รูปแบบบริการสาธารณะ (Types of public services)

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เอกวีร์ มีสุข

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์ ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี

รูปแบบบริการสาธารณะ (Types of public services)

                   การทำความเข้าใจรูปแบบบริการสาธารณะต้องเริ่มจากการเข้าใจถึงความหมายของ ‘บริการสาธารณะ’ (public service) คือ “องค์ประกอบของกิจกรรมที่สาธารณะต้องการ แต่ไม่สามารถเข้าถึงได้ผ่านระบบตลาดเสรี เว้นแต่ต้องอาศัยการจัดสรรทรัพยากรโดยรัฐบาล”[1] การจัดบริการสาธารณะเป็นจักรกลสำคัญของของการจัดการปกครองให้มีประสิทธิผลผ่านการจัดส่งบริการเพื่อส่งเสริมระบบเศรษฐกิจ รัฐบาลไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหากปราศจากโครงสร้างการบริหารราชการในการจัดส่งบริการสาธารณะตามที่ได้ให้สัญญาไว้ในทางการเมือง รวมถึงการจัดหาบริการสาธารณะที่สอดรับกับความต้องการสวัสดิการขั้นพื้นฐานของพลเมือง[2] กล่าวได้ว่า การจัดบริการสาธารณะถือเป็นเครื่องมือทางการปกครองของรัฐที่ดำเนินการผ่านระบบราชการเพื่อตอบสนองต่อคำมั่นสัญญาที่ให้กับประชาชนและระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ บริการสาธารณะมีความแตกต่างหลากหลายที่กินความบริการและกิจกรรมอย่างกว้างขวางตั้งแต่การป้องกันประเทศ การทูต การคลัง การสาธารณสุข การศึกษา การสาธารณูปโภค การส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นต้น การพิจารณาว่าบริการสาธารณะมีรูปแบบอะไรบ้างต้องคำนึงถึงเกณฑ์และหลักคิดของการกำหนดรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยในที่นี้จะอธิบายเฉพาะการแบ่งรูปแบบบริการสาธารณะโดยรัฐหรือเอกชน และได้ยกตัวอย่างรูปแบบบริการสาธารณะมาพอสังเขป

เกณฑ์และหลักคิดของการกำหนดรูปแบบบริการสาธารณะ

                   บริการสาธารณะ (public services) เป็นคำที่มีการถกเถียงว่าการนิยามความหมายให้เป็นที่เข้าใจและยอมรับตรงกันว่า ‘ความเป็นสาธารณะ’ (publicness) คืออะไร Shamsul Haque (2001) ได้เสนอความหมายและเกณฑ์ความเป็นสาธารณะของบริการสาธารณะ โดยรูปแบบบริการสาธารณะที่ดีและมีความเป็นสาธารณะ สามารถพิจารณารูปแบบได้ใน 5 มิติ คือ

                   1) ระดับความแตกต่างระหว่างรัฐ-เอกชน (the degree of public-private distinction) ว่าความเป็นสาธารณะต้องมีบรรทัดฐานการบริการ (service norms) ที่ประกอบด้วย หนึ่ง ความไม่ลำเอียงและการเปิดกว้าง โดยการจัดบริการของรัฐไม่สามารถกีดกันและเลือกปฏิบัติต่อผู้รับการจัดบริการสาธารณะ ตัวอย่างเช่น การกีดกันคนผิวสีให้ใช้บริการโรงพยาบาลสำหรับคนผิวขาว สอง ความเท่าเทียมและการเป็นตัวแทน การให้บริการสาธารณะของรัฐควรยึดโยงและคำนึงถึงความต้องการของคนผ่านการมีตัวแทนอย่างเช่น นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งที่จะนำเสนอความต้องการของประชาชนเพื่อให้รัฐจัดบริการที่ตอบสนองให้ดียิ่งขึ้นและตรงจุด ต้องสาม มีธรรมชาติการจัดบริการที่ซับซ้อนและมักผูกขาด บริการสาธารณะของรัฐมีขอบเขตของบริการและกิจกรรมที่กว้างขวาง รวมถึงมีบริการบางประเภทที่รัฐสามารถดำเนินการได้แต่เพียงผู้เดียว อาทิ การป้องกันประเทศหรือกระบวนการยุถติธรรม และสี่ มีผลกระทบทางสังคมในวงกว้างและยาวนาน บริการสาธารณะของรัฐส่งผลกระทบต่อคนทุกคนภายในรัฐนั้นซึ่งต่างจากบริภารของภาคเอกชนที่ส่งผลเฉพาะลูกค้าที่ขอรับบริการ

