ศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ


วารสารสถาบันพระปกเกล้า ปี 2546 ฉบับที่ 1


ความนำ

ในประเทศที่มีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร เป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดโครงสร้างและรูปแบบในการปกครองประเทศ ระบบการควบคุมกฎหมาย มิให้ขัดรัฐธรรมนูญ ได้ถือกำเนินขึ้นควบคู่ไปกับหลักที่ว่าด้วยความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ (supremacy of law) ในฐานะที่รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการก่อตั้งองค์กรทางการเมือง (pouvoir constituent) ซึ่งก่อตั้งระบบกฎหมายขึ้นทั้งระบบ และก่อตั้งองค์กรทั้งหลายในการใช้อำนาจทางการเมืองรัฐธรรมนูญจึงเหนือกฎหมาย และอำนาจขององค์กรทั้งหลายที่รัฐธรรมนูญจัดตั้งขึ้นไม่ว่าจะเป็นประมุขของรัฐ องค์กรนิติบัญญัติ องค์กรบริหาร และองค์กรตุลาการ องค์กรเหล่านี้จึงเป็นองค์กรที่ได้รับมอบอำนาจ (pouvoir constituent) มาจากรัฐธรรมนูญ หรือจากอำนาจสูงสุดในการก่อตั้งองค์กรทางการเมืองทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ เมื่อรัฐธรรมนูญมีสถานะเป็นกฎหมายหรือกฎเกณฑ์สูงสุดในการก่อตั้งองค์กรทางการเมือง องค์กรที่รัฐธรรมนูญจัดตั้งขึ้น จึงมีเพียงอำนาจตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้และต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ การตรากฎหมายขององค์กรนิติบัญญัติซึ่งเป็นองค์กรที่รัฐธรรมนูญจัดตั้งขึ้น จึงต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และจะตรากฎหมายให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้

เมื่อรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร มีสถานะเป็นกฎหมายสูง (suprematie de la Constitution ecrite) และมีศักดิ์เหนือกฎหมายอื่น ที่กฎหมายใดจะขัดหรือแย้งมิได้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องรักษาความเป็นกฎหมายสูงสุด ด้วยการกำหนดให้มีระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ นอกเหนือไปจากการบัญญัติรับรองความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญไว้ในรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร[1] หรือการกำหนดให้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องเป็นไปโดยวิธีการพิเศษที่ยากกว่าการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายธรรมดาซึ่งมีลำดับชั้นต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุนี้ ระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ จึงถูกพัฒนาขึ้นโดยนักนิติศาสตร์ ไปพร้อมๆ กับหลักที่ว่าด้วยความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ คำถามที่เกิดขึ้นก็คือว่า แล้วองค์กรใดจะเป็นผู้มีอำนาจในการพิทักษ์รักษาความเป็นกฎหมายสูงสูดของรัฐธรรมนูญ ในกรณีเช่นนี้รัฐธรรมนูญ อาจจะกำหนดได้โดยชัดแจ้งถึงองค์กรที่มีอำนาจควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ เช่น รัฐธรรมนูญออสเตรีย สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันและอิตาลีที่กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการควบคุมกฎมหายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญหรือคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ในรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489–2534 เป็นต้น แต่ในกรณีที่รัฐธรรมนูญ มิได้บัญญัติถึงองค์กรที่มีอำนาจควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญไว้เหมือนดังเช่น กรณีของรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา ก็ย่อมนำมาซึ่งข้อโต้แย้งระหว่างองค์กรที่รัฐธรรมนูญจัดตั้งขึ้นว่าองค์กรใดจะเป็นผู้มีอำนาจตีความรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้ว ในปี ค.ศ. 1803 ศาลสูงสุดสหรัฐฯ (Supreme Court) โดยท่านผู้พิพากษา John Marshall ได้ยืนยันอำนาจของศาลทั้งหลายภายในสหรัฐฯ ในการตรวจความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรนิติบัญญัติไว้ ในคดีประวัติศาสตร์แห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา Marbury V. Madison. [5 U.S. (cranch) 137 (1803)] ซึ่งนับแต่นั้นเป็นต้นมา การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในประเทศสหรัฐอเมริกา ก็เป็นอำนาจของศาลยุติธรรม และมีอิทธิพลต่อระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญของประเทศต่างๆ ในเวลาต่อมา

ส่วนที่ 1 ระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ

หลักความเป็นกฎหมายสูงสูดของรัฐธรรมนูญ ได้นำมาสู่แนวคิดในการสร้างระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นกฎหมายสูงสุด และให้ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญที่มีสถานะเหนือกฎหมายใดๆนั้นเกิดผลได้จริง ทั้งนี้โดยการกำหนดให้มีองค์กรที่มีหน้าที่ควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรนิติบัญญัติไว้ในองค์กรที่แตกต่างกันไป แล้วแต่ระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในประเทศนั้นๆ[2] ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้กำหนดให้ศาลยุติธรรมทุกศาล มีอำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งตรงกันข้ามกับให้ระบบที่ใช้อยู่ในประเทศออสเตรีย และประเทศฝรั่งเศส ที่กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญ และคณะตุลาการรัฐธรรมนูญตามลำดับ เป็นองค์กรพิเศษองค์กรเดียวที่มีอำนาจในการควบคุมกฎหมาย มิให้ขัดรัฐธรรมนูญ เช่นนี้ เป็นต้น

1. องค์กรที่ทำหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ

การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในประเทศต่างๆ นั้น หากพิจารณาจากองค์กรที่ทำหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญจะสามารถแยกออกได้เป็น 3 องค์กร ดังนี้

1.1 การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภา

การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภา เป็นระบบที่ได้รับการยอมรับในประเทศฝรั่งเศส ในสมัยสาธารณรัฐที่ 1 – 3 (ค.ศ. 1789–1946) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แนวคิดอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ของปรัชญาเมธีคนสำคัญรุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้มีอิทธิพล อย่างมากในระบอบรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศส ด้วยเหตุนี้แนวคิดของรุสโซ จึงส่งผลต่อระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในประเทศฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ตามแนวคิดของรุสโซ แม้รัฐธรรมนูญมีสถานะสูงสุด ที่กฎหมายใดจะขัดหรือแย้งมิได้ แต่การวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา (loi) ซึ่งเป็นการแสดงออกของเจตนารมณ์ร่วมกันของปวงชน โดยองค์กรอื่นใดจึงมิอาจจะกระทำมิได้ นักนิติศาสตร์ได้อธิบายว่า “รัฐสภา” จะเป็นผู้ทำหน้าที่วินิจฉัยเองว่ากฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภาขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ และเมื่อรัฐสภาได้ตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับแล้ว ก็ย่อมเป็นการแสดงอยู่ในตัวว่ากฎหมายนั้นไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ แนวคิดที่ว่า กฎหมาย (loi) เป็นการแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยของปวงชน ซึ่งทำให้ไม่อาจมีองค์กรใดที่จะมีอำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญนี้ จึงปฏิเสธข้อเสนอของ ซีเอเยส์ (Sieyes) ที่จัดตั้งองค์กรทางการเมืองขึ้น ทำหน้าที่ในการรักษาความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ หรือที่เรียกว่า “คณะลูกขุนผู้พิทักษ์” (jury constitutionnaire) โดยสิ้นเชิง แม้ต่อมาแนวคิดของซีเอเยส์ จะได้รับการยอมรับในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ด้วยการจัดตั้ง “สภาสูงพิทักษ์รัฐธรรมนูญ” (Senat Conservateur de la Constitution) ขึ้นก็ตามแต่องค์กรดังกล่าวก็ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถูกล้มเลิกไปในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ข้ออ้างที่ว่า กฎหมายเป็นการแสดงออกซึ่งเจตนารมณ์ของปวงชนได้ถูกวิจารณ์โดย เกอเร เดอ มัลแบร์ (Carre de Malberg) นักกฎหมายมหาชนชาวฝรั่งเศสว่า การกล่าวว่าการใช้อำนาจของรัฐสภา กับการใช้อำนาจของประชาชนเป็นสิ่งเดียวกันนั้นไม่ถูกต้อง เพราะอำนาจอธิปไตยในทัศนะของรุสโซนั้น ต้องใช้โดยประชาชน แต่รัฐสภาเป็นเพียงผู้แทนที่ประชาชนเลือกขึ้นมา กฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้น จึงไม่ใช่กฎหมายที่ประชาชนตราขึ้น ดังนั้น การที่จะให้รัฐสภาวินิจฉัย โดยการลงมติในญัตติที่สมาชิกรัฐสภา เสนอว่าร่างกฎหมายใดขัดรัฐธรรมนูญเสียเอง ก็เท่ากับยอมรับว่า รัฐสภามีอำนาจสูงสุดและจะตรากฎหมายใดให้ขัดรัฐธรรมนูญ (ในสายตาของผู้อื่น) ก็ได้ ด้วยเหตุนี้ ในสาธารณรัฐที่ 4 จึงมีข้อเสนอให้จัดตั้ง “คณะกรรมการรัฐธรรมนูญ” (Comite constitutionnel) ขึ้นโดยให้ประธานาธิบดีและประธานคณะรัฐมนตรี (President du Conseil หรือตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน) สามารถขอให้คณะกรรมการรัฐธรรมนูญ พิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างรัฐบัญญัติได้ในกรณีที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร[3] ซึ่งหากคณะกรรมการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า จะต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการรัฐธรรมนูญก็จะส่งกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติให้ความเห็นชอบแล้ว กลับไปให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอีกครั้ง และถ้ารัฐสภาลงมติว่าเป็นกฎหมายแล้วก็ให้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ให้สอดคล้องกับรัฐบัญญัติที่รัฐสภาได้ตราขึ้นใหม่ แต่หากคณะกรรมการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กฎหมายดังกล่าวก็จะถูกประกาศใช้ทันที ด้วยเหตุนี้ แนวคิดพื้นฐานในการจัดตั้งคณะกรรมการรัฐธรรมนูญของประเทศฝรั่งเศส ในสาธารณะรัฐที่ 4 จึงเป็นไปเพื่อให้คณะกรรมการรัฐธรรมนูญ เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจดูความสอดคล้องระหว่างกฎหมายกับรัฐธรรมนูญและเป็นเครื่องมือในการระงับความขัดแย้งระหว่างสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา มากกว่าที่จะเป็นองค์กรที่มีอำนาจควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ ต่อมาภายหลังการประกาศใช้ธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐที่ 5 ในปี ค.ศ. 1958 จึงได้มีการจัดตั้ง “คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ” (Conseil Constitutionnel) ขึ้นทำหน้าที่แทนคณะกรรมการรัฐธรรมนูญ และมีลักษณะเป็นองค์กรพิเศษที่มีอำนาจในการควบคุมร่างกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ ซึ่งในส่วนนี้จะได้กล่าวถึงต่อไปในหัวข้อ 1.3

