พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2523

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง อลิศรา พรหมโชติชัย


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523 เป็นกฎหมายแก้ไขพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช 2482 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2501 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 7) พุทธศักราช 2517 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการแก้ไขข้อห้ามและบทกำหนดโทษเกี่ยวกับการโฆษณาหาเสียงการเลือกตั้ง และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง โดยเปิดโอกาสให้บุคคลผู้มีสัญชาติไทยแต่มีบิดาเป็นคนต่างด้าวมีโอกาสได้รับสิทธิเลือกตั้งมากขึ้น รวมทั้งยังได้แก้ไขผู้ต้องห้ามไม่ให้มีสิทธิเลือกตั้งเพิ่มเติม การลงคะแนนเลือกตั้ง บัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้ง และการแก้ไขระยะเวลาการรักษาบัตรเลือกตั้งและหีบบัตรเลือกตั้ง ซึ่งสามารถพิจารณาการแก้ไขดังกล่าวได้ดังนี้

การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณาหาเสียงการเลือกตั้ง

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2523 ได้แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณา การหาเสียงหรือกิจกรรมใดๆ ที่จะทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปด้วยความโปร่งใส ดังจะกล่าวได้ดังนี้[1]

(1) กฎหมายใหม่ยกเลิกวิธีการโฆษณาบางประการที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2503 กล่าวคือ กฎหมายฉบับใหม่ยกเลิกการห้ามไม่ให้ผู้ใดโฆษณาแก่ประชาชนด้วยการปิดแผ่นประกาศ หรือทำให้ปรากฏด้วยประการใดๆ ซึ่งข้อความหรือภาพลง ณ ที่ใดๆ ในที่สาธารณะ หรือที่รั้วกำแพง ผนังอาคาร หรือต้นไม้ด้านที่ติดกันที่สาธารณะ หรือด้วยการทิ้งหรือโปรยแผ่นประกาศใดๆ หรือกล่าวได้ว่า กฎหมายฉบับใหม่ได้เปิดช่องให้บุคคลใดสามารถโฆษณาด้วยสิ่งพิมพ์แก่ประชาชนสิ่งพิมพ์ได้ ไม่ว่าจะด้วยการปิดแผ่นประกาศหรือภาพใดๆ ในที่สาธารณะ และให้

(2) การโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งจะต้องไม่กระทำโดยวิธีการทา พ่น หรือระบายสีภาพหรือข้อความใดๆ บนรั้ว กำแพง ผนังอาคาร สะพาน เสาไฟฟ้า หรือต้นไม้ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของราชการหรือในบริเวณที่มีป้ายห้ามปิดประกาศบอกไว้ และในกรณีที่มีการฝ่าฝืนตามข้อบังคับข้างต้น ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นสามารถลบ หรือล้างข้อความ ภาพ หรือรูปรอยดังกล่าวได้

(3) ในกรณีที่ไม่ได้เป็นทรัพย์สินของทางราชการ เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะมีอำนาจดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อได้รับคำร้องขอจากเจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินนั้น นอกจากนี้ยังได้ห้ามไม่ให้ผู้ใดนำสิ่งพิมพ์มาโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งเพื่อประโยชน์ของผู้สมัครภายในที่เลือกตั้งด้วย

(4) ห้ามมีการโฆษณาไม่ว่าโดยวิธีใดที่จะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือทำการใด ๆ ที่จะเป็นการรบกวนหรือเป็นอุปสรรคแก่การเลือกตั้งนับตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันก่อนเลือกตั้ง 1 วัน จนสิ้นสุดวันเลือกตั้ง

(5)ห้ามมีกิจกรรมที่จัดให้มีการเล่นการพนันว่าผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดแพ้หรือชนะ หรือได้คะแนนเท่าใดและได้รับเลือกตั้งหรือไม่ อย่างไร

การแก้ไขคุณสมบัติผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2523 ได้เพิ่มและแก้ไขคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางประการ[2] ซึ่งสามารถพิจารณารายละเอียดได้ดังต่อไปนี้

