|จาง ซี ฟู]] ([[ขุนส่า]]) กับกองทหารจีนคณะชาติ กองทัพที่ 3 และกองทัพที่ 5 ซึ่งในความเข้าใจของคนไทยโดยทั่วไป เห็นว่ากองทัพทั้งสองนี้คือกองพล 93 อาจจะกล่าวได้ว่านโยบายและการปฏิบัติของรัฐบาลต่อทหารจีนคณะชาติและจีนฮ่อ ระหว่างปี พ.ศ. 2506-2510 นั้นเป็นนโยบายคุมเชิงและควบคุมกองทหารจีนคณะชาติที่ตกค้างในประเทศไทย ซึ่งไม่ได้กลับประเทศไต้หวันตามโครงการส่งกลับในรอบที่สองในปี พ.ศ. 2504 ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2513 บก. ทหารสูงสุดส่วนหน้าได้เปิดประชุมปัญหาทหารจีนคณะชาติที่ยังตกค้างอยู่ในประเทศไทย โดยมี [[พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์]]เป็นประธาน เนื้อหาในการประชุมคือ การที่ทหารจีนคณะชาติเป็นปัญหาเรื้อรังนานถึง 21 ปี ถึงแม้จะมีการอพยพแล้วสองครั้งคือ พ.ศ. 2496 และ พ.ศ. 2504 แต่ก็ยังพบว่ามีทหารจีนคณะชาติตกค้างอยู่ในชายแดนภาคเหนือของประเทศไทยเป็นจำนวนมาก<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 124-125.</ref> | นโยบายต่อมาหลังจากปี พ.ศ. 2510 เป็นต้นมารัฐบาลมีนโยบายที่คุมเข้มต่อกลุ่มทหารจีนคณะชาติ เนื่องจากว่าในพื้นที่ชายแดนลาวกับเขตอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่ที่เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่ม[[จีนฮ่อ]] นำโดย [[ขุนส่า|จาง ซี ฟู]] ([[ขุนส่า]]) กับกองทหารจีนคณะชาติ กองทัพที่ 3 และกองทัพที่ 5 ซึ่งในความเข้าใจของคนไทยโดยทั่วไป เห็นว่ากองทัพทั้งสองนี้คือกองพล 93 อาจจะกล่าวได้ว่านโยบายและการปฏิบัติของรัฐบาลต่อทหารจีนคณะชาติและจีนฮ่อ ระหว่างปี พ.ศ. 2506-2510 นั้นเป็นนโยบายคุมเชิงและควบคุมกองทหารจีนคณะชาติที่ตกค้างในประเทศไทย ซึ่งไม่ได้กลับประเทศไต้หวันตามโครงการส่งกลับในรอบที่สองในปี พ.ศ. 2504 ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2513 บก. ทหารสูงสุดส่วนหน้าได้เปิดประชุมปัญหาทหารจีนคณะชาติที่ยังตกค้างอยู่ในประเทศไทย โดยมี [[พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์]]เป็นประธาน เนื้อหาในการประชุมคือ การที่ทหารจีนคณะชาติเป็นปัญหาเรื้อรังนานถึง 21 ปี ถึงแม้จะมีการอพยพแล้วสองครั้งคือ พ.ศ. 2496 และ พ.ศ. 2504 แต่ก็ยังพบว่ามีทหารจีนคณะชาติตกค้างอยู่ในชายแดนภาคเหนือของประเทศไทยเป็นจำนวนมาก<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 124-125.</ref> | ||
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2513 หลังจากที่มีการประชุมในเดือนกันยายน ปีเดียวกันได้มีมติให้กองบัญชาการทหารสูงสุดเข้าควบคุม เคลื่อนย้ายกำลังบางส่วนไปจัดตั้งหมู่บ้านผู้อพยพที่หมู่บ้านผาตั้ง บนดอยผาหม่น และที่บ้านแม่แอบ บนดอยหลวง ทั้งนี้มติดังกล่าวได้อนุญาตให้กองทหารจีนคณะชาติที่ตกค้างมีอาวุธป้องกันตนเองได้ไประยะหนึ่งก่อน นอกจากนี้แล้วรัฐบาลไทยในช่วงเวลาดังกล่าวได้ยอมรับสถานะของกองกำลังจีนคณะชาติที่ตกค้างให้อยู่ในสถานะผู้อพยพ รวมถึงจัดสถานที่พักให้เป็นหลักแหล่ง อีกทั้งมีการพัฒนาอาชีพและความรู้โดยอบู่ภายใต้การดูแลของกองบัญชาการทหารสูงสุด<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 125.