1.2 การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยศาลยุติธรรม

การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยศาลยุติธรรม ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก ในการตัดสินคดี Marbury V. Madison. ของศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1803[4] ซึ่งศาลสูงสุดได้วางหลักว่า ศาลทั้งหลายมีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยว่า กฎหมายที่ตราขึ้น โดยสภาคองเกรส ซึ่งมีข้อมีความขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะได้[5] โดยประธานศาลสูงสุด John Mashall ได้ให้เหตุผลว่าเมื่อศาลเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการ ศาลจึงมีอำนาจหน้าที่ในการใช้บังคับกฎหมายแก่กรณีต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นความจำเป็นอยู่เอง ที่ศาลจะต้องตรวจสอบ ตีความและวินิจฉัยว่าอะไรคือกฎหมายที่จะนำมาใช้บังคับได้ ดังนั้น ถ้ามีกฎหมายขัดรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญนี้มีศักดิ์ที่สูงกว่ากฎหมายใดๆ ที่ตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ศาลก็มีหน้าที่ที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาด โดยยึดหลักว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่สำคัญที่สุด และกฎหมายที่ขัดรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ เพราะมิฉะนั้นแล้ว การปฏิเสธหลักการดังกล่าวย่อมจะเป็นการทำลายรากฐานของรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร[6] เป็นที่น่าสังเกตว่าการที่ศาลฎีกาได้ตัดสินไว้เช่นนี้ ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้ชัดแจ้ง ก็เท่ากับว่าศาลฎีกาได้ยืนยัน และตีความบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสุงสุดของประเทศ ซึ่งกฎหมายทั่วไปที่ตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติ จะขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญไม่ได้ และศาลย่อมเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ[7]

สำหรับกระบวนการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยศาลยุติธรรม ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ด้วยเหตุที่ระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในสหรัฐอเมริกา เป็นระบบกระจายอำนาจ การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้น จึงอยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลยุติธรรมทุกศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา โดยมีกระบวนการพิจารณาอันเป็นสาระสำคัญ ดังนี้[8]

ก. ผู้มีสิทธิในการเริ่มคดี ได้แก่ คู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสีย

ข. การพิจารณาวินิจฉัยของศาล เมื่อมีการนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาล และคู่ความในคดีนั้น หรือผู้มีส่วนได้เสีย ยกเป็นประเด็นแห่งคดีว่ากฎหมายที่ใช้บังคับในคดีนั้น ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือโดยศาลเห็นเอง ศาลยุติธรรมจะต้องวินิจฉัยปัญหาที่ว่า กฎหมายที่ใช้บังคับกับคดีนั้น ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่เสียก่อน และพิจารณาคดีต่อไปตามคำวินิจฉัยนั้น ทั้งนี้ หากศาลเห็นว่า กฎหมายที่ใช้บังคับกับคดีขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ศาลก็จะปฏิเสธที่จะใช้บังคับกฎหมายนั้น กับคดีที่นำขึ้นสู่การพิจารณาของศาล หากคำวินิจฉัยไม่เป็นที่พอใจแก่คู่ความในคดีนั้น ก็สามารถอุทธรณ์คำวินิจฉัยนั้นต่อไป และให้ถือเป็นที่สุดโดยคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมสูงสุด

ค. ผลของการวินิจฉัย คำวินิจฉัยว่ากฎหมายที่ใช้บังคับกับคดีใด ขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นอันเสียเปล่า และมีผลย้อนหลังไปตั้งแต่ต้น(retrospective)[9] โดยจะมีผลบังคับระหว่างคู่ความในคดี (inter partes) เท่านั้น[10]

นับตั้งแต่ศาลสูงสุดแห่งสหรัฐฯ ได้วางหลักไว้ในการตัดสินคดี Marbury V. Madison ในปี ค.ศ.1803 เป็นต้นมา หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรก็ได้รับการรับรองและคุ้มครองอย่างชัดเจน และเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรก โดยมีศาลยุติธรรมเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการควบคุมกำหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ และมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญของประเทศต่างๆ ในเวลาต่อมา

1.3 การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยองค์กรพิเศษ

แนวคิดในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยองค์กรพิเศษองค์กรเดียว ได้ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรก โดย Hans Kelsen นักปรัชญากฎหมาย ชาวออสเตรีย ซึ่งเสนอให้มีการจัดตั้งองค์กรพิเศษที่มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญขึ้นโดยเฉพาะ Kelsen ได้อธิบายว่า การวินิจฉัยว่ากฎใดใช้บังคับมิได้เพราะขัดรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้อำนาจนิติบัญญัติ เมื่อโดยปกติแล้ว กฎหมายที่ประกาศใช้บังคับ ย่อมต้องได้รับการเคารพและปฏิบัติตาม การระงับผลของกฎหมายโดยการวินิจฉัยว่ากฎหมายใช้บังคับมิได้ จึงเป็นการใช้อำนาจนิติบัญญัติในทางลบ (negative act of legislation)[11] ดังนั้น ศาลพิเศษที่จัดตั้งขึ้นจึงต้องมีรากฐานที่มาจากองค์กรนิติบัญญัติ โดยให้องค์กรนิติบัญญัติมีส่วนในการแต่งตั้ง และเป็นการสมควรที่จะจัดตั้งศาลพิเศษที่มีอำนาจเพิกถอนกฎหมายของรัฐสภา เพื่อให้คำวินิจฉัยนั้นเกิดผลบังคับเป็นการทั่วไป[12] ด้วยเหตุนี้ รัฐธรรมนูญของประเทศออสเตรีย ค.ศ. 1920 จึงจัดตั้ง “ศาลรัฐธรรมนูญ” เพื่อทำหน้าที่พิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา [13] ซึ่งต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1955 ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้รับการบัญญัติรับรองไว้อีกครั้ง ดังจะได้กล่าวถึงในหัวข้อต่อไปนี้ [14]

ศาลรัฐธรรมนูญออสเตรีย รัฐธรรมนูญออสเตรีย ค.ศ. 1955 ได้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ต่อไปนี้

(1) ศาลรัฐธรรมนูญออสเตรีย ประกอบด้วย ประธานศาลรัฐธรรมนูญ รองประธานรัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ 12 คนและผู้พิพากษาสำรองอีก 6 คน ผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญจะมาจากการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ซึ่งรัฐบาลแห่งสหพันธ์จะเป็นผู้เสนอผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นผู้พิพากษา เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรืออาจารย์มหาวิทยาลัย เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ รองประธานศาลรัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ 6 คน และผู้พิพากษาสำรอง 3 คน ส่วนผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญอีก 6 คนและผู้พิพากษาสำรองอีก 3 คน รัฐสภาจะเป็นผู้เสนอรายชื่อให้ประธานาธิบดีแต่งตั้ง ผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องสำเร็จการศึกษาวิชานิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ และมีประสบการณ์ในการทำงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี และไม่อาจดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกรัฐสภา รัฐมนตรี ไม่ว่าจะในระดับสหพันธ์หรือมลรัฐ และเจ้าหน้าที่พรรคการเมือง ผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญมีวาระการดำรงตำแหน่ง 12 ปี แต่ต้องมีอายุไม่เกิน 70 ปีบริบูรณ์และจะได้รับแต่งตั้งอีกไม่ได้

(2) นอกจากศาลรัฐธรรมนูญออสเตรียจะมีอำนาจในการพิจารณาปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในกรณีที่ศาลยุติธรรมสูงสุด หรือศาลปกครองสูงสุดร้องขอมาแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญยังมีอำนาจหน้าที่อื่นๆ เช่น อำนาจตรวจสอบการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหพันธ์และสมาชิกรัฐสภา, พิจารณากฤษฎีกา (Ordinance) ที่ออกโดยฝ่ายบริหารของสหพันธ์หรือมลรัฐว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ พิจารณาถอดถอนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหพันธ์และมลรัฐที่กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่อย่างร้ายแรง เป็นต้น

คณะตุลาการรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศส ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐที่ 5 ค.ศ. 1958 ได้มีการจัดตั้ง“คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ” (Conseil Constitutionnel) ขึ้นโดยกำหนดให้

(1) คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งอยู่ในรูปของคณะกรรมการ ประกอบด้วยตุลาการรัฐธรรมนูญโดยตำแหน่ง และตุลาการรัฐธรรมนูญที่มาจากการแต่งตั้ง 9 คน ตุลาการรัฐธรรมนูญโดยตำแหน่ง ได้แก่ อดีตประธานาธิบดีทุกคนซึ่งจะได้รับสิทธิดำรงตำแหน่งตลอดชีวิต ตุลาการรัฐธรรมนูญที่มาจากการแต่งตั้ง ได้แก่ ผู้ที่ประธานาธิบดีแต่งตั้ง 3 คน ประธานสภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้ง 3 คน และประธานวุฒิสภาแต่งตั้ง 3 คน ตุลาการรัฐธรรมนูญมีวาระการดำรงตำแหน่ง 9 ปี และจะได้รับแต่งตั้งใหม่อีกไม่ได้ ตุลาการรัฐธรรมนูญจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา หรือดำรงอื่นใดที่ได้กำหนดห้ามไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ เช่น กรรมการในคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคม ข้าราชการหรือลูกจ้างของรัฐ หรือผู้บริหารพรรคการเมือง ในขณะเดียวกันไม่ได้

(2) เป็นที่น่าสังเกตว่า ระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ โดยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐที่ 5 ค.ศ. 1958 นั้น มีลักษณะที่แตกต่างไปจากการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในประเทศอื่นๆ กล่าวคือ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญจะมีเพียงอำนาจในการควบคุมกฎหมายก่อนการประกาศใช้เท่านั้น โดยในกรณีที่ร่างกฎหมายนั้นเป็นร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หรือร่างข้อบังคับการประชุมรัฐสภา รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีการส่งร่างกฎหมายดังกล่าวไปยังคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญก่อนการประกาศใช้ แต่ในกรณีที่ร่างกฎหมายนั้นเป็นร่างรัฐบัญญัติก็ไม่จำต้องส่งร่างรัฐบัญญัตินั้นไปให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญพิจารณา แต่หากประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 60 คน หรือสมาชิกวุฒิสภา 60 คน ร้องขอให้มีการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างรัฐบัญญัติก่อนการประกาศใช้ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างรัฐบัญญัติดังกล่าว นอกจากนี้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญยังมีอำนาจหน้าที่อื่นๆ ตามรัฐธรรมนูญเช่น อำนาจหน้าที่ในการดูแลความถูกต้องในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ตรวจสอบข้อร้องเรียนและประกาศผลการเลือกตั้ง พิจารณาชี้ขาดความถูกต้องในการเลือกตั้งในกรณีที่มีการคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา ตลอดจนดูแลความถูกต้องของวิธีการออกเสียงประชาชาติ และการออกเสียงประชามติ เป็นต้น