                   2) องค์ประกอบของผู้รับบริการ (Composition of Service recipient) พิจารณาถึงจำนวนและขอบข่ายของผู้รับบริการ ว่าได้เกิดการแบ่งปันและมีขอบข่ายการเข้าถึงบริการสาธารณะอย่างครอบคลุมที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของประชาชนทุกคน อีกทั้งองค์ประกอบของผู้รับบริการว่าประกอบด้วยบุคคล/กลุ่มใด สัมพันธ์กับขอบข่ายความเป็นเจ้าของของประชาชน และธรรมชาติของประชาชนที่เป็นผู้รับบริการอีกด้วย หากพิจารณาถึงจำนวนและขอบข่ายของผู้รับบริการจะพบว่ามีบริการสาธารณะบางประเภทจะจัดให้กับคนทุกคน (ตัวอย่างเช่น ตำรวจผู้ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยต่อคนทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น) และบริการสาธารณะบางประเภทจะจัดให้กับคนเฉพาะกลุ่ม (ตัวอย่างเช่น การจ่ายเบี้ยยังชีพแก่ผู้สูงอายุ)

                   3) ธรรมชาติของบทบาท (nature of the role) พิจารณาว่าบริการสาธารณะที่เกิดขึ้นในสังคม ว่ามีบทบาทที่เข้มแข็งและกว้างขวางจนแสดงถึงผลกระทบทางสังคมในวงกว้างมากน้อยเพียงใด เนื่องจากบริการสาธารระบางประเภทแม้จะจำเป็นแต่มีผลกระทบที่จำกัดขณะที่บางประเภทอาจส่งผลในวงกว้าง ทั้งในแง่ของผลกระทบที่มีต่อประชาชน หรือผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงต่อมิติที่หลากหลายอื่นทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ

                   4) ความรับผิดรับชอบสาธารณะ (public accountability) พิจารณาถึงขอบข่ายของการรับผิดรับชอบต่อสาธารณะผ่านกระบวนการต่าง ๆ เช่น การรับฟังความคิดเห็น การมีกระบวนการตอบสนองต่อความไม่พอใจจากผู้เกี่ยวข้อง การมีผู้ตรวจการ หรือการสร้างความโปร่งใสตามกฎหมาย ทั้งนี้ การแสดงความรับผิดรับชอบสาธารณะควรมีในทุกสถาบันและหน่วยงานผู้จัดบริการและจะช่วยทำให้การดำเนินงานของสถาบันเหล่านี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

                   5) ความเชื่อมั่นสาธารณะ (public trust) พิจารณาว่าบริการสาธารณะจะรักษาความเป็นสาธารณะได้ต้องรักษาความน่าเชื่อถือในด้านความเป็นผู้นำและการตอบสนองต่อประชาชน[3]