(1) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะต้องมีสัญชาติไทยโดยการเกิด

(2) ต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้ง

(3) ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์วันที่ 1 มกราคม ของปีที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งยังบังคับใช้เหมือนกฎหมายฉบับก่อนหน้า

(4) กรณีบุคคลผู้มีสัญชาติไทยที่มีบิดาเป็นคนต่างด้าว จะต้องมีคุณลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้

(4.1) สอบไล่ได้ไม่ต่ำกว่าระดับการศึกษาภาคบังคับ ซึ่งขณะนั้นการศึกษาจะต้องมีความรู้ไม่ต่ำกว่าชั้นประถมศึกษาปีที่ 6[3] ซึ่งนับว่าเป็นการลดระดับคุณสมบัติทางการศึกษาหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการขยายสิทธิให้แก่ประชาชนที่มีวุฒิการศึกษาไม่ถึงตามเกณฑ์ที่กฎหมายฉบับก่อนหน้ากำหนดไว้ว่าให้บุคคลที่มีบิดาเป็นคนต่างด้าวนั้นจำเป็นต้องมีระดับการศึกษาไม่ต่ำกว่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือความรู้เทียบเท่า[4]
(4.2) รับหรือเคยรับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร ซึ่งยังคงใช้บังคับเหมือนฉบับก่อนหน้า
(4.3) เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเทศบาล กรรมการสุขาภิบาล กรรมการสภาตำบล กำนัน หรือผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ได้ตัดสิทธิของบุคคลที่มีบิดาเป็นคนต่างด้าวซึ่งเป็นหรือเคยเป็นแพทย์ประจำตำบลออกไป ขณะเดียวกันก็ให้สิทธิแก่บุคคลที่มีบิดาเป็นต่างด้าวซึ่งเคยเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ
(4.4) บุคคลที่มีบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือคู่สมรส ได้เสียภาษีหรือเคยเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีโรงเรือน และที่ดินหรือบำรุงท้องที่ตามกฎหมาย
(4.5) มีภูมิลำเนาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 10 ปี โดยยังคงใช้บังคับเหมือนฉบับก่อนหน้า

(5) กฎหมายฉบับใหม่นี้ได้ขยายคำจำกัดความของบุคคลต้องห้ามซึ่งไม่มีสิทธิเลือกตั้ง โดยสำหรับบุคคลที่ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลนั้นต้องห้ามไปใช้สิทธิเลือกตั้ง รวมไปถึงบุคคลที่ต้องคุมขังอยู่โดยคำสั่งอื่นๆ ที่ชอบโดยกฎหมายด้วย

การแก้ไขคุณสมบัติผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2523 ได้แก้ไขมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2517 ซึ่งสามารถพิจารณาคุณสมบัติผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามกฎหมายฉบับใหม่ได้ดังนี้[5]

(1) เป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด

(2) เป็นผู้มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง ซึ่งกฎหมายฉบับเดิมได้กำหนดอายุของผู้มีสิทธิสมัครเลือกตั้งให้มีอายุไม่ต่ำกว่า 23 ปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง

(3) ต้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเทศบาลที่สมัครเป็นเวลาติดต่อกันจนถึงวันสมัครไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือภาษีตามกฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือนและที่ดิน หรือตามกฎหมายว่าด้วยบำรุงท้องที่ให้กับเทศบาลนั้นในปีที่สมัครหรือในปีก่อนปีที่สมัคร 1 ปี ซึ่งเป็นการกำหนดคุณสมบัติให้แคบลง กล่าวคือ ฉบับก่อนหน้าได้บังคับให้ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลจะต้องมีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรไทยติดต่อกันนับตั้งแต่ได้สัญชาติไทยมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี[6] แต่กฎหมายฉบับใหม่ได้กำหนดให้ต้องมีภูมิลำเนาเฉพาะในเขตเทศบาลนั้นๆ ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น