(3) สำหรับผลคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ เมื่อมีคำวินิจฉัยว่าร่างกฎหมายใดขัดรัฐธรรมนูญ จะถือว่าร่างกฎหมายนั้นตกไปไม่สามารถประกาศใช้บังคับได้ คำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญถือเป็นที่สุด ไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้ และผูกพันองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐทุกองค์กร

ศาลรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐเยอรมัน ระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน แต่เดิมนั้นเป็นระบบที่กระจายอำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ ไปยังศาลยุติธรรมทั้งหลายในสหพันธ์[15] ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ในปี ค.ศ. 1949 จึงได้มีการจัดตั้ง “ศาลรัฐธรรมนูญสหพันธ์รัฐ” (Das Bundesverfassungsgericht) ขึ้น โดยกำหนดให้

(1) ศาลรัฐธรรมนูญฯ ประกอบด้วย 2 องค์คณะ แต่ละองค์คณะประกอบด้วยผู้พิพากษา 8 คน ผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญฯ ในแต่ละองค์คณะ ครึ่งหนึ่งจะต้องได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหพันธ์ (Busdestag) และอีกครึ่งหนึ่งจะต้องได้รับเลือกจากสภาที่ปรึกษาแห่งสหพันธ์ (Bundesrat) ในจำนวนนี้สภาผู้แทนราษฎรแห่งสหพันธ์ และสภาที่ปรึกษาแห่งสหพันธ์ จะต้องเลือกจากผู้พิพากษาที่คัดเลือกและแต่งตั้งมาจากผู้พิพากษาศาลสูงสุดต่างๆ องค์คณะละ 3 คน ผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญฯ จะต้องสำเร็จการศึกษาวิชาชีพทางกฎหมาย และไม่เป็นสมาชิกของรัฐสภาหรือคณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอื่นที่มีอำนาจหน้าที่คล้ายกันในมลรัฐ มีวาระการดำรงตำแหน่ง 12 ปี และจะได้รับแต่งตั้งใหม่อีกไม่ได้[16]

(2) ศาลรัฐธรรมนูญฯ มีอำนาจหน้าที่หลักในการตรวจสอบและควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ และมีอำนาจหน้าที่สำคัญอื่นๆ เช่น อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาตัดสินข้อขัดแย้งระหว่างองค์กรของรัฐ ข้อขัดแย้งระหว่างมลรัฐกับสหพันธ์ พิจารณาวินิจฉัยคำร้องทุกข์ว่ามีการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน พิจารณาวินิจฉัยว่าพรรคการเมืองหรือสมาชิกพรรคการเมืองใด มีวัตถุประสงค์ หรือการกระทำที่ขัดขวางการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หรือเป็นภัยต่อการดำรงอยู่ของสหพันธ์หรือไม่ และการพิจารณาวินิจฉัยให้ประธานาธิบดีพ้นจากตำแหน่ง ในกรณีที่มีการกล่าวหาว่า ประธานาธิบดีกระทำการอันละเมิดรัฐธรรมนูญ

(3) ในส่วนวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญฯ รัฐธรรมนูญสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน ค.ศ. 1949 ได้กำหนดให้วิธีพิจารณาความของศาลรัฐธรรมนูญฯ เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งก็หมายถึง กฎหมายว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญสหพันธรัฐ ค.ศ. 1951 และเนื่องจากการดำเนินกระบวนการพิจารณาในศาลรัฐธรรมนูญฯ เป็นการพิจารณาในรูปแบบของศาล กฎหมายว่าด้วยศาล รัฐธรรมนูญฯ จึงได้กำหนดวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญฯ ไว้ตามหลักทั่วไปของการพิจารณาเป็นไปโดยเปิดเผย หลักการคัดค้านผู้พิพากษา และการรับรองสิทธิของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนพิจารณาที่จะขอตรวจดูเอกสาร เป็นต้น นอกจากนี้กระบวนการพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญยังสามารถสรุปในสาระสำคัญ ได้ดังนี้[17]

ก. ผู้มีสิทธิในการเริ่มคดี โดยปกติแล้วกฎหมายว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญฯ จะกำหนดผู้มีสิทธิในการเริ่มคดีเป็นการเฉพาะไว้ในแต่ละคำร้อง แต่ในกรณีที่คำร้องนั้นเป็นคำร้องทุกข์ว่ามีการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งเป็นคดีที่มีการนำขึ้นสู่ศาลมากที่สุดนั้น บุคคลผู้ได้รับความเสียหาย ย่อมมีสิทธิที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาลภายใต้เงื่อนไขที่ว่าได้มีการใช้สิทธิในการดำเนินคดีต่อองค์กรอื่นๆ ที่กำหนดไว้ให้ถึงที่สุดเสียก่อน จึงจะนำคดีขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญฯ ได้

ข. กระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญฯ จะเริ่มขึ้นเมื่อมีการยื่นคำร้องเป็นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญฯ โดยคำร้องจะต้องแสดงเหตุผลและอ้างพยานหลักฐานที่จำเป็นแห่งคดี และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญฯ พิจารณาเป็นแห่งคดี และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าอยู่ในเขตอำนาจ ศาลรัฐธรรมนูญฯ ก็จะเริ่มพิจารณาคดี ซึ่งโดยหลักแล้วจะต้องพิจารณาด้วยวาจา ทั้งนี้ ในการพิจารณาศาลมีหน้าที่ค้นหาความจริงจากพยานหลักฐานที่จำเป็น และอาจมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของศาล หรือศาลอื่นหาข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้

ค. การพิจารณาวินิจฉัยคดี ศาลรัฐธรรมนูญฯ จะปรึกษาคดีโดยลับ และทำคำวินิจฉัยเป็นหนังสือ พร้อมทั้งแสดงเหตุผลประกอบคำวินิจฉัย โดยผู้พิพากษาทุกคนจะต้องลงลายมือชื่อในคำวินิจฉัย และต้องทำคำวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่การพิจารณาด้วยวาจาสิ้นสุดลง ผู้พิพากษาที่ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยอาจทำความเห็นแย้งในคำวินิจฉัยนั้นได้ เหตุผลของคำวินิจฉัยจะต้องประกาศโดยเปิดเผย และคำวินิจฉัยต่าง ๆ จะต้องแจ้งให้คู่ความ และผู้ที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาคดีทราบ

ง. คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฯ ว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ผูกพันองค์กรต่างๆ ของรัฐทุกองค์กร และมีสภาพบังคับเป็นกฎหมาย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของสหพันธรัฐ จะต้องประกาศคำวินิจฉัยนั้นในราชกิจจานุเบกษา

2. วิวัฒนาการของระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในประเทศไทย

แนวคิดในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในประเทศไทย ได้เริ่มก่อตัวขึ้น นับแต่ที่มีการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 ซึ่งได้รับรองความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรไว้เป็นครั้งแรก และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ ก็ได้มีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง โดยอาจแบ่งระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในประเทศไทยตามลักษณะขององค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ดังกล่าวในแต่ละช่วงเวลาได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้ (1) ช่วงระยะเวลาที่รัฐสภามีอำนาจสูงสุดในการตีความรัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2475 – 2489) (2) ช่วงระยะเวลาที่การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของศาลยุติธรรม (พ.ศ. 2489) (3) ช่วงระยะเวลาที่การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2489-2539) (4) ช่วงระยะเวลาที่มีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองแห่งราชอาณาจักร ซึ่งอำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ กลับไปยังศาลยุติธรรม

2.1 ช่วงระยะเวลาที่รัฐสภามีอำนาจสูงสุดในการตีความรัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2475-2489)

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ในปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรฉบับแรกเมื่อมีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 แต่รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ก็มิได้บัญญัติรับรองความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญไว้โดยตรง แนวคิดในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ จึงยังไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว จนกระทั่งมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ จึงได้ถูกบัญญัติรับรองไว้ ในมาตรา 61 ซึ่งบัญญัติว่า “บทบัญญัติแห่งกฎหมายใด ๆ มีข้อความแย้งหรือขัดแก่รัฐธรรมนูญนี้ ท่านว่าบทบัญญัตินั้นๆ เป็นโมฆะ” แต่รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ก็มิได้บัญญัติให้มีองค์กรที่มีอำนาจในการวินิจฉัยชี้ขาดว่า กฎหมายใดเป็นโมฆะไว้แต่ประการใด ระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 จึงไม่มีความชัดเจนในแง่องค์กรที่มีอำนาจในการวินิจฉัยชี้ขาด

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาบทบัญญัติในมาตรา 62 ซึ่งบัญญัติไว้ต่อเนื่องกับมาตรา 61 ในหมวด 6 บทสุดท้าย ซึ่งบัญญัติว่า “ท่านว่าสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งสิทธิเด็ดขาดในการตีความแห่งรัฐธรรมนูญนี้” จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าการบัญญัติไว้ต่อเนื่องกันเช่นนี้ น่าจะแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญว่า ไม่ได้ประสงค์จะให้อำนาจวินิจฉัยว่า กฎหมายใดขัดรัฐธรรมนูญกับองค์กรอื่นใด แต่คงต้องการให้ใช้ระบบเดียวกันกับที่ใช้อยู่ในประเทศฝรั่งเศสในเวลานั้น (ในสมัยสาธารณรัฐที่ 3) ซึ่งมีแนวคิดที่ว่า แม้รัฐธรรมนูญจะมีความเป็นกฎหมายสูงสุด แต่ก็ไม่มีองค์กรใดที่จะมาชี้ขาดว่ากฎหมาย ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ร่วมกันของปวงชนขัดต่อรัฐธรรมนูญได้ นอกจากองค์กรที่มีอำนาจแสดงออกซึ่งเจตนารมณ์ร่วมกันของปวงชนนั้นเอง ซึ่งได้แก่ ประชาชนและรัฐสภา เข้าใจว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญไทยคงได้นำแนวคิดเช่นนี้มาจึงบัญญัติในมาตรา 62 ไว้เช่นนั้น อย่างไรก็ตามในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2476-2489 ก็ไม่ปรากฏว่ามีประเด็นที่ว่ากฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ จวบจนกระทั่งได้เกิดคดีอาชญากรสงครามในปี พ.ศ. 2488

2.2 ช่วงระยะเวลาที่การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของศาลยุติธรรม (พ.ศ. 2489)

การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยศาลยุติธรรม เป็นผลมาจากการตัดสินคดีของศาลฎีกา ในคำพิพากษาฎีกาคดีอาชญากรสงครามที่ 1/2489 ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ. 2488[18] มาตรา 3 ในส่วนที่กำหนดโทษทางอาญาย้อนหลังขัด รัฐธรรมนูญ และเป็นโมฆะ โดยศาลฎีกาได้ให้เหตุผลยืนยันอำนาจของตน ในการวินิจฉัยว่ากฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภาขัดต่อรัฐธรรมนูญว่า บทบัญญัติมาตรา 62 ที่ให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งสิทธิเด็ดขาดในการตีความรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ใช่บทบัญญัติตัดอำนาจศาลที่จะตีความบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ศาลจึงมีอำนาจตีความบทบัญญัติแห่งรัฐ ประกอบกับเหตุผลดังต่อไปนี้

ประการแรก ศาลเป็นผู้ใช้กฎหมาย การที่จะดูว่าอะไรเป็นกฎหมาย คือ เป็นกฎหมายที่ใช้ได้หรือไม่ ย่อมเป็นอำนาจของศาล เพราะมิฉะนั้นแล้ว ศาลย่อมไม่อาจดำเนินการพิจารณาพิพากษาคดีได้

ประการที่สอง เมื่อรัฐธรรมนูญได้แบ่งอำนาจออกเป็น 3 ประเภท คือ อำนาจนิติบัญญัติอำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ แต่ละอำนาจย่อมมีอำนาจยับยั้งและกำกับ เป็นการควบคุมกันอยู่ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติออกกฎหมายมาแล้ว ศาลซึ่งมีอำนาจทางตุลาการต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าศาลจะเห็นว่ากฎหมายนั้นสมควรหรือไม่ก็ตาม แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าสภาผู้แทนราษฎรออกกฎหมายมาไม่ถูกต้องกับรัฐธรรมนูญหรือขัดกับรัฐธรรมนูญ ศาลก็มีอำนาจแสดงความไม่ถูกต้องนั้นได้

ประการสุดท้าย เมื่อรัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญไว้ ก็จำต้องมีผู้มีอำนาจชี้ขาดว่าบทกฎหมายใดขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ มิฉะนั้นการบัญญัติรับรองไว้เช่นนั้นก็จะไม่เป็นผล การที่จะส่งกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรตราขึ้น กลับไปให้สภาผู้แทนราษฎรชี้ขาดได้อย่างไร และฝ่ายบริหารก็ไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยกฎหมาย เช่นนี้ใครเล่าจะมีอำนาจนอกจากศาล คำพิพากษาฎีกาคดีอาชญากรสงครามที่ 1/2489 ได้เป็นผลให้ศาลฎีกาในยุคหลังๆ ถือตามบรรทัดฐานในคดีนี้[19] และเป็นเหตุให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกันมาก ว่าศาลยุติธรรมได้ล่วงล้ำเข้าไปใช้อำนาจนิติบัญญัติ ดังนั้น ต่อมาในการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489 ผู้ร่างรัฐธรรมนูญจึงได้กำหนดให้มี “คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ” ขึ้นเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ และกำหนดให้ศาลยุติธรรมต้องส่งเรื่องที่เห็นว่า บทบัญญัติของกฎหมายใดขัดต่อรัฐธรรมนูญไปให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉันย

2.3 ช่วงระยะเวลาที่การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2489-2540)

ความขัดแย้งระหว่างศาลและสภาผู้แทนราษฎร ในคำพิพากษาฎีกาคดีอาชญากรสงครามที่ 1/2489 ได้นำมาสู่การจัดตั้ง “คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ” ขึ้นเป็นองค์กรพิเศษที่มีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489[20] ซึ่งนับแต่นั้นเป็นต้นมา รัฐธรรมนูญฉบับต่อมาก็กำหนดให้การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญเกือบทั้งสิ้น[21] ยกเวนในช่วงที่มีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร อำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญจึงกลับไปอยู่ที่ศาลยุติธรรมอีกครั้ง

องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ในรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับที่ได้มีการบัญญัติถึงคณะตุลาการรัฐธรรมนูญไว้ จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 พ.ศ. 2495 พ.ศ. 2511 พ.ศ. 2521 และ พ.ศ. 2534 ได้กำหนดให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยตุลาการรัฐธรรมนูญโดยตำแหน่ง และตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ[22] ในขณะที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489 และ พ.ศ. 2517 กำหนดให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ประกอบไปด้วย ตุลาการรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมด และมิได้กำหนดคุณสมบัติของตุลาการรัฐธรรมนูญไว้แต่ประการใด[23] ในสวนวาระการดำรงตำแหน่งของตุลาการรัฐธรรมนูญ เป็นที่น่าสังเกตว่านับแต่ที่ได้มีการจัดตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญไว้ในรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ ปรากฏว่าวาระการดำรงตำแหน่งของตุลาการรัฐธรรมนูญจะเป็นไปตามอายุของสภาผู้แทนราษฎรเกือบทั้งสิ้น มีเพียงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 เท่านั้นที่กำหนดให้ตุลาการรัฐธรรมนูญมีวาระการดำรงตำแหน่งในระยะเวลาที่แน่นอน คือคราวละ 4 ปี และให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งตุลาการรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ การกำหนดให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีองค์ประกอบและวาระการดำรงตำแหน่งที่มีลักษณะโน้มเอียงไปในทางการเมืองเช่นนี้ จึงมีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในแง่อำนาจหน้าที่ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ โดยหลักแล้วคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ โดยหลักแล้วคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ จะมีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยชี้ขาดว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่แต่อย่างไรก็ตาม ภายหลังการจัดตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ในปี พ.ศ. 2489 รัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มาก็มักจะเพิ่มอำนาจหน้าที่อื่นอีกหลายประการให้กับคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ เช่น

(1) วินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือไม่[24]

(2) วินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติที่เสนอต่อสภามีหลักการอย่างเดียวกัน หรือคล้ายกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติที่อยู่ในระหว่างการยับยั้งของวุฒิสภาหรือไม่[25]

(3) วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่[26]

(4) วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลยุติธรรมกับศาลอื่นหรือระหว่างศาลอื่นด้วยกัน[27]

(5) วินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับใดมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ[28]

(6) วินิจฉัยว่าข้อบังคับของวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือรัฐสภา ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่[29]

(7) วินิจฉัยว่าร่างพระราชกำหนดเป็นไปเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศหรือความปลอดภัยสาธารณะหรือความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศหรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะหรือไม่[30]

(8) ตีความรัฐธรรมนูญ[31]

อย่างไรก็ตาม แม้รัฐธรรมนูญจะให้อำนาจหน้าที่กับคณะตุลาการรัฐธรรมนูญไว้หลายประการด้วยกัน แต่ก็ปรากฏว่ารัฐสภายังคงมีอำนาจในการตีความรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ควบคู่ไปกับอำนาจหน้าที่ตีความรัฐธรรมนูญในส่วนอื่นๆ ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ[32] จนกระทั่งมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ จึงมีอำนาจหน้าที่ตีความรัฐธรรมนูญในกรณีต่างๆ ทั้งหมดโดย สมบูรณ์[33]

นับแต่มีการจัดตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญขึ้น (พ.ศ. 2489-2540) คณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยทั้งสิ้น 13 ฉบับ โดยเป็นคำวินิจฉัยในประเด็นที่ว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพียง 5 ฉบับ ได้แก่ คำวินิจฉัยที่ ต.1/2494 คำวินิจฉัยที่ ต.2/2494 คำวินิจฉัยที่ ต.3/2494 คำวินิจฉัยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 และคำวินิจฉัยที่ ต.1/2513 โดยเป็นคำวินิจฉัยว่ากฎหมายขัดรัฐธรรมนูญ 2 ครั้ง และไม่ขัดรัฐธรรมนูญ 3 ครั้ง

2.4 ช่วงเวลาที่มีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร

เมื่อมีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในประเทศไทย ก็กลับมาสู่หลักเดิมที่ศาลฎีกาในคำพิพากษาฎีกาคดีอาชญากรสงครามที่ 1/2489 ได้วางหลักไว้ว่า การวินิจฉัยชี้ขาดว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตลอดจนการตีความรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจทั่วไปของศาล เว้นแต่รัฐธรรมนูญจะได้มีบทบัญญัติที่ให้อำนาจไว้แก่องค์กรใดโดยเฉพาะในการพิจารณาวินิจฉัยคดีดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่มีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองศาลยุติธรรม จึงกลับมาเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญอีกครั้งซึ่งในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ก็ปรากฏว่าศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาฎีกาในประเด็นที่ว่ากฎหมายใดมีข้อความขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมหรือไม่ ไว้หลายครั้งด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 21/2492 วินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ พ.ศ. 2490 ที่ใช้บังคับย้อนหลังไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญเพราะรัฐธรรมนูญไม่มีบทบัญญัติห้ามการใช้กฎหมายให้มีผลย้อนหลัง

คำพิพากษาฎีกาที่ 222/2494 วินิจฉัยว่าบทบัญญัติมาตรา 33 ทวิ (1) แห่งพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว พ.ศ. 2489 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2489 มาตรา 6 เฉพาะที่ให้ริบทรัพย์สินของบุคคลอื่นที่มิได้รู้เห็นในการกระทำผิดด้วยกัน เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 มาตรา 29 บทบัญญัติโดยเฉพาะดังกล่าวนี้ จึงใช้บังคับมิได้ ตามนัยมาตรา 178 แห่งรัฐธรรมนูญ ฯ

คำพิพากษาฎีกาที่ 1212/2497 วินิจฉัยว่าผู้ที่เกิดในประเทศไทยจากบิดาซึ่งเป็นคนต่างด้าว ถ้าเคยขอและได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวมาแล้ว ย่อมขาดจากสัญชาติไทย แม้จะได้ฟ้องคดีขอให้ทางราชการออกบัตรประจำตัวประชาชนไว้ก่อนวันใช้พระราชบัญญัติ (ฉบับที่ 2) ก็ตาม และกฎหมายฉบับนี้ก็ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 1240/2514 วินิจฉัยว่าเมื่อศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานในขณะที่ไม่มีคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ว่าพระราชบัญญัติว่าด้วยการสำรวจการออกโฉนดที่ดิน พ.ศ. 2496 ในส่วนที่เกี่ยวกับการตั้งคณะกรรมการสำรวจการออกโฉนดที่ดิน เพื่อให้มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อโต้เถียงเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญอันเป็นคำวินิจฉัยของศาลที่มีอำนาจชี้ขาดได้ชี้ขาดไปแล้วโดยชอบ ก็ต้องถือว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดตั้งคณะกรรมการสำรวจการออกโฉนดที่ดินไม่มีผลใช้บังคับมาตั้งแต่นั้นจนบัดนี้ ไม่อาจกลับรื้อฟื้นให้มีผลใช้บังคับขึ้นได้อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 913/2536 วินิจฉัยว่าคดีเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ตามประกาศ รสช. ฉบับที่ 26 ข้อ 6 ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายได้

คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยเฉพาะในปัญหาว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 หรือไม่เท่านั้นอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2534 หรือไม่ จึงตกอยู่แก่ศาลตามหลักกฎหมายทั่วไป ศาลจึงมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคำร้อง โดยไม่ต้องส่งให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ประกาศ รสช. ฉบับที่ 26 ข้อ 2 และข้อ 6 เป็นการตั้งคณะบุคคลที่มิใช่ศาลให้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเช่นเดียวกับศาล ย่อมขัดต่อประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย เป็นการออกและใช้กฎหมายที่มีโทษทางอาญาย้อนหลังไปลงโทษแก่ผู้ร้อง จึงเป็นกฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2534 มาตรา 30 ย่อมใช้บังคับมิได้

นอกจากนี้ ไม่อาจนำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 มาตรา 222 มาใช้บังคับ ต้องเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินที่สั่งยึดทรัพย์


ส่วนที่ 2 การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ โดยศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540

1. เจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญในการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ในส่วนที่ว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญ

เมื่อพิจารณาระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญแล้ว ในการร่างรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญได้พิเคราะห์ถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นภายใต้ระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญดังกล่าว เพื่อทำการปรับเปลี่ยนองค์กรที่มีอำนาจในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา ซึ่งเป็นองค์กรที่สำคัญองค์กรหนึ่งในระบบรัฐธรรมนูญ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญได้วิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น และแนวทางเบื้องต้นในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไว้ดังนี้

1.1 ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ

นับแต่ปี พ.ศ. 2489 เป็นต้นมา ผู้ร่างรัฐธรรมนูญของประเทศไทยก็ยังมิได้มีแนวคิดที่จะจัดตั้งองค์กรซึ่งมีหน้าที่พิทักษ์รักษาความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญในลักษณะรูปแบบของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” คงมีบัญญัติจัดตั้งในรูปของ “คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ” ซึ่งมีลักษณะเป็นองค์กรทางการเมืองมากกว่าศาลการกำหนดให้ตุลาการรัฐธรรมนูญส่วนหนึ่งประกอบด้วยตุลาการรัฐธรรมนูญโดยตำแหน่งซึ่งได้แก่ ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา (ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการเมืองโดยเฉพาะ) ประธานศาลฎีกา และอัยการสูงสุด (ซึ่งเป็นตำแหน่งประจำจึงอาจขัดกันในตำแหน่งหน้าที่ได้) และตุลาการรัฐธรรมนูญผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีการบัญญัติวิธีการสรรหาและการคัดเลือกไว้ ย่อมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

การกำหนดให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นองค์กรในรูปแบบของ “คณะกรรมการ” ได้ส่งผลโดยตรงต่อวิธีพิจารณาของตุลาการรัฐธรรมนูญการดำเนินงานของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญจึงมีการพิจารณาที่ไม่เปิดเผย และไม่มีหลักประกันพื้นฐานในวิธีพิจารณาไว้เหมือนดังเช่นวิธีพิจารณาทั่วไปขององค์กรในรูปแบบของ “ศาล” นอกจากนี้การกำหนดให้ตุลาการรัฐธรรมนูญผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งเพียงแค่ 4 ปี และสามารถได้รับการแต่งตั้งใหม่ได้[34] หรือการกำหนดให้คณะตุลาการรัฐธรมนูญมีวาระดำรงตำแหน่งที่เป็นไปตามอายุของสภาผู้แทนราษฎร[35] ก็ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นอิสระในการปฏิบัติงานของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ รวมทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายการเมืองสามารถมีอิทธิพลเหนือตุลาการรัฐธรรมนูญได้

1.2 แนวทางการแก้ไขของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ในการร่างรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540

จากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจากการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญในอดีต สภาร่างรัฐธรรมนูญจึงได้วางแนวทางในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์ประกอบ อำนาจหน้าที่ ตลอดจนวิธีพิจารณาของ “คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ” ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการกำหนดให้องค์กรพิเศษที่มีอำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญอยู่ในรูปแบบของ “ศาล” หรือเรียกว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ” เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีลักษณะในรูปแบบของศาลในกระบวนการยุติธรรมในสาขากฎหมายมหาชน โดยไม่มีลักษณะเป็นองค์การทางการเมืองเหมือนดังเช่นกรณีของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่ปัจจัยทางการเมืองได้มีอิทธิพลเหนือคำวินิจฉัยในบางเรื่อง ด้วยเหตุนี้นอกเหนือจากการกำหนดให้มีการจัดตั้ง “ศาลรัฐธรรมนูญ” ในรูปแบบของ “ศาล” แทน “คณะกรรมการ” ในรูปแบบของ “ศาล” แทน “คณะกรรมการ” สภาร่างรัฐธรรมนูญยังได้วางแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นองค์กรที่มีความสำคัญองค์กรหนึ่งในระบบรัฐธรรมนูญ สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญได้วางแนวทางในหลักการสำคัญไว้ ดังนี้[36]

1.2.1 องค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญ

สภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีองค์ประกอบที่มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยการตัดองค์ประกอบที่มาจากผู้ดำรงตำแหน่งออกไป และกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 14 คน รวม 15 คน ซึ่งมีวิธีการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไว้โดยเฉพาะ โดยคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะเป็นองค์กรซึ่งทำหน้าที่สรรหาผู้ทรงคุณวุฒิทางนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ จำนวน 15 คน เสนอต่อวุฒิสภา[37] และให้วุฒิสภาพิจารณาเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 9 คน โดยการลงคะแนนลับ จากบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะกรรมการสรรหาเสนอ

วาระการดำรงตำแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะมีระยะเวลา 9 ปี ทั้งนี้จะต้องพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระเมื่อมีอายุ 70 ปีบริบูรณ์ และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว การกำหนดให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีวาระการดำรงตำแหน่งที่ค่อนข้างยาวเช่นนี้ จะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีความเป็นอิสระมากขึ้น เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีความเป็นอิสระมากขึ้น เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจังและต่อเนื่องไม่ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้มีอำนาจแต่งตั้งที่จะเข้ามาใช้อำนาจแต่งตั้งใหม่ อย่างไรก็ตาม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอาจถูกวุฒิสภามีมติถอดถอนออกจากตำแหน่งได้ หากประพฤติทุกจริตต่อหน้าที่โดยผ่านการกลั่นกรองของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีหน่วยงานธุรการซึ่งสังกัดศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นอิสระทั้งในด้านการบริหารงานบุคคล งบประมาณ และการดำเนินงานอื่น

1.2.2 เขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ

สภาร่างรัฐธรรมนูญไว้วางแนวทางให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่ที่เพิ่มเติมจากที่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีอยู่แต่เดิม อาทิเช่น การพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของบทบัญญัติต่างๆ ของร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการควบคุม “ก่อน” การประกาศใช้เพื่อป้องกันมิให้มีการตราบทบัญญัติที่ผิดไปจากที่รัฐธรรมนูญกำหนด การพิจารณาคดีเกี่ยวกับพรรคการเมือง เป็นต้น

1.2.3 วิธีพิจารณาความของศาลรัฐธรรมนูญ

สภาร่างรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้หลักการสำคัญที่เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความของศาลรัฐธรรมนูญ บัญญัติไว้เป็นบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้กำหนดในรายละเอียด โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้วางแนวทางในวิธีพิจารณาอันเป็นหลักการพื้นฐานของวิธีพิจารณาความโดยศาลไว้อาทิเช่น การกำหนดให้การพิจารณาต้องกระทำโดยเปิดเผย การเปิดโอกาสให้มีการคัดค้านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ การรับฟังคำชี้แจงของผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง หรือผู้มีส่วนได้เสียก่อนทำคำวินิจฉัย คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะต้องให้เหตุผลประกอบ และให้ผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นที่สุดและมีผลผูกพันรัฐสภาคณะรัฐมนตรี ศาลทั้งหลาย และองค์กรอื่น ตลอดจนเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นต้น

2. ศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540

การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ได้กำหนดให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” เป็นองค์กรพิเศษที่มีอำนาจหน้าที่หลักในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ โดยมีองค์ประกอบ อำนาจหน้าที่ และวิธีพิจารณาความ ดังนี้

2.1 องค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ได้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 14 คน รวม 15 คน[38] ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากบุคคลดังต่อไปนี้[39]

(1) ผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา โดยวิธีลงคะแนนลับ จำนวน 5 คน

(2) ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด โดยวิธีลงคะแนนลับจำนวน 2 คน

(3) ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ ซึ่งได้รับเลือกจากวุฒิสภาจำนวน 3 คน โดยการสรรหาและจัดทำบัญชีรายชื่อของคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

วิธีการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นองค์กรที่มีหน้าที่ในการสรรหาและจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ และสาขารัฐศาสตร์ ประกอบด้วยประธานศาลฎีกา คณบดีคณะนิติศาสตร์หรือเทียบเท่าของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐทุกแห่งซึ่งเลือกกันเองให้เหลือ 4 คน คณบดีคณะรัฐศาสตร์หรือเทียบเท่าของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐทุกแห่งซึ่งเลือกกันเองให้เลือก 4 คน ผู้แทนพรรคการเมืองทุกพรรคที่มีสมาชิกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคละ 1 คน ซึ่งเลือกกันเองให้เหลือ 4 คน รวมทั้งสิ้น 13 คน

คณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่สรรหาและจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์จำนวน 10 คน และผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์จำนวน 6 คน เพื่อเสนอต่อประธานวุฒิสภา โดยต้องเสนอพร้อมความยินยอมของผู้ได้รับการเสนอชื่อนั้น ทั้งนี้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีเหตุทำให้ต้องมีการเลือกบุคคลให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว มติในการเสนอชื่อผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่