รูปแบบบริการสาธารณะโดยรัฐหรือเอกชน

                   หากกล่าวถึงรูปแบบบริการสาธารณะโดยรัฐหรือเอกชน คือ การกำหนดเส้นแบ่งว่าอะไรคือบริการสาธารณะโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบริการสาธารณะที่จัดให้โดยรัฐ (public) และบริการที่จัดโดยเอกชน (private) บริการสาธารณะจะแสดงถึงการจัดหาและการกำกับดูแลบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์สาธารณะที่ไม่ใช่การพาณิชย์ (non-commercial public interest) ที่สอดรับกับความต้องการของสังคมในแนวทางที่ระบบตลาดไม่สามารถตอบสนองให้ได้ โดยการจัดบริการต้องทำให้แน่ใจว่าทุกชุมชนสามารถเข้าถึงบริการได้เฉพาะอย่างยิ่งบริการขั้นพื้นฐาน (basic service) ตัวอย่างเช่น การคมนาคมขนส่ง การศึกษา การสาธารณสุข และกระบวนการนิติบัญญัติ[4] นอกจากนี้ บริการสาธารณะโดยรัฐมักจะเป็นบริการที่ปราศจากการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ (absolute lack of competition) หรือมีการแข่งขันน้อยมากในเชิงเปรียบเทียบ (least comparative lack of competition) จนไม่จำเป็นต้องช่วงชิงลูกค้าหรือผู้รับบริการจากคู่แข่ง กล่าวคือบริการสาธารณะโดยรัฐมักมีลักษณะผูกขาดรายเดียว (monopolistic) หรือผูกขาดโดยผู้ให้บริการน้อยราย (oligopolistic) ทำให้การจัดบริการสาธารณะเหล่านี้จึงปราศจากคุณลักษณะพื้นฐานของระบบตลาดแบบค้ากำไร บริการสาธารณะโดยรัฐบางประเภทที่มีลักษณะเน้นการกำกับควบคุม (regulatory role) อย่างเช่นการเก็บภาษีหรือการบังคับใช้กฎหมายนอกจากจะมีลักษณะผูกขาดรายเดียว/ผูกขาดน้อยรายแล้วก็มีลักษณะเชิงบังคับ (mandatory) ที่ผู้รับบริการต้องรับบริการเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้[5] แตกต่างจากการจัดบริการโดยเอกชนที่โดยมาก (ไม่ใช่ทั้งหมด) จะเป็นสินค้าและบริการที่เกิดขึ้นในตลาดที่มีการแข่งขัน (competition) และมีผู้เข้าแข่งขันมากราย ภาคเอกชนที่เป็นผู้จัดบริการจะพยายามแข่งขันนำเสนอสินค้าและบริการทางด้านราคาและคุณภาพเพื่อช่วงชิงลูกค้าและผู้รับบริการ

                   ทั้งนี้ การพิจารณาว่าสินค้าและบริการใดควรจัดหาโดยรัฐหรือโดยเอกชน ตามแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ได้แบ่งประเภทสินค้าหรือบริการตามเกณฑ์ความกีดกันได้ (excludability) ที่มองถึงความสามารถในการปฏิเสธไม่ให้ผู้อื่นเข้าถึงสินค้าหรือบริการหนึ่ง ๆ ได้หรือไม่ (อย่างเช่น สินค้าและบริการบางประเภทกีดกันโดยให้จ่ายค่าบริการ หากไม่จ่ายก็ไม่สามารถใช้ได้ แตกต่างจากสินค้าและบริการบางประเภทที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายทำให้ทุกคนเข้าถึงได้ฟรี) และเกณฑ์ความเป็นปรปักษ์ (rivalry) ที่มองว่าหากมีบุคคลหนึ่งบริโภคหรือใช้สอยสินค้าหรือบริการหนึ่ง ๆ จะทำให้บุคคลอื่นสูญเสียโอกาสบริโภคสินค้าและบริการอันนั้นหรือไม่ (อย่างเช่น หาก)[6] โดยเกณฑ์การแบ่งดังกล่าวสามารถจำแนกสินค้าออกเป็น 4 ประเภท คือ

                   1) สินค้าสาธารณะ (public goods) หมายถึง สินค้าและบริการที่กีดกันไม่ได้ (non-excludable) และไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค (non-rival) ที่ผู้รับบริการสามารถมาใช้สินค้าและบริการได้โดยไม่ต้องซื้อโดยจ่ายค่าสินค้าและบริการตามราคาตลาดหรือจ่ายเพียงเล็กน้อย และการใช้สินค้าและบริการของผู้รับบริการหนึ่ง ๆ ไม่ทำให้ผู้ใช้บริการคนอื่นเสียโอกาสในการใช้ร่วมกัน ตัวอย่างเช่น การป้องกันประเทศ การรักษาความปลอดภัย สวนสาธารณะ ฯลฯ ที่ทุกคนสามารถใช้ได้โดยไม่อาจกีดกันผู้อื่น (ทุกคนต้องได้รับความคุ้มครองจากทหารหากมีศัตรูภายนอกเข้าประชิด จากตำรวจหากโจรมาทำร้าย หรือเล่นในสวนสาธารณะได้)