</ref> นอกจากนี้แล้ว ทาง[[รัฐบาล]]ไทยในช่วงปี พ.ศ. 2515 ได้เล็งเห็นว่าควรให้กองทัพไทยควบคุมผู้อพยพแทน โดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด และการกำหนดที่อยู่ ตลอดจนถึงเรื่องของอาชีพที่สามารถเลี้ยงตนเองได้ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2515 รัฐบาลได้มีคำสั่งฝ่ายรักษาความมั่นคงแห่งชาติเรื่องการกำหนดที่อยู่ การพัฒนาอาชีพของกองทหารจีนคณะชาติอพยพ และครอบครัว รวมถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับหมู่บ้าน<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 283.</ref> และในเวลาต่อมากองทหารจีนคณะชาติดังกล่าวได้แปรสภาพกลายเป็นพลเรือนและจัดตั้งหมู่บ้านจำนวน 13 หมู่บ้านด้วยกัน ซึ่งอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดแม่ฮ่องสอน ในขณะเดียวกันรัฐบาลไทยติดต่อเจรจากับรัฐบาลไต้หวันในเรื่องการส่งกองทหารจีนคณะชาติตกค้างกลับ | |||
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2513 หลังจากที่มีการประชุมในเดือนกันยายน ปีเดียวกันได้มีมติให้กองบัญชาการทหารสูงสุดเข้าควบคุม เคลื่อนย้ายกำลังบางส่วนไปจัดตั้งหมู่บ้านผู้อพยพที่หมู่บ้านผาตั้ง บนดอยผาหม่น และที่บ้านแม่แอบ บนดอยหลวง ทั้งนี้มติดังกล่าวได้อนุญาตให้กองทหารจีนคณะชาติที่ตกค้างมีอาวุธป้องกันตนเองได้ไประยะหนึ่งก่อน นอกจากนี้แล้วรัฐบาลไทยในช่วงเวลาดังกล่าวได้ยอมรับสถานะของกองกำลังจีนคณะชาติที่ตกค้างให้อยู่ในสถานะผู้อพยพ รวมถึงจัดสถานที่พักให้เป็นหลักแหล่ง อีกทั้งมีการพัฒนาอาชีพและความรู้โดยอบู่ภายใต้การดูแลของกองบัญชาการทหารสูงสุด<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 125.</ref> นอกจากนี้แล้ว | |||
ในหมู่บ้านของกองกำลังทหารจีนคณะชาติตกค้างนั้น มีการตั้งโรงเรียนการสอนภาษาจีนที่ดอยแม่สะลอง โดยที่ชุมชนเป็นผู้จัดการศึกษาให้กับบุตรหลานของกองทหารจีนคณะชาติอพยพ โรงเรียนสอนภาษาจีนนี้สร้างเป็นเหมือนโรงเรียนประจำ มีหอพักนักเรียนชาย และนักเรียนหญิง นอกจานี้ยังเปิดโอกาสให้มีนักเรียนจากต่างถิ่นเข้ามาเรียนร่วมด้วย<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 248.</ref> ในปี พ.ศ. 2518 รัฐบาลได้มีมติเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กที่เป็นบุตรหลานของกองทหารจีนคณะชาติ และจีนฮ่ออพยพโดยอนุโลมให้เด็กสามารถเข้าศึกษาในโรงเรียนของรัฐบาลและเอกชน ด้วยเหตุนี้ขึงมีการตั้งโรงเรียนราษฎรขึ้นในพื้นที่พร้อมทั้งมีการคัดเลือกเด็กชาวจีนที่เป็นชายจากหมู่บ้านดอยแม่สะลอง และถ้ำง็อบเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนชาวไทยภูเขาที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งยังมีการสอนภาษาไทยให้กับลูกหลานของกองทหารจีนคณะชาติอพยพ นอกจานี้แล้ว กองบัญชาการทหารสูงสุดได้เสนอให้สัญชาติไทยแก่บุคคลเหล่านี้ โดยที่คณะรัฐมนตรีมีมติในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 โดยจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อพิจารณาให้สัญชาติแก่อดีตทหารจีนคณะชาติ<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 306-307.