เมื่อคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้เสนอบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าวต่อประธานวุฒิสภาแล้ว ให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมวุฒิสภาเพื่อมีมติเลือกบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อในบัญชี ในการลงมติเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วุฒิสภาจะต้องกระทำโดยวิธีการลงคะแนนลับและพิจารณาเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 15 คน จากบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะกรรมการสรรหาเสนอ วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีวาระการดำรงตำแหน่ง 9 ปี นับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว (มาตรา 259) การกำหนดให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีวาระการดำรงตำแหน่งที่ยาวนานและไม่อาจได้รับแต่งตั้งใหม่เช่นนี้ ย่อมทำให้ตุลาการรัฐธรรมนูญมีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตุลาการรัฐธรรมนูญจะมีวาระการดำรงตำแหน่งที่ยาวนาน แต่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็อาจพ้นจากตำแหน่งได้ก่อนกำหนดตามวาระได้ ในกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตาย ลาออก มีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม หรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ต้องคำพิพากษาให้จำคุก และที่สำคัญที่สุดคือ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อาจถูกวุฒิสภามีมติถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นจากตำแหน่งได้ เมื่อปรากฏว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ หรือส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ (มาตรา 260) หน่วยธุรการของศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานศาลรัฐธรมนูญเป็นหน่วยธุรการของศาลรัฐธรรมนูญเป็นหน่วยธุรการของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นอิสระทั้งในด้านการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดำเนินงานอื่นโดยมีเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อประธานศาลรัฐธรรมนูญ (มาตรา 270)

2.2 เขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ได้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่ที่เพิ่มขึ้นจากอำนาจหน้าที่ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญในอดีตหลายประการด้วยกัน แต่ก็ยังคงมีอำนาจหน้าที่หลักในการควบคุมกฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้นไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญ และมีอำนาจหน้าที่อื่นที่เพิ่มขึ้นในประการสำคัญ ดังต่อไปนี้

2.2.1 อำนาจหน้าที่ในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญได้กำหนดวิธีการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญไว้ดังนี้

ก. การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญก่อนการประกาศใช้กฎหมาย ในกรณีที่ร่างกฎหมายใดที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว หรือถือว่าให้ความเห็นชอบแล้ว ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำร่างพระราชบัญญัติขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างกฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา (มาตรา 262) ในกรณีต่อไปนี้

(1) อำนาจในการวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา เสนอความเห็นเช่นว่านั้นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี และประธานแห่งสภาที่ได้รับความเห็นดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ

(2) อำนาจในการวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ร่างข้อบังคับการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ร่างข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา และร่างข้อบังคับการประชุมรัฐสภา มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่สมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน เสนอความเห็นเช่นว่านั้นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี และประธานแห่งสภาที่ได้รับความเห็นดังกล่าว ส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ

(3) อำนาจในการวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติ หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเสนอความเห็นมายังศาลรัฐธรรมนูญ

หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วเห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้น มีข้อความขัดแย้งหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้น ร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้น จะตกไปทั้งฉบับแต่ถ้าข้อความที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนั้นไม่ใช่สาระสำคัญ เฉพาะข้อความที่ขัดหรือแย้งนั้นเป็นอันตกไป

ข. การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ ภายหลังที่มีการประกาศใช้ ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่ศาลส่งความเห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดที่ศาลใช้บังคับกับคดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ โดยศาลอาจเห็นเองหรือคู่ความในคดีได้โต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะต้องยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนเกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น (มาตรา 264)

2.2.2 อำนาจในการวินิจฉัยชี้ขาด ความสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกรัฐสภา (มาตรา 96)

2.2.3 อำนาจในการวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว (มาตรา 216 และมาตรา 96)

2.2.4 อำนาจในการวินิจฉัยมติหรือข้อบังคับในเรื่องใดของพรรคการเมืองว่าขัดต่อสถานะหรือการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ หรือขัดหรือแย้งกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามคำร้องขอของสมาชิกพรรคการเมือง และกรรมการบริหารพรรคการเมือง (มาตรา 47 วรรคสาม)

2.2.5 อำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ถูกพรรคการเมืองมีมติให้พ้นจากสมาชิกพรรค (มาตรา 118)

2.2.6 อำนาจในการวินิจฉัยสั่งการให้บุคคลและพรรคการเมืองเลิกกระทำการ อันมีลักษณะเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือการกระทำใดๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งอานาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองที่กระทำการดังกล่าวได้ (มาตรา 63)

2.2.7 อำนาจในการวินิจฉัยชี้ขาดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาร้องขอประธานรัฐสภา และประธานรัฐสภาได้ส่งคำร้องนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ (มาตรา 142)

2.2.8 อำนาจในการวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือประธานวุฒิสภาแล้วแต่กรณีส่งให้พิจารณาเป็นร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่มีหลักการเดียวกันหรือคล้ายคลึงกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่ต้องยับยั้งไว้หรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้น มีหลักการอย่างเดียวกันหรือ คล้ายกันกับร่างพระราชบัญญัติ หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่ต้องยับยั้งไว้ ร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นก็จะเป็นอันตกไป (มาตรา 177)

2.2.9 อำนาจในการวินิจฉัยว่าในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย ของสภาผู้แทนราษฎรหรือคณะกรรมาธิการ มีการเสนอการแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายหรือไม่ เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา มีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา ได้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการกระทำเช่นว่านั้น ก็จะเป็นผลให้การเสนอการแปรญัตติ หรือการกระทำดังกล่าวนั้นสิ้นผลไป (มาตรา 180)

2.2.10 อำนาจในการวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้ง ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเสนอเรื่องมายังศาลรัฐธรรมนูญ (มาตรา 198)

2.2.11 อำนาจในการวินิจฉัยว่าพระราชกำหนด มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยสาธารณะหรือไม่ ในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภาได้เสนอความเห็นต่อประธานสภาที่ตนเป็นสมาชิกว่าพระราชกำหนดนั้นมิได้เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว และประธานสภาได้ส่งความเห็นนั้นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย (มาตรา 219)

2.2.12 อำนาจในการวินิจฉัยในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ (มาตรา 266)

2.2.13 อำนาจในการวินิจฉัยชี้ขาดกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจงใจไม่ยื่นรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบตามที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือจงใจยื่นเอกสารดังกล่าวด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ แก่คณะกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ ในกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ (มาตรา 295)

2.3 วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

นอกจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 จะกำหนดให้วิธีพิจารณาความของศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปตามที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งจะต้องกระทำด้วยมติเอกฉันท์ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับประเภทของคดีที่มีการนำขึ้นสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว รัฐธรรมนูญยังได้กำหนดกระบวนการพิจารณาและหลักการสำคัญอันเป็นพื้นฐานของวิธีพิจารณาความในศาลไว้ดังนี้

2.3.1 ผู้มีสิทธิในการเริ่มคดี รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมิได้บัญญัติรับรองสิทธิของประชาชนที่จะนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญไว้ เหมือนดังเช่นระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยศาลรัฐธรรมนูญในบางประเทศ[40] แต่ได้กำหนดให้ศาลเป็นผู้วินิจฉัยในเบื้องต้นว่ากฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดีนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูยหรือไม่โดยศาลอาจเห็นเองหรือคู่ความจะหยิบยกขึ้นให้ศาลพิจารณาก็ได้ ในกรณีที่ศาลวินิจฉัยว่า กฎหมายที่เป็นประเด็นในคดีนั้นไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ศาลก็จะดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ แต่ถ้าศาลวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ศาลจะต้องรอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว และส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย (มาตรา 264) อย่างไรก็ตามแม้รัฐธรรมนูญจะมิได้บัญญัติรองรับสิทธิของประชาชนในการนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญไว้ก็ตาม แต่ประชาชนก็สามารถ นำคดีขึ้นสู่การพิจารณาได้ ด้วยการร้องเรียนไปยังผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาในกรณีที่บุคคลใดเห็นว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยต่อไป (มาตรา 197)

2.3.2 วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อมีการนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจะทำการพิจารณาวินิจฉัยตามวิธีพิจารณาที่ศาลรัฐธรรมนูญได้จัดทำขึ้น และภายใต้แนวทางวิธีพิจารณาที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ ซึ่งอย่างน้อยต้องมีหลักประกันขั้นพื้นฐาน ดังต่อไปนี้[41]

ก. การพิจารณาโดยเปิดเผย

ข. การให้โอกาสคู่กรณีแสดงความเห็นของตนก่อนการวินิจฉัยคดี

ค. การให้สิทธิคู่กรณีที่จะขอตรวจดูเอกสารที่เกี่ยวข้องกับตน

ง. การเปิดโอกาสให้มีการคัดค้านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

จ. การให้เห็นผลประกอบคำวินิจฉัยหรือคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ

2.3.3 การพิจารณาและการทำคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้องค์คณะในการพิจารณาและในการทำคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ต้องประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่น้อยกว่า 9 คน และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นองค์คณะทุกคน จะต้องทำคำวินิจฉัยในส่วนขอบตนพร้อมแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชุมก่อนการลงมติ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างน้อยจะต้องประกอบด้วยความเป็นมาหรือคำกล่าวหา สรุปข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการพิจารณาเหตุผลในการวินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิง ทั้งนี้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคน ต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา (มาตรา 267)

2.3.4 ผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กำหนดให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาดมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ (มาตรา 268)

บทสรุป

ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในประเทศไทย จึงอยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ จากเดิมที่เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญมาโดยตลอด การปรับปรุงรูปแบบขององค์กรจากรูปแบบของ “คณะกรรมการ” มาเป็นรูปแบบของ “ศาล” จึงส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอำนาจหน้าที่ องค์ประกอบและโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีพิจารณาความของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะต้องมีความสมบูรณ์และควรจะเป็นแบบอย่างให้ศาลทั้งหลายได้ถือตาม ทั้งนี้การที่ศาลรัฐธรรมนูญจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้บรรลุภารกิจที่ได้รับมอบหมายนั้น ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ควรจะต้องศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายต่างประเทศ และกฎหมายไทย ตลอดจนสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองประกอบการพิจารณาด้วย และที่สำคัญที่สุด เมื่อศาลรัฐธรรมนูญจะต้องทำหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีที่มีผลกระทบทางการเมืองความรอบคอบและความไม่เป็นฝักเป็นฝ่ายทางการเมือง จึงเป็นหัวใจสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญให้สมตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน


อ้างอิง

  1. หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ได้ถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรก โดยรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา หมวด 6 มาตรา 2 ซึ่งบัญญัติว่า “รัฐธรรมนูญนี้.. เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ และผู้พิพากษาในทุกมลรัฐจะถูกผูกพันกับรัฐธรรมนูญ และกฎหมายดังว่านั้น ไม่ว่าจะมีบทใดๆ ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายแห่งมลรัฐกำหนดให้เป็นอย่างอื่นก็ตาม”

    รัฐธรรมนูญสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน มาตรา 20 วรรคสาม ได้บัญญัติไว้ว่า “อำนาจนิติบัญญัติถูกผูกพันโดยระบอบรัฐธรรมนูญ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ ถูกผูกพันโดยพระราชบัญญัติและกฎหมาย