                   2) สินค้าเอกชน (private goods) หมายถึง สินค้าและบริการที่กีดกันได้ (excludable) และเป็นปรปักษ์ในการบริโภค (rival) ที่ผู้รับบริการจะต้องซื้อสินค้าและบริการเพื่อบริโภค และการใช้สินค้าและบริการประเภทนี้จะทำให้ผู้อื่นไม่สามารถใช้สินค้าและบริการนี้ร่วมกันได้ ตัวอย่างเช่น ข้าวหมูกรอบที่เราซื้อจากร้านอาหารทำให้เรามีสิทธิบริโภคข้าวหมูกรอบจานนี้ได้เพียงคนเดียว เพราะข้าวหมูกรอบจานนี้ได้กลายเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อแล้ว (เว้นแต่คุณจะยินยอมให้เพื่อคุณตักแบ่งบ้าง)

                   3) สินค้าที่เรียกเก็บค่าบริการได้ (toll goods) หรือสินค้าเฉพาะกลุ่ม (club goods) หรือสินค้าหายากไม่จริง (artificially scarce goods) หมายถึง สินค้าและบริการที่กีดกันได้ (excludable) แต่ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค (non-rival) สินค้าและบริการประเภทนี้สามารถกีดกันผู้รับบริการได้ผ่านการเก็บค่าใช้จ่ายหรือการกำหนดเงื่อนไขการใช้สินค้าและบริการ แต่เมื่อผู้รับบริการผ่านเงื่อนไขดังกล่าวแล้วก็สามารถใช้สอยได้โดยไม่อาจกีดกันผู้รับบริการคนอื่น (ที่ผ่านเงื่อนไข) ได้ ตัวอย่างเช่น ค่าผ่านทางด่วนหากคนขับรถคนใดจ่ายค่าผ่านทางแล้วก็สามารถขับรถบนทางด่วนได้ เป็นต้น

                   4) สินค้าใช้ร่วม (common goods) หรือทรัพยากรร่วม (common pool resources: CPRs) หมายถึง สินค้าและบริการที่กีดกันไม่ได้ (non-excludable) และเป็นปรปักษ์ในการบริโภค (rival) โดยมากเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ทุกคนมีสิทธิใช้สอยได้ แต่ผลจากการใช้สอยจะกระทบต่อผู้อื่น ตัวอย่างเช่น การจับปลาในมหาสมุทรที่ไม่มีผู้ใดจะห้ามปรามได้หากชาวประมงมีกำลังพอที่จะจับปลาได้มากตามความต้องการ แต่การจับปลามากเกินไปอาจกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาและแหล่งอาหารของประชาชนคนอื่น เป็นต้น[7]

                   จากลักษณะสินค้าทั้งสี่ประเภทกล่าวได้ว่ารูปแบบบริการสาธารณะที่รัฐจัดให้จะแตกต่างไปตามสินค้าแต่ละประเภท รัฐอาจเข้าไปจัดบริการโดยตรงในสินค้าสาธารณะและสินค้าที่เรียกเก็บค่าบริการได้ ส่วนสินค้าใช้ร่วมรัฐอาจพัฒนากลวิธีให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามาบริหารจัดการทรัพยากร ขณะที่สินค้าเอกชนรัฐอาจไม่ได้เป็นผู้จัดหาเองแต่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้กำกับดูแลและปล่อยให้ภาคเอกชนเป็นผู้จัดหาสินค้าเองก็ได้