</ref> | ในหมู่บ้านของกองกำลังทหารจีนคณะชาติตกค้างนั้น มีการตั้งโรงเรียนการสอนภาษาจีนที่ดอยแม่สะลอง โดยที่ชุมชนเป็นผู้จัดการศึกษาให้กับบุตรหลานของกองทหารจีนคณะชาติอพยพ โรงเรียนสอนภาษาจีนนี้สร้างเป็นเหมือนโรงเรียนประจำ มีหอพักนักเรียนชาย และนักเรียนหญิง นอกจานี้ยังเปิดโอกาสให้มีนักเรียนจากต่างถิ่นเข้ามาเรียนร่วมด้วย<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 248.</ref> ในปี พ.ศ. 2518 รัฐบาลได้มีมติเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กที่เป็นบุตรหลานของกองทหารจีนคณะชาติ และจีนฮ่ออพยพโดยอนุโลมให้เด็กสามารถเข้าศึกษาในโรงเรียนของรัฐบาลและเอกชน ด้วยเหตุนี้ขึงมีการตั้งโรงเรียนราษฎรขึ้นในพื้นที่พร้อมทั้งมีการคัดเลือกเด็กชาวจีนที่เป็นชายจากหมู่บ้านดอยแม่สะลอง และถ้ำง็อบเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนชาวไทยภูเขาที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งยังมีการสอนภาษาไทยให้กับลูกหลานของกองทหารจีนคณะชาติอพยพ นอกจานี้แล้ว กองบัญชาการทหารสูงสุดได้เสนอให้สัญชาติไทยแก่บุคคลเหล่านี้ โดยที่คณะรัฐมนตรีมีมติในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 โดยจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อพิจารณาให้สัญชาติแก่อดีตทหารจีนคณะชาติ<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 306-307.</ref> | ||
รัฐบาลไทยในปี พ.ศ. 2527 ได้มีการพิจารณาสาระสำคัญของสถานะภาพของกองทหารจีนคณะชาติหรือกองพล 93 ที่คนไทยเรียก การให้สัญชาติไทยต่อกลุ่มผู้อพยพอดีตกองทหารจีนคณะชาติให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องพิจารณาในเรื่องนี้ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยไม่กระทำในลักษณะกรณีพิเศษเช่นที่เคยปฏิบัติมา ทั้งในระยะก่อนที่จะให้สถานภาพคนต่างด้าวและหลักจากได้รับสถานะต่างด้าวแล้ว รวมทั้งก่อนที่จะแปลงสัญชาติเป็นคนไทย ทั้งนี้โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการแปลงสัญชาติในการแปลงสัญชาติแทนกองกองบัญชาการทหารสูงสุดที่เป็นหน่วยงานหลัก<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 131</ref>. ซึ่ง พื้นที่บางส่วนเช่น บ้านเปียงหลวง บ้านถ้ำง็อบ อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่บนดอยแม่สะลอง บ้านแม่แอบ บ้านผาตั้ง จังหวัดเชียงราย ส่วนที่บ้านหัวลาง และบ้านนาป่าแปก จังหวัดแม่ฮ่องสอน กลายเป็นหมู่บ้านที่อยู่อาศัยของอดีตกองทหารจีนคณะชาติ หรือกองพล 93 และ[[จีนฮ่อ]]อพยพในปัจจุบันนี้ | รัฐบาลไทยในปี พ.