    รัฐธรรมนูญฝรั่งเศส บัญญัติไว้ในมาตรา 62 ว่า “บัญญัติใดที่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้ประกาศว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญจะประกาศให้และนำบทบัญญัตินั้นมาใช้บังคับมิได้” ในกรณีเช่นนี้ แม้รัฐธรรมนูญจะมิได้บัญญัติรับรองความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญไว้โดยชัดแจ้ง แต่บทบัญญัติดังกล่าวก็ได้แสดงให้เห็นอยู่ในตัวตีความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ

  2. ระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ แบ่งออกเป็น 2 ระบบ ดังนี้

    (1) ระบบกระจายอำนาจ (decentralized system) เป็นระบบที่มี การกระจายอำนาจในการวินิจฉัยว่า บทบัญญัติที่ศาลใช้บังคับกับคดีที่ศาลพิจารณาอยู่ขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญหรือไม่ ไปยังศาลยุติธรรมทุกศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในระบบกระจายอำนาจนี้ เป็นระบบที่มีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นต้นแบบและยังคงใช้บังคับอยู่ในประเทศญี่ปุ่น นอร์เวย์ และสวีเดน

    (2) ระบบรวมอำนาจ (centralized system) การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในระบบรวมอำนาจนี้เป็นการรวมอำนาจในการวินิจฉัยว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไว้ที่องค์กรๆ เดียวเป็นการเฉพาะ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ และคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ในปัจจุบันระบบนี้ได้มีการนำไปใช้มากในประเทศภาคพื้นยุโรป

  3. รัฐธรรมนูญฝรั่งเศสแห่งสาธารณรัฐที่ 4 ค.ศ. 1946 ได้บัญญัติว่า

    “มาตรา 91 คณะกรรมการรัฐธรรมนูญ มีประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเป็นประธาน คณะกรรมการรัฐธรรมนูญประกอบด้วย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานคณะรัฐมนตรี (หรือตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน) และกรรมการอีก 7 คน ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรเลือกตั้ง จากบุคคลที่มิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามสัดส่วนของกลุ่มสมาชิกในสภาเมื่อเปิดสมัยประชุมประจำปี และกรรมการอีก 3 คน ซึ่งได้รับเลือกตั้งจากวุฒิสภา ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน

    คณะกรรมการรัฐธรรมนูญ มีอำนาจพิจารณาว่า ร่างรัฐบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบนั้น จะทำให้ต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือไม่ มาตรา 92 ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่รัฐสภาให้ความเห็นชอบกับร่างรัฐบัญญัติใด ก่อนการประกาศใช้ร่างรัฐบัญญัติ ประธานคณะกรรมการ อาจร้องขอให้คณะกรรมการรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าร่างรัฐบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบนั้น จะทำให้ต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือไม่ และคณะกรรมการรัฐธรรมนูญ จะต้องวินิจฉัยให้เสร็จภายใน 5 วัน แต่ถ้าเป็นเรื่องรีบด่วน คณะกรรมการรัฐธรรมนูญ จะต้องวินิจฉัยให้แล้วเสร็จในเวลา 2 วัน ทั้งนี้อำนาจในการวินิจฉัยของคณะกรรมการรัฐธรรมนูญจะจำกัดอยู่เฉพาะการวินิจฉัยว่าต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือไม่ในหมวด 1 –10 เท่านั้น

  4. คดี Marbury V. Madison มีข้อเท็จจริงโดยย่อดังนี้ : ภายหลังการพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งของพรรค Federalists ในปี ค.ศ. 1801 ในวันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดี John Adams ได้ลงนามแต่งตั้งผู้ที่จงรักภักดีต่อพรรคFederalists ให้ดำรงตำแหน่งตุลาการ (Justice of the Peace) ซึ่งบุคคลหนึ่งที่ได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดี Adams ก็คือ William Marbury แต่เนื่องจากหนังสือแต่งตั้งบางฉบับยังไม่สามารถส่งมอบให้กับผู้ได้รับแต่งตั้งได้ทันในวันนั้น ซึ่งก็มีหนังสือแต่งตั้ง William Marbury ให้ดำรงตำแหน่งตุลาการประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. รวมอยู่ด้วย และเมื่อประธานาธิบดี Thomas Jefferson จากพรรค Republican เข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดี Jefferson ซึ่งไม่พอใจต่อการแต่งตั้งตุลาการในวันสุดท้ายของประธานาธิบดี Adams จึงสั่งให้ยับยั้งหนังสือแต่งตั้งนั้นไว้ ต่อมา William Marbury จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ให้ออกหมายบังคับให้ James Madison ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเรื่องดังกล่าวอยู่ในขณะนั้น ส่งมอบหนังสือแต่งตั้งให้กับตน โดยอ้าง Judicial Act 1789 มาตรา 3 ที่ให้อำนาจศาลสูงสุดในการออกหมายบังคับให้ฝ่ายบริหารปฏิบัติการใดๆ ได้ในคดีนี้ประธานศาลสูงสุด John Marshll ได้วินิจฉัยว่า Marbury มีสิทธิที่จะได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้ และเขาก็มีสิทธิ์ต่อไปที่จะได้รับคำสั่งแต่งตั้ง ซึ่งศาลสามารถออกหมายบังคับได้ แต่เมื่อศาลได้พิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา Article III section 2. (2) ซึ่งให้ศาลสูงสุด มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตั้งแต่ต้น (original jurisdiction ) เฉพาะคดีที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่ทางการฑูตเป็นคู่ความแล้ว ศาลสูงสุดจึงไม่มีอำนาจในการที่จะรับฟ้องคดี และออกหมายตามคำของ Marbury ได้ ดังนั้น Judicial Act 1789 ในส่วนที่ให้ ศาลมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าว จึงขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และเป็นโมฆะ
  5. สาเหตุของการที่ศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา ต้องวางหลักไว้ในคดี Martury V. Madison ให้ศาลทั้งหลายในสหรัฐอเมริกา เป็นองค์กรที่มีอำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ ก็เนื่องมาจากการที่รัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา ได้บัญญัติรับรองความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญไว้ในหมวด 6 มาตรา 2 แต่มิได้บัญญัติให้มีองค์กรที่มีอำนาจในการควบคุมมิให้กฎหมายขัดรัฐธรรมนูญ เพื่อทำหน้าที่รักษาความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญไว้ ศาลจึงต้องอ้างความเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการ เพื่อให้มีอำนาจในการพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยสภาคองเกรส
  6. Robert B. Mckay. An American Constitutional Law Reader. (1958).
  7. อย่างไรก็ตาม ระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยศาลยุติธรรม ที่มีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นต้นแบบนี้ได้มีข้อโต้แย้งจำนวนมากว่าขัดต่อหลักแบ่งแยกอำนาจ เพราะระบบดังกล่าว ได้เปิดโอกาสให้ศาลยุติธรรมซึ่งเป็นฝ่ายตุลาการสามารถตรวจสอบควบคุมการใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติได้ และทางปฏิบัติที่ผ่านมา ก็ปรากฏว่าศาลมักจะใช้อำนาจเกินขอบเขต โดยในระหว่าง ค.ศ.1880-1936 ศาลยุติธรรมสหรัฐอเมริกา ได้วินิจฉัยว่ากฎหมายที่ออกโดยรัฐสภาขัดรัฐธรรมนูญและเป็นโมฆะเป็นจำนวนมาก จนถึงขนาดมีคำกล่าวในขณะนั้นว่า สหรัฐอเมริกาถูกปกครองโดยรัฐบาลของผู้พิพากษา ด้วยเหตุนี้จึงก่อให้เกิดแนวคิดในการจัดตั้งองค์กรพิเศษที่มีความเป็นอิสระและเป็นกลาง ในการพิจารณาคดีดังกล่าวโดยเฉพาะ ดังเห็นได้จากการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญ หรือคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ในประเทศภาคพื้นยุโรป ซึ่งจะได้กล่าวถึงในหัวข้อต่อไป
  8. วิจิตรา วิเชียรชม. “การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ.” ใน รวมบทความทางวิชาการ เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปี ศาสตราจารย์ ไพโรจน์ ชัยนาม. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ประกายพรสึก, 2535), หน้า 176 – 182.
  9. ในสหรัฐอเมริกา หลักในเรื่องผลย้อนหลังของกฎหมาย (retrospective) ซึ่งให้ถือว่ากฎหมายเป็นโมฆะมาแต่แรก ต่อมาได้ก่อให้เกิดปัญหาขึ้นในกรณีที่ศาลได้กลับคำพิพากษาเสียใหม่ เช่น ในคดีเดิมศาลได้พิพากษาให้กฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดี เป็นโมฆะเพราะขัดรัฐธรรมนูญ จำเลยในคดีจึงไม่มีความผิด แต่ต่อมาศาลได้กลับคำวินิจฉัยว่ากฎหมายดังกล่าวใม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญเช่นนี้ ย่อมก่อให้เกิดปัญหาว่าศาลจะย้อมกลับไปลงโทษผู้กระทำผิดตามกฎหมายฉบับดังกล่าวนับแต่คดีแรกจนถึงคดีหลังได้หรือไม่ ด้วยเหตุนี้ ในเวลาต่อมาศาลสหรัฐฯ จึงได้เปลี่ยนแปลงหลักในเรื่องการย้อนหลังของกฎหมาย โดยวางหลักว่า ศาลจะเป็นผู้วินิจฉัยถึงผลของการย้อนหลังของกฎหมายเอง โดยคำนึงถึงผลดีผลเสียในเสียแต่ละคดี โปรดดูรายละเอียดในมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, เอกสารการสอนชุดวิชากฎหมายมหาชน หน่วยที่ 8–15. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สุโขทัยธรรมาธิราช, 2534), หน้า 575 – 576.
  10. ระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในระบบกระจายอำนาจ ได้ยึดถือหลักที่ว่าศาลมิได้เป็นองค์กรที่อยู่เหนือกว่ารัฐบาล แต่ศาลมีอำนาจวินิจฉัยกว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็เพราะศาลต้องใช้บังคับกฎหมาย ศาลจึงต้องตีความกฎหมาย เมื่อกฎหมายใดขัดรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด กฎหมายนั้นก็ใช้บังคับมิได้ศาลจึงนำกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับมิได้ และเนื่องจากศาลเป็นเพียงผู้ใช้ และแสดงความเป็นอยู่ของกฎหมาย (declaration) เท่านั้น คำพิพากษาของศาลจึงมีผลแต่ในคดีระหว่างคู่ความเท่านั้น Cappelletti. Judicial Review in the Contemporary World (1976), p.51. อ้างในเรื่องเดียวกัน (หน้า 672).
  11. Hans Kelsen. “Judicial Review of Legislation.” 4 Journal of Politics, (1942), p.184 – 186. อ้างใน ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์. “การแบ่งแยกอำนาจกับการตีความรัฐธรรมนูญ.” วารสารกฎหมายปกครอง 1 (สิงหาคม 2536), หน้า 400.
  12. เรื่องเดียวกัน. หน้าเดียวกัน. จะเห็นได้ว่า แนวคิดในการจัดตั้งองค์กรพิเศษขึ้น ทำหน้าที่ในการควบคุมกฎหมายให้ขัดรัฐธรรมนูญของ Kelsen นั้น ต้องการที่จะรวมอำนาจในการวินิจฉัยไว้ที่องค์กรๆ เดียว โดยไม่กระจายอำนาจไปยังหลายองค์กรเหมือน ดังเช่นระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญในสหรัฐอเมริกา ที่คำวินิจฉัยจะมีผลผูกพันเป็นรายคดีไปเท่านั้น โดยไม่มีผลเป็นการทั่วไป ซึ่งในบางครั้งได้ก่อให้เกิดปัญหาในคำวินิจฉัยที่ขาดความเป็นเอกภาพในแต่ละศาล
  13. ศาลรัฐธรรมนูญของออสเตรีย ได้กลายเป็นแม่แบบของระบบควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ ในระบบรวมอำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญไว้ที่องค์กรๆ เดียวของประเทศต่างๆ ในเวลาต่อมา
  14. กมลชัย รัตนสกาววงศ์. ศาลรัฐธรรมนูญและวิธีการพิจารณารัฐธรรมนูญ. รายงานการวิจัยเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย. (กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย), หน้า 23 – 24.
  15. การที่ศาลยุติธรรมเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญ ในช่วงเวลาดังกล่าว อาจจะเนื่องมาจากการที่รัฐธรรมนูญในขณะนั้น คือรัฐธรรมนูญ ค.ศ.1918 มิได้บัญญัติถึงองค์กรที่มีอำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญแต่ได้กำหนดไว้เพียงว่า “การควบคุมตรวจสอบทางรัฐธรรมนูญจะกระทำในกรณียุติข้อพิพาทระหว่างสหพันธ์รัฐและมลรัฐเท่านั้น การร้องทุกข์ว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนกระทบกระเทือนจะร้องต่อศาลสูงสุดมิได้” ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เกิดแนวคิดในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยศาลยุติธรรม Karl George Zierlrin. Constitutional Control by Courts, Report to the 14th Conference on the Law on the World. (Peking China, 1990), p.6. อ้างใน กมลชัย รัตนสกาววงศ์. ศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ. หน้า 17.
  16. เรื่องเดียวกัน. หน้า 18 –19.
  17. เรื่องเดียวกัน. หน้า 45-54.
  18. ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ. 2488 เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำตนเป็นอาชญากรสงครามในระหว่างสงคราม โดยพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวในมาตรา 3 ได้บัญญัติว่า