                   นอกจากนี้ ระบบการจัดบริการสาธารณะโดยรัฐจะมีความแตกต่างจากภาคเอกชนในเชิงวัฒนธรรมของกระบวนการบริหารจัดการระบบการจัดส่งบริการสาธารณะ ขณะที่ภาคเอกชนจะจักสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความพึงพอใจที่ลูกค้าของตนมี แต่การจัดบริการสาธารณะโดยรัฐจะต้องสร้างความสมดุลกันระหว่างความต้องการของสาธารณะโดยทั่วไป (general public) ในฐานะผู้ใช้บริการสาธารณะว่ามีความต้องการ/ไม่ต้องการบริการในแบบใด ความพร้อมรับผิด (accountability) ต่อนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเนื่องจากกลไกของรัฐที่ทำหน้าที่จัดบริการสาธารณะต้องดำเนินการตามนโยบายของนักการเมือง และบทบาทกับความต้องการของสื่อสารมวลชนที่แสดงท่าทีการเป็นตัวแทนผลประโยชน์สาธารณะ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การจัดบริการสาธารณะโดยรัฐย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงความพร้อมรับผิดและการจัดความสัมพันธ์ที่รัฐจะมีต่อกลุ่มผลประโยชน์ที่แตกต่างหลากหลายกันได้[8] ขณะเดียวกันวัฒนธรรมทางการเมืองของแต่ละรัฐก็ย่อมเป็นปัจจัยหลักมีอิทธิพลต่อการจัดบริการสาธารณะและความมั่นใจที่ประชาชนมีต่อการจัดบริการภายใต้วัฒนธรรมทางการเมืองหนึ่ง ๆ ตัวอย่างเช่น บางประเทศมีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบอุปถัมภ์ (clientalism) ก็ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อการจัดบริการด้วย[9]

                   อย่างไรก็ตามด้วยความเปลี่ยนแปลงทิศทางและวิธีการบริหารจัดการภาครัฐ การแยกขาดระหว่างรัฐกับเอกชนเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก หากพิจารณาผ่านแนวคิดการอภิบาล (governance) ที่มองว่าการจัดการประเด็นปัญหาทางนโยบายและการจัดบริการสาธารณะที่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างกันของตัวแสดงจำนวนมากทั้งในภาครัฐและนอกภาครัฐ จึงทำให้บริการสาธารณะที่จัดโดยรัฐถูกเปลี่ยนผ่านมาสู่ตัวแสดงนอกภาครัฐมากยิ่งขึ้นทั้งการจัดโดยภาคเอกชนหรือภาคประชาสังคม แต่ภาครัฐยังคงการกำกับดูแลต่อการจัดบริการสาธารณะเหล่านี้[10] การจัดบริการสาธารณะหรือการดำเนินโยบายจึงไม่อาจเป็นหน้าที่ของรัฐฝ่ายเดียว แต่เกี่ยวข้องกับการจัดความสัมพันธ์ร่วมกันของตัวแสดงภาครัฐและนอกภาครัฐ

ตัวอย่างรูปแบบบริการสาธารณะ

                   รูปแบบการจัดบริการสาธารณะมีตัวอย่างของรูปแบบการจัดที่ควรพิจารณาที่หลากหลาย แต่ในที่นี้จะยกมาเพียง 4 รูปแบบที่ ได้แก่ การว่าจ้าง (Out Sourcing) การร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public-Private Partnership - PPP) สหการ (Co-operative) และกิจการพาณิชย์และกิจการเพื่อสังคม (Local Public Enterprise and Social Enterprise)[11] โดยสองรูปแบบแรกจะปรากฏในการจัดบริการสาธารณะโดยรัฐและท้องถิ่น ส่วนสองรูปแบบหลังมักพบในการจัดบริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

                   1) การว่าจ้าง (Out Sourcing) 

                   การว่าจ้างเป็นรูปแบบบริการสาธารณะประเภทหนึ่งที่ที่ใช้การว่าจ้างให้บุคคลภายนอกทั้งเอกชนหรือปัจเจกบุคคลเข้ามาจัดทำบริการสาธารณะบางประเภทแทนรัฐ รัฐเป็นผู้ตัดสินใจว่าจ้างโดยเงื่อนไขที่รัฐเห็นว่าดีที่สุดต่อการจัดบริการสาธารณะ ปัจจุบันรัฐได้อาศัยการว่าจ้างบริการสาธารณะจากบุคคลภายนอก เพื่อพัฒนา/รักษาคุณภาพการบริการและสร้างความคุ้มค่าด้านงบประมาณ กล่าวคือ การว่าจ้างมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดคุณภาพและประสิทธิภาพของการจัดบริการสาธารณะโดยอาศัยการแข่งขันในตลาดที่ภาคเอกชนสามารถเข้ามาแข่งขันเสนอจัดบริการสาธารณะ อีกทั้งช่วยประหยัดงบประมาณที่รัฐจะจัดบริการสาธารณะด้วยตนเองเพราะมีค่าใช้จ่ายสูง นอกจากนี้ บุคลากรของรัฐบางส่วนก็ถูกถ่ายโอนให้กลายเป็นผู้จัดบริการภาคเอกชนผ่านการทำสัญญาจ้างเหมาอีกด้วย[12]