นอกจากนั้น กฎหมายฉบับใหม่ยังได้เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งในกรณีบุคคลที่มีสัญญาติไทยซึ่งมีบิดาเป็นคนต่างด้าว โดยยกเลิกมาตรา 20 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ.2482 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 7) ซึ่งสามารถพิจารณารายละเอียดได้ดังนี้[7]

(4) ผู้ที่มีสัญชาติไทยซึ่งมีบิดาเป็นคนต่างด้าว จะมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งได้จะต้องมีคุณสมบัติเช่นเดียวกันกับบุคคลที่มีสัญชาติไทยซึ่งมีบิดาเป็นคนต่างด้าวตามกฎหมายฉบับใหม่นี้ ได้แก่ [8]

(4.1) สอบไล่ได้ไม่ต่ำกว่าระดับการศึกษาภาคบังคับ ซึ่งขณะนั้นการศึกษาจะต้องมีความรู้ไม่ต่ำกว่าชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
(4.2) รับหรือเคยรับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร ซึ่งยังคงใช้บังคับเหมือนฉบับก่อนหน้า
(4.3) เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเทศบาล กรรมการสุขาภิบาล กรรมการสภาตำบล กำนัน หรือผู้ใหญ่บ้าน
(4.4) บุคคลที่มีบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือคู่สมรส ได้เสียภาษีหรือเคยเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีโรงเรือน และที่ดินหรือบำรุงท้องที่ตามกฎหมาย
(4.5) มีภูมิลำเนาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 10 ปี

นอกเหนือจากคุณสมบัติข้างต้นแล้ว ผู้มีสัญชาติไทยที่มีบิดาเป็นคนต่างด้าว ยังต้องมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ด้วย

- เป็นผู้ที่ได้เข้าเรียนอยู่ในโรงเรียนตามเวลากำหนด และสอบได้ไม่ต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือได้เข้าเรียนอยู่ในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาอื่นในประเทศตามกำหนดเวลามาโดยตลอดจนมีความรู้เทียบเท่าไม่ต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

- ได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาชั้นสูงในประเทศตามหลักสูตร จนเป็นผู้สอบได้ไม่ต่ำกว่าชั้นปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

การแก้ไขลักษณะของบุคคลต้องห้ามซึ่งไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523 ได้แก้ไขคุณสมบัติของบุคคลต้องห้ามที่ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งสามารถพิจารณาเปรียบเทียบกับกฎหมายที่ได้ใช้บังคับก่อนหน้า ดังนี้

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 7) พุทธศักราช 2517 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523
1.ไม่เป็นผู้ติดยาเสพติดให้โทษ -ยังคงบังคับใช้-
2.ไม่เป็นผู้ตาบอดทั้งสองข้าง -ยังคงบังคับใช้-
3.ไม่เป็นบุคคลโดยล้มละลายซึ่งศาลยังไม่สั่งให้พ้นคดี -ยังคงบังคับใช้-
4.ไม่เป็นวัณโรควัณโรคระยะอันตราย หรือโรคพิษสุราเรื้อรัง -ยังคงบังคับใช้-
5.ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป โดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปีในวันเลือกตั้ง เว้นแต่ความผิดอันกระทำโดยประมาท 5.ไม่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุกตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป โดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปีในวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท
6.ไม่เป็นข้าราชการที่ถูกไล่ออกหรือปลดออก ซึ่งเกิดจากการทุจริตต่อหน้าที่ราชการโดยมิได้รับเบี้ยหวัด บำเหน็จหรือบำนาญ หรือพนักงานเทศบาล พนักงานสุขาภิบาล หรือพนักงานองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจซึ่งถูกไล่ออก หรือปลดออก หรือเลิกจ้าง เพราะทุจริตต่อหน้าที่ นับแต่วันที่ถูกไล่ออก ปลดออก หรือเลิกจ้างแล้วแต่กรณี ถึงวันสมัครรับเลือกตั้งยังไม่ครบ 7 ปี 6.ไม่เคยเป็นข้าราชการซึ่งถูกไล่ออก หรือปลดออกเพราะทุจริตต่อหน้าที่ราชการ หรือเคยเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือพนักงานของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจซึ่งถูกไล่ออก หรือปลดออกหรือเลิกจ้าง เพราะทุจริตต่อหน้าที่ยังไม่ครบ 7 ปี นับแต่วันที่ถูกไล่ ปลดออก หรือเลิกจ้าง แล้วแต่กรณี จนถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง
7.ไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกสภาจังหวัด หรือกรรมการสุขาภิบาล 7.ไม่เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาจังหวัด กรรมการสุขาภิบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หรือแพทย์ประจำตำบล
-ไม่มี- 8.ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ไม่เป็นบุคคลหูหนวกและเป็นใบ้ซึ่งไม่สามารถอ่านและเขียนหนังสือได้ ไม่เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช และไม่เป็นผู้ที่อยู่ในระหว่างศาลพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง[9]
-ไม่มี- 9.ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก และถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งนั้น[10]