ศ. 2527 ได้มีการพิจารณาสาระสำคัญของสถานะภาพของกองทหารจีนคณะชาติหรือกองพล 93 ที่คนไทยเรียก การให้สัญชาติไทยต่อกลุ่มผู้อพยพอดีตกองทหารจีนคณะชาติให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องพิจารณาในเรื่องนี้ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยไม่กระทำในลักษณะกรณีพิเศษเช่นที่เคยปฏิบัติมา ทั้งในระยะก่อนที่จะให้สถานภาพคนต่างด้าวและหลักจากได้รับสถานะต่างด้าวแล้ว รวมทั้งก่อนที่จะแปลงสัญชาติเป็นคนไทย ทั้งนี้โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการแปลงสัญชาติในการแปลงสัญชาติแทนกองกองบัญชาการทหารสูงสุดที่เป็นหน่วยงานหลัก<ref>กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 131</ref>. ซึ่ง พื้นที่บางส่วนเช่น บ้านเปียงหลวง บ้านถ้ำง็อบ อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่บนดอยแม่สะลอง บ้านแม่แอบ บ้านผาตั้ง จังหวัดเชียงราย ส่วนที่บ้านหัวลาง และบ้านนาป่าแปก จังหวัดแม่ฮ่องสอน กลายเป็นหมู่บ้านที่อยู่อาศัยของอดีตกองทหารจีนคณะชาติ หรือกองพล 93 และ[[จีนฮ่อ]]อพยพในปัจจุบันนี้ | ||
บรรทัดที่ 50: | บรรทัดที่ 40: | ||
<references/> | <references/> | ||
[[category:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2475-2500]] | |||
[[category:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 13:44, 16 ตุลาคม 2557
ผู้เรียบเรียง นิติยาภรณ์ และ รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
ความเป็นมา
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองได้สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1945 สภาพทางการเมืองของเหล่าประเทศทั้งหลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เข้าสู่ยุคของการกลับเข้ามาของเจ้าอาณานิคมเดิมอีกครั้ง หากแต่ในครั้งนี้ ดินแดนที่ตกเป็นอาณานิคมได้สร้างกระบวนการต่อรองอำนาจกับบรรดาประเทศเจ้าอาณานิคมเดิม รวมไปถึงการเรียกร้องการปกครองตนเอง และขยายวงไปสู่การเรียกร้องเอกราชในที่สุด
อย่างไรก็ตามบรรดาดินแดนที่ถือว่ามีความสำคัญยิ่งต่อชาวตะวันตกคือ จีน ทั้งนี้ จีนถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่และเส้นทางยุทธศาสตร์ทางการทหาร และการรบระหว่างญี่ปุ่นกับฝ่ายของ สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ เมื่อสงครามโลกครั้งสองสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2488 สถานการณ์ในจีนในช่วงเวลาหลังจากนั้นได้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ในปี พ.ศ. 2492 พรรคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะเหนือพรรคก๊ก มิน ตั๋ง โดยมีนายพล เจียง ไค เช็ค เป็นผู้นำในขณะนั้น ทำให้จีนจึงอยู่ภายใต้การปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์