                   2) การร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public-Private Partnership - PPP)

                   การร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนหรือการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน หมายถึง “การให้เอกชนดำเนินโครงการลงทุนที่ปกติแล้วจะดำเนินการโดยภาครัฐ โครงการ PPP ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ทางรถไฟ โรงพยาบาล โรงเรียน หรือ อาคารสำนักงานของหน่วยงานรัฐบาล ซึ่งจะต้องเป็นโครงการที่มีความน่าสนใจให้เอกชนเข้ามาลงทุน และเอกชนสามารถที่จะระดมทุนได้ในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการนำกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับในอนาคตเป็นสินทรัพย์ค้ำประกันผ่านนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicles: SPVs) ซึ่ง SPVs อาจจะเป็นการร่วมกันของหลายบริษัทหรือบริษัทเดียวก็ได้ โดยที่ SPVs จะสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์เฉพาะกิจในการดำเนินงานของ PPP ในแต่ละโครงการโดยเฉพาะ โดยปกติแล้ว SPV มักจะก่อให้เกิดความเสี่ยงทางการคลัง เนื่องจากหนี้ที่เกิดขึ้นไม่ได้บันทึกไว้ในระบบงบประมาณและไม่นับรวมเป็นหนี้สาธารณะ”[13] รูปแบบการร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนมีประโยชน์ต่อการจัดบริการสาธารณะที่เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานเนื่องจาก

                   1) โครงการสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานมักเป็นโครงการที่ให้ผลตอบแทนดี จนสามารถสร้างความน่าสนใจแก่เอกชนในการเข้าประมูล

                   2) การให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการและเป็นผู้ช่วยออกแบบโครงการจะช่วยให้การออกแบบตรงตามจุดประสงค์ของการใช้งานมากขึ้น และ

                   3) การให้บริการและการดำเนินงานของเอกชนช่วยให้เกิดประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น[14]

                   3) สหการ (Co-operative)

                   สหการ คือ องค์กรที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่เกิดจากการร่วมมือกันขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตั้งแต่สองแห่งขึ้นไปหรือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับนิติบุคคลมหาชนอื่น มีความเป็นอิสระจากหน่วยการปกครองของ อปท. เพื่อจัดทำบริการสาธารณะอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สหการสามารถจัดองค์กรและแสวงหารายได้จากแหล่งต่าง ๆ ในนามของสหการเองการรวมตัวขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบสหการจะทำในกรณีที่ต้องการจัดบริการสาธารณะโดยมีจุดร่วมกันบางอย่าง เช่น ท้องถิ่นหลายแห่งมีสภาพปัญหาหรือความจำเป็นต้องดำเนินงานร่วมกัน มีพื้นที่ใกล้เคียงกัน เป็นกิจการที่ต้องใช้งบประมาณสูง และอาศัยความชำนาญเฉพาะทางสูงหรือมีลักษณะเฉพาะ[15] ตัวอย่างเช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวมกันเป็นสหการเพื่อจัดเดินรถประจำทางในเส้นทางที่พาดผ่านหลายเขตพื้นที่

                   4) กิจการพาณิชย์ (Local Public Enterprise)