การแก้ไขจำนวนกรรมการตรวจลงคะแนน

กฎหมายฉบับเดิมมีบทบัญญัติให้แต่งตั้งกรรมการตรวจคะแนนประจำหน่วยลงคะแนนได้แห่งละ 3 คน กรรมการสำรองไม่เกิน 3 คน และพนักงานคะแนนได้ไม่น้อยกว่า 1 คน[11] ซึ่งกฎหมายฉบับใหม่ได้กำหนดไว้ว่า ให้แต่งตั้งเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง 1 คน กรรมการตรวจลงคะแนน 7 คน และเจ้าหน้าที่คะแนนอย่างน้อย 1 คนประจำทุกหน่วยเลือกตั้ง รวมทั้งยังได้มีบทบัญญัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง กรรมการตรวจคะแนนและเจ้าหน้าที่คะแนนการเลือกตั้งให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง

นอกจากนั้น กฎหมายฉบับใหม่ได้บังคับให้แต่งตั้งเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งจากข้าราชการหรือเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้[12] ซึ่งกฎหมายฉบับก่อนหน้าไม่ได้ระบุไว้ แต่กำหนดไว้เพียงว่าให้กรรมการตรวจคะแนน และเจ้าหน้าที่คะแนนแต่งตั้งจากผู้เลือกมีสิทธิเลือกตั้งที่มีความประพฤติดี และสามารถอ่านและเขียนหนังสือไทยได้ซึ่งกฎหมายฉบับใหม่ก็ยังคงกำหนดไว้เช่นเดิม นอกจากนั้นกฎหมายฉบับใหม่ยังได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่ไม่สามารถเป็นกรรมการตรวจคะแนนได้ เพิ่มเติมจากกฎหมายฉบับเดิม กล่าวคือ กฎหมายฉบับใหม่ห้ามไม่ให้แต่งตั้งข้าราชการ นายกเทศมนตรี เจ้าพนักงานท้องถิ่น ผู้สมัคร ตัวแทนผู้สมัคร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตร กำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เป็นกรรมการตรวจคะแนน[13]

สำหรับการตรวจคะแนนนั้น ก่อนเวลาเปิดการลงคะแนน 30 นาที กฎหมายฉบับเดิมได้กำหนดไว้ว่าหากกรรมการตรวจลงคะแนนยังไม่ได้ไปถึงที่ลงคะแนนหรือมีเหตุให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ก็ให้กรรมการสำรองทำหน้าที่แทนกรรมการตรวจลงคะแนน[14] ซึ่งกฎหมายฉบับใหม่ได้แก้ไขโดยกำหนดให้กรรมการตรวจคะแนนเลือกกรรมการตรวจคะแนนคนอื่นเป็นประธานไปพลางก่อน จนกว่าประธานที่ได้เลือกไว้แล้วจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