เนื่องจากสภาพการณ์ดังกล่าวมาข้างต้นทำให้นายพล เจียง ไค เช็ค จำเป็นต้องถอยไปตั้งรัฐบาลใหม่ยังเกาะฟอร์โมซา (ประเทศไต้หวันในปัจจุบัน)[1] อย่างไรก็ตาม ก๊ก มิน ตั๋ง ได้วางกำลังของตนเองไว้ที่มณฑลยูนนาน 2 กองทัพด้วยกันคือ กองทัพที่ 8 และกองทัพที่ 26 ซึ่งแต่ละกองทัพประกอบด้วย 2 กองพล โดยที่กองพล 93 เป็นหน่วยหนึ่งที่ขึ้นตรงต่อกองทัพที่ 26[2] ทำหน้าที่ดูแลพื้นที่ดังกล่าวไว้เพื่อป้องกันไม่ให้กองกำลังของอีกฝ่ายไล่ตามกองกำลังที่เคลื่อนย้ายไปยังเกาะฟอร์โมซาได้ทัน ในเวลาต่อมากองทัพที่ 8 และกองทัพที่ 26 ก็ถูกกองทัพของฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์ตีแตกพ่ายและถอยลงมายังพื้นที่พม่าตอนบนใกล้กับพรมแดนมณฑลยูนนานของจีน กองทัพที่ 26 ได้ถูกกองกำลังของจีนคอมมิวนิสต์ตีแตกพ่ายอีกครั้งและได้ถอยร่นไปยังลาวและเวียดนาม อีกส่วนก็ถอยเข้ามายังรัฐฉานของประเทศพม่า[3] ผ่านทางรัฐฉานด้านเมืองเชียงตุง แล้วผ่านมาทางขี้เหล็กของประเทศไทย โดยมีกำลังประมาณ 1,700 คน[4] จำนวนทหารที่อยู่ในส่วนนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นกำลังพลที่มาจากหน่วยกองพล 93 ในปี พ.ศ. 2493 เป็นต้นมา พม่าได้ทำการผลักดันกองกำลังของกองทัพที่ 26 ออกจากประเทศพม่า และส่วนหนึ่งเข้ามายังชายแดนไทย อย่างไรก็ดี สถานการณ์การเมืองที่เกาหลีนั้นได้สร้างความกังวลต่อนานาประเทศเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจาก[สงครามเกาหลี|[เกาหลีเหนือบุกเกาหลีใต้]]ในปีพ.ศ. 2493 ทำให้สหรัฐอเมริกาเกิดความวิตกกังวลต่อสถานการณ์การแพร่กระจายของคอมมิวนิสต์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีการสร้างแนวยับยั้งคอมมิวนิสต์จากธิเบตถึงประเทศไทย และในขณะเดียวกันก็สนับสนุนทหารจีนคณะชาติในการบุกคืนสู่จีน[5]
กองพล 93 ใหม่นี้ เกิดขึ้นภายใต้การนิยามโดยพล หลี่ เหวิน ฝาน ได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวนี้ว่า
- if:
border: 1px solid #AAAAAA;
}}" class="cquote" |
width="20" valign="top" style="color:#B2B7F2;font-size:{{#switch: | 10px=20px | 30px=60px | 40px=80px | 50px=100px | 60px=120px | “ | “...กองพล 93 นั้นเป็นชื่อของกองพลหนึ่งในกองทัพแห่งชาติของจีน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ... เมื่อเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 กองพล 93 ถูกถอนกลับหมด ... ข้าพเจ้าไม่เคยเป็นทหารประจำการอาชีพ แต่พวกข้าพเจ้าเป็นเพียงอาสาสมัคร เพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตน...” | width="20" valign="bottom" style="color:#B2B7F2;font-size:{{#switch: | 10px=20px | 30px=60px | 40px=80px | 50px=100px | 60px=120px | ” |
{{#if:| —{{{4}}}{{#if:|, {{{5}}}}} }}}} |
กองพล 93 ใหม่นี้ได้ขยายกำลังเป็นกองทัพกู้ชาติ โดยมีนายพล หลี่ มี่ เป็นผู้บัญชาการ และมีกองกำลังสนับสนุนของหน่วยข่างกรองกลางของสหรัฐอเมริกา ในเวลาต่อมาได้มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเหล่าทหารปืนใหญ่และเหล่าเทคนิค โดยจัดตั้งขึ้นที่บ้านปงป่าแขมใกล้กับชายแดนไทย คือ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งยังเป็นเส้นทางในการส่งกำลังบำรุงอีกเส้นทางหนึ่งที่นอกเหนือจากเส้นทางด้านท่าตอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่[7] ในปี พ.ศ. 2496 คณะกรรมการ 4 ชาติ กำหนดให้มีการถอนกำลังทหารของจีนคณะชาติกลับไต้หวัน หลังจากปี พ.ศ. 2504 เมื่อกองบัญชาการกองทัพสนามร่วมของนายพล หลิว เหยี่ยน หลิง ที่เมืองเชียงลับ ถูกทหารผสม จีน-พม่า บุกเข้าทำลาย ทำให้ทหารจีนคณะชาติที่อยู่ในบริเวณของรัฐฉานไม่มีฐานที่มั่น ทำให้อพยพเข้ามาสู้ประเทศไทย[8]
