การถอดถอน
ผู้เรียบเรียง : นายเชษฐา ทองยิ่ง
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง
การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยหรืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยประชาชนจะใช้สิทธิของตนผ่านกระบวนการทางการเมืองเพื่อมอบอำนาจของตนให้แก่บุคคลเข้าไปดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ในการบริหารปกครองประเทศ หากบุคคลเหล่านั้นใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิดกฎหมาย หรือมิได้ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนผู้มอบอำนาจ หรือมีพฤติการณ์ที่ ไม่เหมาะสมต่อการดำรงตำแหน่งหน้าที่แล้ว ประชาชนสามารถเรียกอำนาจหรือทวงสิทธิคืนจากบุคคลที่ตนได้มอบอำนาจให้ไปนั้นได้ โดยกระบวนการที่เรียกว่า “การถอดถอน” เพื่อให้บุคคลนั้นพ้นจากตำแหน่งก่อนที่จะครบวาระดำรงตำแหน่ง
ความหมายของการถอดถอน
“การถอดถอน” มีความหมายตรงกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษอยู่หลายคำ แต่ที่นิยมนำมาใช้กันมากในทางการเมืองการปกครอง ได้แก่ คำว่า “recall” หมายถึง การถอดถอน การเรียกกลับหรือการเอากลับคืน และคำว่า “Impeachment” ซึ่งหมายถึง การกล่าวหาหรือการกล่าวโทษเจ้าหน้าที่รัฐว่ากระทำผิด และได้มีการให้ความหมายเพิ่มเติม อาทิ
“recall” เป็นการถอดถอนผู้ได้รับการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นกระบวนการที่เปิดโอกาสให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งตามจำนวนที่กำหนดสามารถออกเสียงถอดถอนผู้ได้รับการเลือกตั้งให้พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระได้ หากมีการกระทำที่ไม่เหมาะสม หรือกระทำผิดตามที่กฎหมายกำหนดไว้”[1]
“Impeachment” เป็นวิธีการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญโดยกำหนดให้มีการร้องเรียนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และประชาชนตามจำนวนที่กำหนด และให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นผู้ไต่สวน รวมสำนวนส่งฟ้องคดีไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และส่งเรื่องที่ได้ไต่สวนแล้วนั้นไปยังวุฒิสภาให้ลงมติถอดถอน...[2] หรือ “การถอดถอนออกจากตำแหน่ง” เป็นการลงโทษทางการเมืองซึ่งถือว่าหนักที่สุดที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือ ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงได้รับ เมื่อถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทำการไต่สวนแล้วสรุปว่าข้อกล่าวหามีมูล จากนั้นก็เป็นเรื่องที่วุฒิสภาจะลงมติถอดถอน...[3]
หากพิจารณาความหมายของคำว่า “Recall” จะมีความหมายสอดคล้องกับกระบวนการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งระดับท้องถิ่นของไทย กล่าวคือประชาชนสามารถเข้าชื่อร้องขอเพื่อให้มีการลงคะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นและยังสามารถใช้สิทธิลงคะแนนเสียงถอดถอนได้ด้วย ส่วนคำว่า “Impeachment” จะสอดคล้องกับกระบวนการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งระดับชาติของไทย ซึ่งต้องกระทำผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีจำนวนตามที่กฎหมายกำหนดร่วมเข้าชื่อกล่าวโทษหรือกล่าวหาบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งว่ากระทำความผิดหรือใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ ฯลฯ และร้องขอไปยังวุฒิสภาเพื่อมีมติถอดถอนบุคคลผู้นั้นออกจากตำแหน่ง ซึ่งประชาชนจะไม่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนบุคคลนั้นออกจากตำแหน่งได้โดยตรงเหมือนในระดับท้องถิ่น เพราะอำนาจที่จะถอดถอนหรือไม่นั้นอยู่ที่วุฒิสภา
ความเป็นมาของการถอดถอน
แนวคิดเกี่ยวกับการถอดถอนหรือให้บุคคลพ้นจากตำแหน่งเริ่มมีมานานแล้ว ซึ่งต่อมาประเทศอังกฤษได้นำมาปรับใช้เป็นกระบวนการกล่าวหาบุคคลที่ใช้อำนาจในทางทุจริตประพฤติมิชอบหรือกระทำการขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศ โดยรัฐสภาของอังกฤษได้นำมาบังคับใช้และปฏิบัติติดต่อกันมาจนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ประการหนึ่งของรัฐสภา แนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นในสมัยที่พระมหากษัตริย์ของอังกฤษทรงมีพระราชอำนาจมากในการบริหารปกครองประเทศ สามารถแต่งตั้งรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา แต่ขึ้นอยู่กับพระมหากษัตริย์เท่านั้น ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้สมาชิกรัฐสภาเกิดความไม่พอใจและ เกิดความขัดแย้งขึ้น รัฐสภาโดยสภาสามัญได้ใช้อำนาจฟ้องร้องกล่าวโทษรัฐมนตรีที่ประพฤติผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ต่อสภาขุนนางเพื่อพิจารณาโทษ เมื่อสภาขุนนางพิจารณาแล้วได้มีการพิพากษาลงโทษปรับและจำคุก พร้อมทั้งถอดถอนออกจากตำแหน่งหน้าที่ วิธีการเช่นนี้เรียกว่า “อิมพีชเมนต์ (Impeachment)” ซึ่งต่อมาแนวคิดนี้ได้แพร่หลายไปยังประเทศต่างๆ อย่างเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่บ่อยครั้งมักมีผู้เข้าใจว่า Impeachment นั้นเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้อาจด้วยสาเหตุว่า Impeachment ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกานั้นมีการวางรูปแบบกระบวนการหรือวิธีการที่ดีและมีการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังปรากฏว่าประเทศสหรัฐอเมริกา มีการดำเนินการตามกระบวนการของ Impeachment อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะการกล่าวหาหรือกล่าวโทษประธานาธิบดีผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดทางฝ่ายบริหารของประเทศ[4]
สำหรับแนวคิดเกี่ยวกับการถอดถอนหรือให้บุคคลพ้นจากตำแหน่งในประเทศไทยนั้น เริ่มบัญญัติไว้ตั้งแต่รัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับแรกเป็นต้นมา แต่เป็นไปในลักษณะของการให้สมาชิกของสภาควบคุมกันเองและจำกัดเฉพาะการถอดถอนสมาชิกของสภาและฝ่ายบริหารเท่านั้น ยังไม่ครอบคลุมถึงผู้ดำรงตำแหน่งอื่นๆ อีกทั้งกระบวนการถอดถอนจะกระทำผ่านสมาชิกของสภาที่เป็นตัวแทนของประชาชนเท่านั้น อย่างเช่น พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 มาตรา 9 บัญญัติว่า “สภาผู้แทนราษฎร...มีอำนาจประชุมกันเพื่อถอดถอนกรรมการราษฎรหรือพนักงานรัฐบาลผู้หนึ่งผู้ใดก็ได้”[5] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 ได้มีบทบัญญัติชัดเจนขึ้นในมาตรา 21(5) บัญญัติว่า “สมาชิกภาพแห่งสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงเมื่อสภาผู้แทนราษฎรวินิจฉัยให้ออกจากตำแหน่งโดยเห็นว่ามีความประพฤติในทางจะนำความเสื่อมเสียแก่สภา...” และมาตรา 41 บัญญัติว่า “สภาย่อมทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะลงมติความไว้วางใจในรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ”[6] ซึ่งทั้ง 2 กรณีดังกล่าวถือเป็นลักษณะการถอดถอนบุคคล ซึ่งได้บัญญัติทำนองเดียวกันในรัฐธรรมนูญฉบับต่อมาทุกฉบับ และ เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 นอกจากจะมีบทบัญญัติใน 2 กรณีดังกล่าวแล้ว ยังบัญญัติเพิ่มเติมให้มีหมวดการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐขึ้นมาโดยเฉพาะ “การถอดถอนจากตำแหน่ง” เป็นมาตรการหนึ่งที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้ โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาและประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดสามารถเข้าชื่อร้องขอต่อวุฒิสภาซึ่งเป็นสภาสูงที่สมาชิกไม่สังกัดพรรคการเมืองเพื่อให้มีมติถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ออกจากตำแหน่ง ครอบคลุมผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งหรือข้าราชการระดับสูง นอกจากนี้ยังบัญญัติเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถเข้าชื่อร้องขอและมีสิทธิลงคะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้พ้นจากตำแหน่งได้ ซึ่งคงบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับต่อมาคือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550[7] นับว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ “ภาคประชาชน” ได้มีส่วนร่วมตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐในกระบวนการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นได้
ประเภทของการถอดถอน
หากพิจารณาจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ ที่ผ่านมา สามารถแบ่งประเภทของการถอดถอนออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
3.1 การถอดถอนทางการเมือง เช่น
(1) กรณีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีในฐานะ ฝ่ายบริหาร หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจด้วยคะแนนเสียงตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว บุคคลผู้นั้นจะต้องพ้นจากตำแหน่งไป
(2) กรณีที่สมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าชื่อร้องต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกเพื่อให้วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรวินิจฉัยว่าสมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใดกระทำการหรือ มีพฤติการณ์อันเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือไม่เหมาะสมกับการดำรงตำแหน่งนั้นๆ เมื่อวุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรมีมติด้วยคะแนนเสียงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ สมาชิกผู้นั้นจะต้องพ้นจากสมาชิกภาพไป