การแก้ไขการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้ง

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2523 ได้แก้ไขการจัดทำประกาศบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้งของแต่ละหน่วยเลือกตั้ง โดยกฎหมายฉบับใหม่กำหนดให้ เมื่อเทศบาลใดประกาศให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลในเขตเลือกตั้งใดแล้ว ให้เทศบาลจัดทำประกาศบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้งของแต่ละหน่วยเลือกตั้งไว้ ณ สำนักงานเทศบาล ในที่สาธารณะที่เห็นได้ง่าย และในที่เลือกตั้งหรือบริเวณใกล้เคียงกับที่เลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 30 วัน[15] อีกทั้ง กฎหมายใหม่ยังได้ยกเลิกการบังคับว่าจะต้องทำประกาศไม่น้อยกว่า 4 แห่งในหน่วยลงคะแนนนั้น และไม่บังคับให้เทศบาลต้องมอบบัญชีผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้แก่พนักงานคะแนนก่อนการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการตรวจคะแนน[16] นอกจากนั้นยังได้แก้ไขการคัดรายชื่อจากเดิมที่ให้คัดรายชื่อจากทะเบียนผู้เลือกตั้งที่ได้จัดทำไว้ก่อนหน้านั้นและได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยเทศบาลหรือนายอำเภอแล้ว ซึ่งกฎหมายฉบับใหม่ได้แก้ไขให้คัดรายชื่อผู้เลือกตั้งจากทะเบียนบ้าน โดยให้การจัดทำบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้งเป็นหน้าที่ของเทศบาล

สำหรับกระบวนการจัดทำบัญชีรายชื่อจากทะเบียนบ้าน หากพบว่ามีผู้ที่มีสัญชาติไทยซึ่งมีบิดาเป็นคนต่างด้าว และมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 1 มกราคม ของปีที่มีการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้งให้เป็นหน้าที่ของเทศบาลทำการตรวจสอบว่าบุคคลนั้นเป็นผู้เลือกตั้งหรือไม่ ถ้าเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็ให้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน และคัดชื่อลงในบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้ง อีกทั้ง เพื่อเป็นประโยชน์ในการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้ง จึงกำหนดให้เทศบาลจัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีเลือกตั้งไว้เป็นประจำ และแก้ไขให้ถูกต้องทุกปี และให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีสิทธิตรวจดูและขอยื่นคำร้องแก้ไขให้ถูกต้องได้ และในกรณีที่มีความจำเป็นต้องไปสอบถามบุคคลดังกล่าวเพื่อความถูกต้อง ก็ให้เทศบาลส่งเจ้าหน้าที่ไปสอบถามบุคคลนั้น ณ บ้านที่ปรากฎตามทะเบียนบ้าน[17]

การลงคะแนนเลือกตั้ง

กฎหมายฉบับก่อนหน้าได้กำหนดเวลาในวันเลือกตั้ง โดยให้เปิดการลงคะแนนตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น.[18] ซึ่งกฎหมายฉบับใหม่ได้กำหนดเวลาการลงคะแนนในวันเลือกตั้งใหม่ โดยให้เปิดการลงคะแนนตั้งแต่เวลา 08.00-15.00 น.[19]

นอกจากนั้น กฎหมายฉบับใหม่ยังได้กำหนดให้ผู้เลือกตั้งที่จะลงคะแนนไปแสดงตนต่อกรรมการตรวจคะแนนโดยแสดงบัตรประชาชน ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องแสดงบัตรประชาชน ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้เลือกตั้งคนใดเป็นบุคคลไม่ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนตามกฎหมายต้องแสดงหลักฐานอื่นตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงต่อกรรมการตรวจคะแนน ซึ่งกฎกระทรวงได้กำหนดให้ผู้เลือกตั้งที่ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนตามกฎหมาย ให้แสดงหลักฐานดังต่อไปนี้[20]

1.บัตรประจำตัวข้าราชการ พนักงานเทศบาล หรือพนักงานสุขาภิบาล

2.บัตรสมาชิกสภานิติบัญญัติ สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกสภาเทศบาล หรือกรรมการสุขาภิบาล

3.บัตรประจำตัวทหารกองประจำการ หรือตำรวจกองประจำการ

4.บัตรประจำตัวพนักงานองค์การของรัฐ

5.บัตรประจำตัวกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน หรือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน

6.บัตรประจำตัวกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย หรือกรรมการอิสลามประจำจังหวัด

7.เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติเป็นผู้เลือกตั้งได้ที่ไม่ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนตามกฎหมายและไม่มีบัตรตามรายละเอียดข้างต้น จะต้องใช้หลักฐานอื่นที่ราชการออกให้เพื่อการเลือกตั้ง ทั้งนี้ การแสดงบัตรประชาชนหรือแสดงหลักฐานอื่น ตามที่กฎกระทรวงกำหนดไว้ ก็เพื่อเป็นการตรวจสอบชื่อในบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้ง และเมื่อกรรมการตรวจคะแนนตรวจสอบถูกต้องแล้ว ก็ให้อ่านชื่อและที่อยู่ของผู้นั้นดังๆ ถ้าไม่มีผู้เลือกตั้ง ผู้สมัคร หรือตัวแทนผู้สมัครทักท้วง ให้หมายเหตุไว้ในบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้ง โดยให้จดหมายเลขของบัตรประชาชนและสถานที่ออกบัตรประจำตัวประชาชน แต่ในกรณีผู้เลือกตั้งใช้ใบรับคำขอมีบัตรหรือเปลี่ยนบัตรใหม่และกรณีที่ผู้เลือกตั้งที่เป็นบุคคลไม่ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนแล้วได้แสดงหลักฐานอื่นๆ ให้ลงลายมือชื่อหรือพิมพ์ลายนิ้วมือ ลงในบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้งเป็นหลักฐานเพิ่มขึ้น แล้วให้กรรมการตรวจคะแนนมอบบัตรเลือกตั้งให้แก่ผู้นั้นไปลงคะแนน อย่างไรก็ตาม หากมีผู้ทักท้วง หรือกรรมการตรวจคะแนนสงสัยว่าผู้เลือกตั้งที่มาแสดงตนนั้นไม่ได้มีชื่อในบัญชีผู้เลือกตั้ง ให้คณะกรรมการตรวจคะแนนสามารถสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดว่าผู้ถูกทักท้วงหรือผู้ถูกสงสัยว่าไม่มีสิทธิลงคะแนน ให้คณะกรรมการตรวจคะแนนทำบันทึกคำวินิจฉัยและลงลายมือชื่อไว้ด้วย อีกทั้ง กฎหมายฉบับใหม่นี้ยังได้ระบุเพิ่มเติมว่า บัตรประจำตัวในที่นี้ หมายความรวมถึงบัตรประจำตัวประชาชนที่หมดอายุแล้วด้วย[21]

การแก้ไขระยะเวลาการเก็บรักษาหีบเลือกตั้ง

เดิมในพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช 2482 ได้กำหนดให้เทศบาลรักษาหีบบัตรเลือกตั้งไว้เป็นเวลา 1 ปี นับจากวันเลือกตั้ง แต่ในกรณีที่มีการคัดค้านการเลือกตั้งและยังพิจารณาไม่เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี ก็ให้เก็บไว้ต่อไปจนกว่าจะมีการพิจารณาเสร็จสิ้น เมื่อพ้นกำหนดนี้แล้วก็ให้เปิดหีบบัตรและทำลายเอกสารนั้นๆ เสีย เว้นแต่จะมีคำสั่งศาลเป็นอย่างอื่น[22] แต่ในกฎหมายใหม่ได้แก้ไขระยะเวลาและเงื่อนไขการเก็บรักษาบัตรเลือกตั้งและหีบบัตรเลือกตั้งไว้ว่า เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว เทศบาลจะทำลายบัตรเลือกตั้งและเอกสารที่เก็บอยู่ในหีบเลือกตั้งนั้นได้พ้นระยะเวลาคัดค้านการเลือกตั้งตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายฉบับใหม่นี้แล้วไม่น้อยกว่า 15 วัน และในกรณีที่มีการคัดค้านในเขตเลือกตั้งใด ให้เทศบาลเก็บรักษาหีบบัตรเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นจนกว่าคดีจะถึงที่สุด[23]