นโยบายของไทยต่อการอพยพของกองกำลังทหารจีนคณะชาติ
นโยบายของรัฐบาลไทยที่มีต่อการอพยพเข้ามาของกองกำลังทหารจีนคณะชาตินั้นดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง นโยบายของรัฐบาลไทยก่อนและหลังจากปีพ.ศ. 2501 เป็นต้นมา ได้มีการดำเนินการส่งทหารจีนคณะชาติกลับไต้หวันครั้งแรกในปี พ.ศ. 2496 และครั้งที่สอง คือ พ.ศ. 2504
อย่างไรก็ดี ในเดือนมีนาคมปีเดียวกันนี้เอง รัฐบาลไทยภายใต้การนำของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ประกาศเจตนาที่จะปฏิบัติการตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด และได้ยื่นคำขาดให้กองทหารจีนคณะชาติออกจากเขตแดนไทยภายใน 3 วัน อีกทั้งได้เตรียมกำลังเคลื่อนย้ายออกไป ในปี พ.ศ. 2505 ได้มีกองทหารจีนคณะชาติล้ำแดนเข้ามายังประเทศไทยจำนวนมาก อีกทั้งได้ตั้งฐานที่มั่นอยู่ในเขตแดนของไทย ทำให้รัฐบาลต้องประกาศนโยบายให้ปฏิบัติต่อกองทหารจันคณะชาติตามที่ได้ทำตาม[9] ได้มีการดำเนินการทางการเมืองโดยที่ทางรัฐบาลไทยพยายามเจรจากับรัฐบาลของจีนและการทหารโดยการผลักดันให้ออกนอกประเทศ โดยจะมีการปลดอาวุธและควบคุมตัวหากไม่เดินทางออกไป[10]
อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 2506 รัฐบาลไทยได้มีมาตราการที่ใช้กับทหารจีนคณะชาติคือการดำเนินการติดต่อกับสถานฑูตของจีนอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องการควบคุม และไม่ใช้เจ้าหน้าที่รัฐบาลติดต่อกับหน่วยทหารโดยตรง เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นการรับรองฐานะของกองทหารจีนคณะชาติ ทำการปราบปรามยาเสพติด เส้นทางการลำเลียงโดยดำเนินการเป็นครั้งคราว หรือในกรณีเคลื่อนย้ายอาวุธ อันอาจเป็นภัยต่อประเทศ และดำเนินการปราบปรามและจับกุมตามความเหมาะสม[11] นอกจากนี้แล้ว ตั้งแต่หลังปี พ.ศ. 2506 เป็นต้นมา กองกำลังทหารจีนคณะชาติกองทัพที่ 3 และ 5 เข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการเป็นการถาวรอยู่ตามบริเวณชายแดนไทย อีกทั้งหน่วยข่าวกรองของพรรคก๊ก มิน ตั๋ง ได้เข้ามาใช้พื้นที่ของประเทศไทยในการหาข่าว[12]
นโยบายต่อมาหลังจากปี พ.ศ. 2510 เป็นต้นมารัฐบาลมีนโยบายที่คุมเข้มต่อกลุ่มทหารจีนคณะชาติ เนื่องจากว่าในพื้นที่ชายแดนลาวกับเขตอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่ที่เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มจีนฮ่อ นำโดย จาง ซี ฟู (ขุนส่า) กับกองทหารจีนคณะชาติ กองทัพที่ 3 และกองทัพที่ 5 ซึ่งในความเข้าใจของคนไทยโดยทั่วไป เห็นว่ากองทัพทั้งสองนี้คือกองพล 93 อาจจะกล่าวได้ว่านโยบายและการปฏิบัติของรัฐบาลต่อทหารจีนคณะชาติและจีนฮ่อ ระหว่างปี พ.