                   กิจการพาณิชย์ (Local Government Enterprise หรือ Local Public Enterprise หรือ Municipal Enterprise) เป็นรูปแบบการจัดบริการสาธารณะประเภทหนึ่ง Charlie B. Tyer (1989) เห็นว่าท้องถิ่นสามารถจัดบริการสาธารณะในกิจการรูปแบบธุรกิจ (business-type enterprises) ที่ท้องถิ่นเป็นเจ้าของและดำเนินงานโดยรัฐบาลท้องถิ่น กิจการในรูปแบบธุรกิจสามารถรับการสนับสนุนทางการเงินจากการเก็บค่าธรรมเนียมการให้บริการ กิจการในรูปแบบธุรกิจดังกล่าวมักจัดบริการสาธารณะที่สามารถเลี้ยงดูตนเองได้และสามารถหารายได้/กำไรที่มากกว่าต้นทุนการจัดบริการ โดยบริการสาธารณะในกิจการรูปแบบธุรกิจจะแยกออกจากการดำเนินกิจกรรมโดยทั่วไปของท้องถิ่น เนื่องจากเหตุผลทางบัญชีและการจัดให้กิจการพาณิชย์มีเงินทุนสำหรับการดำเนินงานแยกออกจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น[16] 

                   สุดท้ายนี้ รูปแบบบริการสาธารณะที่แม้จะมีการจัดจำแนกประเภทแตกต่างกัน แต่บริการสาธารณะในยุคปัจจุบันต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านดิจิทัล (digital) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการจัดบริการสาธารณะทุกรูปแบบเพื่อสร้างรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-government) ที่มุ่งหวังให้เปลี่ยนผ่านระบบของการให้บริการสาธารณะมาสู่ระบบออนไลน์และระบบอัตโนมัติแทนที่จะจัดบริการในรูปแบบของการใช้กระดาษและการติดต่อแบบเผชิญหน้าโดยมุ่งหวังว่าการเกิดรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางการบริหารให้มากขึ้น นอกจากนี้ การมีความคิดแบบรัฐบาลดิจิทัล (digital government) คือการพยายามเปลี่ยนกระบวนทัศน์ที่ให้ความสำคัญต่อการสร้างวิศวกรรมใหม่และการออกแบบใหม่กระบวนการและปฏิสัมพันธ์ผ่านแนวปฏิบัติแบบดิจิทัล มีการใช้ข้อมูลแบบชาญฉลาด และมีการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ด้วยเหตุนี้การมีแนวปฏิบัติรัฐบาลดิจิทัลจะทำให้การจัดบริการสาธารณะถูกออกแบบและส่งมอบในแนวทางที่จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล (digital transformation) สามารถใช้การได้และเข้าถึงได้[17]

บรรณานุกรม

Haque, Shamsul. "The Diminishing Publicness of Public Service under the Current Mode of Governance." Public Administration Review 61, no. 1 (January-February 2001): 65-82.

Humphreys, P.C., and Institute of Public Administration. Improving Public Service Delivery: Institute of Public Administration, 1998.

Jackson, Emerson Abraham. "Importance of the Public Service in Achieving the Un Sdgs." In Decent Work and Economic Growth. Edited by Walter Leal Filho, Anabela Marisa Azul, Luciana Brandli, Amanda Lange Salvia, and Tony Wall. Cham: Springer International Publishing, 2021.

Sandford, Mark. Local Government: Alternative Models of Service Delivery. The House of Commons Library, 2016.

Tyer, C. B. "Municipal Enterprises and Taxing and Spending Policies: Public Avoidance and Fiscal Illusions." Public Administration Review 49, no. 3 (May-June 1989): 249-56.

Welby, B., and Hui Yan Tan. Designing and Delivering Public Services in the Digital Age. Oecd Going Digital Toolkit Notes No. 22. Paris: OECD Publishing, 2022.

กฤชวรรธน์ โล่ห์วัชรินทร์. รัฐประศาสนศาสตร์: แนวคิดเพื่อการจัดการปกครองสาธารณะในศตวรรษที่ 21. ขอนแก่น: วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2565.

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ. "การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน การรับประกันหนี้ของรัฐบาลและความเสี่ยงทางการคลัง." http://www.fpo.go.th/FPO/admin/scripts/getpdf.php?id=918.