การแก้ไขเพิ่มเติมข้อห้ามและบทกำหนดโทษเกี่ยวกับการเลือกตั้ง

กฎหมายเดิมได้มีข้อห้ามว่ากรณีที่ผู้สมัครหรือผู้ใดให้หรือให้คำมั่นว่าจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยเจตนาจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครเลือกตั้งคนอื่น หรือเจตนาจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดก็ตาม มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 8 ปี [24] ในกฎหมายฉบับใหม่ได้แก้ไขข้อห้ามและบทกำหนดโทษใหม่ให้มีความชัดเจนและเพิ่มบทกำหนดโทษมากขึ้น กล่าวคือ เมื่อมีประกาศให้เลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลในเขตเลือกใดจนถึงวันเลือกตั้ง ผู้ใดที่จูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งหรือไม่ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครคนใด ซึ่งกระทำการดังต่อไปนี้ ให้มีความผิดระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 8 ปี การกระทำดังกล่าว ได้แก่

(1) จัดทำให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด ที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ให้แก่ผู้ใดก็ตาม

(2) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สินอื่น ไม่ว่าโดยทางตรงหรืออ้อมแก่สมาคม มูลนิธิ วัด สถาบันการศึกษา หรือสถานสงเคราะห์อื่นใด

(3) ทำการโฆษณาหาเสียงด้วยการจัดให้มีมหรสพและการรื่นเริงต่างๆ

(4) ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะหรือเพื่อประโยชน์ของบุคคล ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถาบันการศึกษา หรือสถาบันอื่นใด ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือไม่ก็ตาม

(5) เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใดก็ตามที่มีเจตนาจูงให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดก็ตาม

อีกทั้งยังได้ยกเลิกการกระทำความผิดที่กฎหมายฉบับเดิมได้กำหนดไว้ว่าห้ามไม่ให้ผู้ใดชักชวนขอคะแนนหรือทำการโฆษณาใดๆ ภายในปริมณฑล 30 เมตรจากที่ลงคะแนน และห้ามไม่ให้ใช้เครื่องเปล่งเสียงหรือทำเสียงอื่นใดที่จะรบกวนหรือเป็นอุปสรรคแก่การเลือกตั้ง อันมีบทกำหนดโทษไว้ว่าให้ปรับไม่เกิน 200 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับนั้น[25] กฎหมายฉบับใหม่ได้กำหนดให้ผู้ที่กระทำความผิดต่อไปนี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ การกระทำความผิดดังกล่าว ได้แก่

(1)การโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งที่กระทำโดยการทา พ่น ระบายสีข้อความ ภาพ หรือรูปรอยต่างๆ ที่รั้ว กำแพง ผนังอาคาร สะพาน เสาไฟฟ้า หรือต้นไม้ หรือทรัพย์สินใดๆ ที่เป็นของทางราชการ หรือในที่ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเจ้าของทรัพย์สินนั้นๆ ทำป้ายประกาศไว้ว่าห้ามปิดประกาศ

(2)การปิดประกาศโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งในสถานที่ที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นไม่ได้กำหนดไว้เพื่อการปิดประกาศโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งไว้

(3)การนำสิ่งพิมพ์หรือสิ่งอื่นมาโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งเพื่อประโยชน์ของผู้สมัครภายในที่เลือกตั้ง

(4)การโฆษณาหรือขาย จำหน่าย แจกจ่าย หรือจัดเลี้ยงสุราทุกชนิดในเขตเลือกตั้งนับตั้งแต่เวลา 18.00 น.ของวันก่อนเลือกตั้ง 1 วัน จนสิ้นสุดวันเลือกตั้ง

(5)การเล่น พนันขันต่อว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดแพ้หรือชนะ หรือได้คะแนนเท่าใดและจะได้รับเลือกตั้งหรือไม่ได้รับเลือกตั้ง หรือได้รับเลือกตั้งจำนวนเท่าใด