(3) กรณีที่วุฒิสภามีมติถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ออกจากตำแหน่ง หรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นลงคะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นออกจากตำแหน่ง
(4) กรณีที่พรรคการเมืองมีมติด้วยคะแนนเสียงตามที่กฎหมายกำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ้นจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิก สมาชิกผู้นั้นต้องพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้น
3.2 การถอดถอนทางกฎหมาย ได้แก่ กรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ทำให้บุคคลผู้นั้นขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายกำหนด เป็นผลให้บุคคลผู้นั้นต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วยผลของกฎหมายนั้น
การถอดถอนบุคคลระดับชาติและระดับท้องถิ่น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 บัญญัติเรื่องการถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นไว้ในทำนองเดียวกัน มีสาระโดยสรุปดังนี้
4.1 ระดับชาติ กระบวนการถอดถอนจะเริ่มจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาและประชาชนผู้มี สิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อร้องขอต่อวุฒิสภาเพื่อให้มีมติถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งหรือข้าราชการระดับสูงซึ่งมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม และส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายหรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงออกจากตำแหน่ง[8]
นอกจากนี้รัฐธรรมนูญยังบัญญัติให้อำนาจวุฒิสภาในการถอดถอนกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ซึ่งเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ไต่สวนข้อกล่าวหาหรือพิจารณาชี้มูลความผิดตามที่มีผู้ร้องขอให้วุฒิสภาถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง เสมือนเป็นองค์กรที่มีอำนาจให้คุณให้โทษกับผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ จึงต้องมีกระบวนการและวิธีการถอดถอนที่พิเศษและแตกต่างจากกรณีอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อวุฒิสภาได้รับคำร้องขอจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จะพิจารณาดำเนินการโดยไม่ต้องผ่านการไต่สวนหรือพิจารณาจากองค์กรใดๆ ได้เลย และหากข้อกล่าวหานั้นมีมูล วุฒิสภาจะมีมติให้กรรมการ ปปช. นั้นพ้นจากตำแหน่งต่อไป ที่สำคัญวุฒิสภาต้องมีมติด้วยจำนวนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา[9] ซึ่งจะกระทำได้ยากกว่าหรือต้องใช้จำนวนเสียงที่มากกว่ากรณีอื่นๆ ที่มีจำนวนเสียงไม่น้อยกว่าสามในห้าเท่านั้น
4.2 ระดับท้องถิ่น กระบวนการจะเริ่มจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งที่เห็นว่าสมาชิกสภาท้องถิ่น ซึ่งได้แก่ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาเทศบาล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภาเมืองพัทยา หรือผู้บริหารท้องถิ่น ซึ่งได้แก่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและนายกเมืองพัทยา ไม่สมควรดำรงตำแหน่งต่อไป ให้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นผู้นั้นให้พ้นจากตำแหน่งได้[10]
ทั้งนี้กระบวนการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ต้องประกอบด้วย 2 ประการ คือ
(1) ต้องมีการเข้าชื่อร้องขอให้ถอดถอน โดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น มีจำนวนตามที่กฎหมายกำหนดร่วมกันเข้าชื่อร้องขอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อดำเนินการให้มีการลงคะแนนเสียง ถอดถอน ถ้าเป็นการดำเนินการในเขตกรุงเทพมหานครให้เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
(2) ต้องมีการลงคะแนนเสียงถอดถอน โดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นต้องลงคะแนนเสียงว่าจะถอดถอนหรือไม่ถอดถอน[11]
อย่างไรก็ตาม มูลเหตุที่จะมีการร้องขอให้ถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นออกจากตำแหน่งไม่ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนเหมือนกับการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในระดับชาติ แต่บัญญัติไว้เพียงว่า “สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นไม่สมควรดำรงตำแหน่งอีกต่อไป” เท่านั้น[12]
สรุป จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าการถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นยังมีความจำเป็นสำหรับการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยที่จะเป็นมาตรการควบคุมและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง ต่อไป
อ้างอิง
- ↑ ราชบัณฑิตยสถาน, 2552. พจนานุกรมศัพท์รัฐศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, หน้า 218.