ศ. 2506-2510 นั้นเป็นนโยบายคุมเชิงและควบคุมกองทหารจีนคณะชาติที่ตกค้างในประเทศไทย ซึ่งไม่ได้กลับประเทศไต้หวันตามโครงการส่งกลับในรอบที่สองในปี พ.ศ. 2504 ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2513 บก. ทหารสูงสุดส่วนหน้าได้เปิดประชุมปัญหาทหารจีนคณะชาติที่ยังตกค้างอยู่ในประเทศไทย โดยมี พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์เป็นประธาน เนื้อหาในการประชุมคือ การที่ทหารจีนคณะชาติเป็นปัญหาเรื้อรังนานถึง 21 ปี ถึงแม้จะมีการอพยพแล้วสองครั้งคือ พ.ศ. 2496 และ พ.ศ. 2504 แต่ก็ยังพบว่ามีทหารจีนคณะชาติตกค้างอยู่ในชายแดนภาคเหนือของประเทศไทยเป็นจำนวนมาก[13]
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2513 หลังจากที่มีการประชุมในเดือนกันยายน ปีเดียวกันได้มีมติให้กองบัญชาการทหารสูงสุดเข้าควบคุม เคลื่อนย้ายกำลังบางส่วนไปจัดตั้งหมู่บ้านผู้อพยพที่หมู่บ้านผาตั้ง บนดอยผาหม่น และที่บ้านแม่แอบ บนดอยหลวง ทั้งนี้มติดังกล่าวได้อนุญาตให้กองทหารจีนคณะชาติที่ตกค้างมีอาวุธป้องกันตนเองได้ไประยะหนึ่งก่อน นอกจากนี้แล้วรัฐบาลไทยในช่วงเวลาดังกล่าวได้ยอมรับสถานะของกองกำลังจีนคณะชาติที่ตกค้างให้อยู่ในสถานะผู้อพยพ รวมถึงจัดสถานที่พักให้เป็นหลักแหล่ง อีกทั้งมีการพัฒนาอาชีพและความรู้โดยอบู่ภายใต้การดูแลของกองบัญชาการทหารสูงสุด[14] นอกจากนี้แล้ว ทางรัฐบาลไทยในช่วงปี พ.ศ. 2515 ได้เล็งเห็นว่าควรให้กองทัพไทยควบคุมผู้อพยพแทน โดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด และการกำหนดที่อยู่ ตลอดจนถึงเรื่องของอาชีพที่สามารถเลี้ยงตนเองได้ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2515 รัฐบาลได้มีคำสั่งฝ่ายรักษาความมั่นคงแห่งชาติเรื่องการกำหนดที่อยู่ การพัฒนาอาชีพของกองทหารจีนคณะชาติอพยพ และครอบครัว รวมถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับหมู่บ้าน[15] และในเวลาต่อมากองทหารจีนคณะชาติดังกล่าวได้แปรสภาพกลายเป็นพลเรือนและจัดตั้งหมู่บ้านจำนวน 13 หมู่บ้านด้วยกัน ซึ่งอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดแม่ฮ่องสอน ในขณะเดียวกันรัฐบาลไทยติดต่อเจรจากับรัฐบาลไต้หวันในเรื่องการส่งกองทหารจีนคณะชาติตกค้างกลับ
ในหมู่บ้านของกองกำลังทหารจีนคณะชาติตกค้างนั้น มีการตั้งโรงเรียนการสอนภาษาจีนที่ดอยแม่สะลอง โดยที่ชุมชนเป็นผู้จัดการศึกษาให้กับบุตรหลานของกองทหารจีนคณะชาติอพยพ โรงเรียนสอนภาษาจีนนี้สร้างเป็นเหมือนโรงเรียนประจำ มีหอพักนักเรียนชาย และนักเรียนหญิง นอกจานี้ยังเปิดโอกาสให้มีนักเรียนจากต่างถิ่นเข้ามาเรียนร่วมด้วย[16] ในปี พ.