    “มาตรา 3 การกระทำใด ๆ อันบุคคลได้กระทำไม่ว่าในฐานะเป็นตัวการหรือผู้สมรู้ต้องตามที่บัญญัติไว้ต่อไปนี้ ให้ถือว่าเป็นอาชญากรสงคราม และผู้กระทำเป็นอาชญากรสงคราม ทั้งนี้ไม่ว่าการกระทำนั้นจะได้กระทำก่อนหรือหลังวันใช้พระราชบัญญัตินี้

    (1) ทำการติดต่อ วางแผนการศึก เพื่อทำสงครามรุกรานหรือกระทำการโดยสมัครใจเข้าร่วมสงครามกับผู้ทำสงครามรุกราน หรือโฆษณาชักชวนให้บุคคลเห็นดีเห็นชอบในการกระทำของผู้ทำสงครามรุกราน

    (2) ละเมิดกฎหมายจารีตประเพณีในการทำสงคราม คือปฏิบัติมิชอบธรรมต่อทหารที่ตกเป็นเชลย จัดส่งพลเรือนไปเป็นทาส ฆ่าผู้ที่ถูกจับเป็นประกัน ทำลายบ้านเมืองโดยไม่จำเป็นสำหรับการทหาร

    (3) กระทำการละเมิดต่อมนุษยธรรม คือ กดขี่ข่มเหงในทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ หรือศาสนา”

  19. อย่างไรก็ตาม ก่อนคำพิพากษาคดีอาชญากรสงครามที่ 1/2489 ศาลอุทธรณ์ได้เคยพิพากษาว่ากฎหมายลักษณะอาญาแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2470 มาตรา 104 ก) และ ข) ขัดรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 มาตรา 61 แต่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่ากฎหมายดังกล่าวไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในคำพิพากษาฎีกาที่ 456/2478
  20. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489

    “มาตรา 87 บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีข้อความขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

    มาตรา 88 ในการที่ศาลจะใช้บทกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นว่าบทกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 87 ก็ให้ศาลรอการพิจารณาพิพากษาคดีนั้นไว้ชั่วคราว แล้วรายงานความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการไปยังคณะตุลาการรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย เมื่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว ให้แจ้งให้ศาลทราบ

    คำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญให้ถือเป็นเด็ดขาดและให้ศาลปฏิบัติตามนั้น”

  21. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489 พ.ศ. 2492 พ.ศ. 2495 พ.ศ. 2511 พ.ศ. 2517 พ.ศ. 2521 และ พ.ศ. 2534 อย่างไรก็ตาม แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ เป็นองค์กรที่มีอำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะแต่ก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าศาลยุติธรรม จะเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยในเบื้องต้นว่ากฎหมายใช้บังคับอยู่ในคดีนั้นๆ ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าศาลเห็นว่าขัดรัฐธรรมนูญ ศาลจึงจะส่งไปให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ถ้าศาลเห็นว่ากฎหมายนั้นไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลก็สามารถพิจารณาวินิจฉัยคดีนั้นต่อไปได้ โดยไม่ต้องส่งเรื่องไปยังคณะตุลาการรัฐธรรมนูญด้วยเหตุนี้ ระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญโดยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ จึงเป็นระบบผสมระหว่างระบบกระจายอำนาจและระบบรวมอำนาจ
  22. ตุลาการรัฐธรรมนูญโดยตำแหน่ง ส่วนมากจะปะกอบด้วยบุคคลซึ่งมีความรู้ในทางนิติศาสตร์ เช่น ประธานศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ อธิบดีกรมอัยการ และบุคคลซึ่งเป็นผู้แทนจากฝ่ายการเมือง ได้แก่ ประธานวุฒิสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่วนตุลาการรัฐธรรมนูญซึ่งมาจากผู้ทรงคุณวุฒิ ในรัฐธรรมนูญบางฉบับ เช่น รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 และพ.ศ. 2534 ได้กำหนดให้ตุลาการรัฐธรรมนูญจะต้องมาจากผู้ทรงคุณวุฒิในทางกฎหมาย และผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ ตามลำดับ แต่ในรัฐธรรมนูญบางฉบับ ก็มิได้มีการกำหนดคุณสมบัติของผู้ทรงคุณวุฒิไว้แต่ประการใด เช่น รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2495 พ.ศ. 2511 และ พ.ศ. 2521 ด้วยเหตุนี้ องค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้งจึงมีอำนาจอย่างกว้างขวางในการคัดเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งตุลาการรัฐธรรมนูญ
  23. เป็นที่น่าสังเกตว่า ในขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับอื่นๆ ได้กำหนดให้ตุลาการรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มาจากการแต่งตั้งโดยรัฐสภา แต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ได้กำหนดให้รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการตุลาการ เป็นผู้คัดเลือกตุลาการรัฐธรรมนูญจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนฝ่ายละ 3 คน ซึ่งสะท้อนแนวคิดของผู้ร่างรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ที่ต้องการให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ประกอบไปด้วยผู้แทนองค์กรผู้ใช้อำนาจสูงสุดทั้งสามได้เป็นอย่างดี
  24. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 พ.ศ. 2511 พ.ศ. 2517 พ.ศ. 2521 และ พ.ศ. 2534
  25. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 พ.ศ. 2521 และ พ.ศ. 2534
  26. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 พ.ศ. 2521 และ พ.ศ. 2534
  27. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 พ.ศ. 2521 และ พ.ศ. 2534
  28. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 และ พ.ศ. 2534
  29. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. . 2534
  30. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534
  31. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534
  32. ยกตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 บัญญัติว่า “มาตรา 141 ภายใต้บังคับมาตรา 191 ถ้ามีปัญหาที่จะต้องตีความรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาที่จะตีความ และให้ถือว่าการตีความของรัฐสภาเป็นเด็ดขาด”
  33. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 “มาตรา 207 ในกรณีที่คณะรัฐมนตรี รัฐสภา วุฒิสภา หรือสภาผู้แทนราษฎรมีมติว่า กรณีมีปัญหาที่จะต้องตีความรัฐธรรมนูญ ให้นายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภาหรือประธานสภาผู้แทนแล้วแต่กรณี ส่งเรื่องให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย”
  34. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) มาตรา 200
  35. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489 , พ.ศ. 2492, พ.ศ. 2511, พ.ศ. 2517 และ พ.ศ. 2521
  36. สภาร่างรัฐธรรมนูญ. กรอบเบื้องต้นร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน : เอกสารพื้นฐานประกอบกระบวนการรับฟังความคิดเห็นเพื่อการมีส่วนร่วมกำหนดรัฐธรรมนูญโดยประชาชน, (กรุงเทพฯ, 2540), หน้า 29-32.
  37. ในชั้นแรกนั้น สภาร่างรัฐธรรมนูญได้วางแนวทางไว้ โดยกำหนดให้รัฐสภาซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา (มาจากการแต่งตั้ง) มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคัดเลือก ตลอดจนการแต่งตั้งถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงต่างๆ แต่ต่อมาในการพิจารณาในวาระที่ 2 ของสภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้มีการแก้ไขให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ผู้ร่างรัฐธรรมนูญจึงได้เปลี่ยนแปลงให้วุฒิสภาซึ่งมีที่มาจากประชาชน มีอำนาจหน้าที่ในการเลือกและถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงต่างๆ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
  38. อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ยังไม่มีการจัดตั้งศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญจะประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 13 คน
  39. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 255
  40. 40 การมิได้รับรองสิทธิของประชาชนในการนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ก็เพื่อให้มีการกลั่นกรองคดีก่อนที่จะนำขึ้นสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะมิฉะนั้นแล้ว ก็จะมีการนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญจำนวนมาก ในขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพียง 15 คน
  41. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 269