- ↑ เดโช สวานานนท์, 2545. พจนานุกรมศัพท์การเมือง, กรุงเทพฯ : หน้าต่างโลกกว้าง, หน้า 23.
- ↑ คณิน บุญสุวรรณ, 2548. ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย, กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, หน้า 404-405.
- ↑ ปณิธัศร์ ปทุมวัฒน์, “The USA Impeachment Overview : ระบบการถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งของสหรัฐอเมริกา” จากเครือข่ายกฎหมายมหาชนไทย [ข้อมูลออนไลน์] เข้าถึงได้จาก http://www.pub-law.net/publaw/view.aspx?id=1684 [31 กรกฎาคม 2557].
- ↑ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475,ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 49 หน้า 166, วันที่ 27 มิถุนายน 2475, (มาตรา 9).
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 49 หน้า 529, วันที่ 10 ธันวาคม 2475, (มาตรา 21,41).
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 114 ตอนที่ 55 ก หน้า 1, วันที่ 11 ตุลาคม 2540. (มาตรา 286-287,303-307). และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอนที่ 47 ก หน้า 1, วันที่ 24 สิงหาคม 2550, (มาตรา 270-274,285-286).
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550, อ้างแล้ว, (มาตรา 270-274).
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550, อ้างแล้ว, (มาตรา 248). และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 128 ตอนที่ 26 ก หน้า 1 วันที่ 18 เมษายน 2554, (มาตรา 16).
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550,อ้างแล้ว, (มาตรา 285).
- ↑ พระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 104 ก หน้า 12 วันที่ 26 ตุลาคม 2542, (มาตรา 4).
- ↑ พระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542, อ้างแล้ว, (มาตรา 5).
หนังสือ/เอกสารแนะนำให้อ่านต่อ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540, หมวด 10 การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ส่วนที่ 3 การถอดถอนจากตำแหน่ง, มาตรา 303-307.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550, หมวด 12 การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ส่วนที่ 3 การถอดถอนจากตำแหน่ง, มาตรา 270-274.
บรรณานุกรม
คณิน บุญสุวรรณ, 2548. ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย, กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ.
เดโช สวานานนท์, 2545. พจนานุกรมศัพท์การเมือง, กรุงเทพฯ : หน้าต่างโลกกว้าง.
ปณิธัศร์ ปทุมวัฒน์, “The USA Impeachment Overview : ระบบการถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งของสหรัฐอเมริกา” จากเครือข่ายกฎหมายมหาชนไทย (ข้อมูลออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.pub-law.net/publaw/view.aspx?id=1684 [22 มกราคม 2557].
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 114 ก หน้า 1, วันที่ 17 พฤศจิกายน 2542.
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 128 ตอนที่ 26 ก หน้า 1, วันที่ 18 เมษายน 2554.
พระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 104 ก หน้า 12 วันที่ 26 ตุลาคม 2542.
พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 49 หน้า 166, วันที่ 27 มิถุนายน 2475.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 49 หน้า 529, วันที่ 10 ธันวาคม 2475.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 114 ตอนที่ 55 ก หน้า 1, วันที่ 11 ตุลาคม 2540.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอนที่ 47 ก หน้า 1, วันที่ 24 สิงหาคม 2550.
ราชบัณฑิตยสถาน, 2552. พจนานุกรมศัพท์รัฐศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์.
ดูเพิ่มเติม
รองศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ : พระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียง เพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542.
นิพัทธ์ สระฉันทพงษ์ : การถอดถอนออกจากตำแหน่ง.