ศ. 2518 รัฐบาลได้มีมติเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กที่เป็นบุตรหลานของกองทหารจีนคณะชาติ และจีนฮ่ออพยพโดยอนุโลมให้เด็กสามารถเข้าศึกษาในโรงเรียนของรัฐบาลและเอกชน ด้วยเหตุนี้ขึงมีการตั้งโรงเรียนราษฎรขึ้นในพื้นที่พร้อมทั้งมีการคัดเลือกเด็กชาวจีนที่เป็นชายจากหมู่บ้านดอยแม่สะลอง และถ้ำง็อบเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนชาวไทยภูเขาที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งยังมีการสอนภาษาไทยให้กับลูกหลานของกองทหารจีนคณะชาติอพยพ นอกจานี้แล้ว กองบัญชาการทหารสูงสุดได้เสนอให้สัญชาติไทยแก่บุคคลเหล่านี้ โดยที่คณะรัฐมนตรีมีมติในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 โดยจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อพิจารณาให้สัญชาติแก่อดีตทหารจีนคณะชาติ[17]
รัฐบาลไทยในปี พ.ศ. 2527 ได้มีการพิจารณาสาระสำคัญของสถานะภาพของกองทหารจีนคณะชาติหรือกองพล 93 ที่คนไทยเรียก การให้สัญชาติไทยต่อกลุ่มผู้อพยพอดีตกองทหารจีนคณะชาติให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องพิจารณาในเรื่องนี้ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยไม่กระทำในลักษณะกรณีพิเศษเช่นที่เคยปฏิบัติมา ทั้งในระยะก่อนที่จะให้สถานภาพคนต่างด้าวและหลักจากได้รับสถานะต่างด้าวแล้ว รวมทั้งก่อนที่จะแปลงสัญชาติเป็นคนไทย ทั้งนี้โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการแปลงสัญชาติในการแปลงสัญชาติแทนกองกองบัญชาการทหารสูงสุดที่เป็นหน่วยงานหลัก[18]. ซึ่ง พื้นที่บางส่วนเช่น บ้านเปียงหลวง บ้านถ้ำง็อบ อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่บนดอยแม่สะลอง บ้านแม่แอบ บ้านผาตั้ง จังหวัดเชียงราย ส่วนที่บ้านหัวลาง และบ้านนาป่าแปก จังหวัดแม่ฮ่องสอน กลายเป็นหมู่บ้านที่อยู่อาศัยของอดีตกองทหารจีนคณะชาติ หรือกองพล 93 และจีนฮ่ออพยพในปัจจุบันนี้
อ้างอิง
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, พ.อ., ก๊กมินตั๋ง ทหารจีนคณะชาติตกค้างภาคเหนือประเทศไทย (เชียงใหม่: สยามรัตน พริ้นติ้ง, 2546), หน้า 29
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 29.
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 29.
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, บทนำ.
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 34.
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 39.
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 41.
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 7, 53.
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 101.
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 99.
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 103.
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 106.
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 124-125.
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 125.
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 283.
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 248.
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 306-307.
- ↑ กาญจนะ ประกาศวุฒิสาร, เืรื่องเดียวกัน, หน้า 131