พัชรี สิโรรส. "การศึกษาการจัดการปกครองในมิตินโยบายศึกษา: การทำความเข้าใจการจัดการปกครอง (Governance) เครือข่ายของการจัดการปกครอง (Governance Network) และอภิเครือข่ายการจัดการปกครอง (Metagovernance)." ใน เปิดกล่องนโยบายสาธารณะ: หลากมุมมองในการศึกษานโยบายสาธารณะร่วมสมัย. วสันต์ เหลืองประภัสร์, พัชราภา ตันตราจิน, และ ธีรพัฒน์ อังศุชวาล (บรรณาธิการ). กรุงเทพมหานคร: คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (โครงการตำราและสิ่งพิมพ์), 2558.

วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า. ความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รูปแบบและความเป็นไปได้. กรุงเทพมหานคร: สถาบันพระปกเกล้า, 2550.

วุฒิสาร ตันไชย. รูปแบบและประเภทการจัดบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น. กรุงเทพมหานคร: สถาบันพระปกเกล้า, 2559.


[1] Emerson Abraham Jackson, "Importance of the Public Service in Achieving the Un Sdgs," in Decent Work and Economic Growth, ed. Walter Leal Filho et al. (Cham: Springer International Publishing, 2021).

[2] ดัดแปลงและขยายความจาก Jackson,  in Decent Work and Economic Growth.

[3] Shamsul Haque, "The Diminishing Publicness of Public Service under the Current Mode of Governance," Public Administration Review 61, no. 1 (January-February 2001): p. 66-67.

[4] Jackson,  in Decent Work and Economic Growth.

[5] P.C. Humphreys, and Institute of Public Administration, Improving Public Service Delivery (Institute of Public Administration, 1998), 9.

[6] กฤชวรรธน์ โล่ห์วัชรินทร์, รัฐประศาสนศาสตร์: แนวคิดเพื่อการจัดการปกครองสาธารณะในศตวรรษที่ 21 (ขอนแก่น: วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2565), 116.

[7] กฤชวรรธน์ โล่ห์วัชรินทร์, 117-18.

[8] Humphreys, and Administration, 10.

[9] Humphreys, and Administration, 10.

[10] พัชรี สิโรรส, "การศึกษาการจัดการปกครองในมิตินโยบายศึกษา: การทำความเข้าใจการจัดการปกครอง (Governance) เครือข่ายของการจัดการปกครอง (Governance Network) และอภิเครือข่ายการจัดการปกครอง (Metagovernance)," ใน เปิดกล่องนโยบายสาธารณะ: หลากมุมมองในการศึกษานโยบายสาธารณะร่วมสมัย, วสันต์ เหลืองประภัสร์, พัชราภา ตันตราจิน, และ ธีรพัฒน์ อังศุชวาล (บรรณาธิการ) (กรุงเทพมหานคร: คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (โครงการตำราและสิ่งพิมพ์), 2558).

[11] สรุปจาก วุฒิสาร ตันไชย, รูปแบบและประเภทการจัดบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กรุงเทพมหานคร: สถาบันพระปกเกล้า, 2559), 21-39.

[12] Mark Sandford, Local Government: Alternative Models of Service Delivery (The House of Commons Library, 2016).

[13] กองทุนการเงินระหว่างประเทศ, "การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน การรับประกันหนี้ของรัฐบาลและความเสี่ยงทางการคลัง," http://www.fpo.go.th/FPO/admin/scripts/getpdf.php?id=918.

[14] กองทุนการเงินระหว่างประเทศ

[15] วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า, ความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รูปแบบและความเป็นไปได้ (กรุงเทพมหานคร: สถาบันพระปกเกล้า, 2550), น. 18.

[16] C. B. Tyer, "Municipal Enterprises and Taxing and Spending Policies: Public Avoidance and Fiscal Illusions," Public Administration Review 49, no. 3 (May-June 1989).

[17] B. Welby, and Hui Yan Tan, Designing and Delivering Public Services in the Digital Age, Oecd Going Digital Toolkit Notes No. 22 (Paris: OECD Publishing, 2022), 4. index.php?title=หมวดหมู่:การปกครองท้องถิ่น index.php?title=หมวดหมู่:การปกครองท้องถิ่น index.php?title=หมวดหมู่:การบริหารราชการแผ่นดิน index.php?title=หมวดหมู่:สารานุกรม คำศัพท์ต่าง ๆ