นอกจากนี้ พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523 ยังได้ยกเลิกมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2511 กล่าวคือ การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลในเทศบาลที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลก่อนวันที่ 19 พฤศจิกายน 2511 ซึ่งเป็นวันประกาศใช้พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่5) พุทธศักราช 2511 นั้นให้ยกเลิกการดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตามกฎหมายฉบับก่อนหน้านั้นทั้งหมด รวมไปถึงให้ยกเลิกมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2511 ที่กำหนดว่าให้บรรดาสมาชิกสภาเทศบาลที่ได้รับเลือกตั้งก่อนหน้าวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งเป็นวันประกาศใช้พระราชบัญญัติสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2511นั้น เป็นสมาชิกจนกว่าจะต้นจากสมาชิกภาพ[26]

ที่มา

ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ขยายการศึกษาภาคบังคับให้สูงขึ้น, ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 94, ตอนที่ 70, วันที่ 2 สิงหาคม 2520.

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2501, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 75 ตอนที่ 19 วันที่ 4 มีนาคม 2501

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 7) พุทธศักราช 2517, ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 91, ตอนที่ 154, วันที่ 17 กันยายน 2517

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523, ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 57, ตอนที่ 33, วันที่ 2 มีนาคม 2523

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช 2482, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 56, วันที่ 10 พฤศจิกายน 2482

อ้างอิง

  1. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523, ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 57, ตอนที่ 33, วันที่ 2 มีนาคม 2523, มาตรา 6
  2. เพิ่งอ้าง, มาตรา 8, หน้า 23-24.
  3. ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ขยายการศึกษาภาคบังคับให้สูงขึ้น, ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 94, ตอนที่ 70, วันที่ 2 สิงหาคม 2520.
  4. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2517, ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 91, ตอนที่ 154, วันที่ 17 กันยายน 2517, มาตรา 5
  5. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523, ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 57, ตอนที่ 33, วันที่ 2 มีนาคม 2523, หน้า 25-26, มาตรา 13
  6. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่7) พุทธศักราช 2517, ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 91, ตอนที่ 154, วันที่ 17 กันยายน 2517, หน้า 426, มาตรา 5
  7. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523, เพิ่งอ้าง, มาตรา 14
  8. เพิ่งอ้าง, หน้า 26-27, มาตรา 8
  9. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523, เพิ่งอ้าง, หน้า 27-28, มาตรา 16
  10. เพิ่งอ้าง.
  11. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2501, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 75 ตอนที่ 19 วันที่ 4 มีนาคม 2501,หน้า 66-67, มาตรา 11.
  12. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523, เพิ่งอ้าง,หน้า 29, มาตรา 18.
  13. เพิ่งอ้าง.
  14. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช 2482, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 56, วันที่ 10 พฤศจิกายน 2482, หน้า1650, มาตรา 32.
  15. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523, เพิ่งอ้าง, หน้า30-31, มาตรา 20.
  16. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช 2482, เพิ่งอ้าง, หน้า 1651, มาตรา 35-36.
  17. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523, เพิ่งอ้าง, หน้า 30,มาตรา 20
  18. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช 2482, เพิ่งอ้าง, หน้า 1655, มาตรา 43
  19. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523, เพิ่งอ้าง, หน้า32, มาตรา 22
  20. กฎกระทรวง (พ.ศ.2522) ออกตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 96, ตอนที่ 21, หน้า 11-12, ข้อ 12
  21. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523, เพิ่งอ้าง, หน้า 32, มาตรา 47
  22. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช 2482, เพิ่งอ้าง, หน้า 1661, มาตรา 56.
  23. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523, เพิ่งอ้าง,หน้า 33-34, มาตรา 24.
  24. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช 2482, เพิ่งอ้าง, หน้า 1665, มาตรา 64
  25. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พุทธศักราช 2482, เพิ่งอ้าง, หน้า 1669, มาตรา 76
  26. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2523, เพิ่งอ้าง,มาตรา 16-17.