พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2498

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง อลงกรณ์ อรรคแสง


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


การประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ.2498

ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2498 ได้มีการประกาศใช้กฎหมายเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่น 2 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 และ พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2498

พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ.2498[1] เป็นกฎหมายที่ทำให้สภาจังหวัดเปลี่ยนแปลงฐานะเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2498 นี้ มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากพระราชบัญญัติสภาจังหวัด พ.ศ.2481 เป็นอันมาก แต่เดิมมาสภาจังหวัดมีอำนาจหน้าที่แต่เพียงเป็นองค์การที่ปรึกษาของจังหวัด การเสนอความคิดเห็นก็กระทำได้แต่เฉพาะเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดขอร้อง นอกจากนั้นมติของสภาจังหวัดก็ไม่ได้มีผลผูกพันให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารต้องดำเนินการตามมตินั้น สภาจังหวัดคงปฏิบัติหน้าที่แต่เพียงเท่าที่ได้รับมอบหมาย เช่น การแบ่งสรรเงินอุดหนุนให้แก่เทศบาล ฉะนั้น สภาจังหวัดในระยะแรกนี้จึงมิได้มีฐานะเป็นองค์การบริหารของท้องถิ่นอย่างแท้จริง เมื่อได้มีการตราพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ.2498 จึงได้มีการวางหลักการให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดทำหน้าที่เป็นองค์การปกครองท้องถิ่นอย่างแท้จริง โดยกำหนดให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล มีทรัพย์สินส่วนจังหวัดที่หาได้จากรายได้ภายในจังหวัด มีฝ่ายสภา มีฝ่ายบริหาร มีอำนาจหน้าที่ที่จัดเจนมากขึ้น มีองค์กรและบุคลากรของตนเอง[2]

โครงสร้างขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ประกอบด้วยสภาและฝ่ายบริหาร (Council-Executive Form)

สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ประกอบด้วยสมาชิก 2 ประเภท ได้แก่

สมาชิกประเภทที่ 1 ได้แก่ ผู้ที่ราษฎรเลือกตั้งขึ้น มีจำนวนอย่างน้อย 12 คน ซึ่งราษฎรในอำเภอเลือกตั้งขึ้นอำเภอละหนึ่งคน ถ้าอำเภอใดมีราษฎรเกินกว่าสามหมื่นคน ให้อำเภอนั้นมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนทุกสามหมื่นเศษของสามหมื่นถ้าถึงครึ่งให้นับเป็นสามหมื่น

สมาชิกประเภทที่ 2 มีจำนวนเท่ากับสมาชิกประเภทที่ 1 ประกอบด้วยผู้ที่รัฐมนตรีแต่งตั้ง โดยเลือกจากนายกเทศมนตรี ประธานกรรมการสุขาภิบาล และผู้ที่มีคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และไม่เป็นผู้ต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด[3]

สมาชิกสภาจังหวัดมีวาระในการดำรงตำแหน่ง 5 ปี [4]

ฝ่ายบริหารขององค์การบริหารส่วนจังหวัด กฎหมายกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีหน้าที่ปฏิบัติตามมติของสภาจังหวัด [5]

พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ.2498 ได้กำหนดให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจหน้าที่นอกเขตพื้นที่ของเทศบาลและสุขาภิบาล โดยมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ [6]

1. การรักษาความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
2. การประถมศึกษา การอาชีวศึกษา การทำนุบำรุงศาสนา และการส่งเสริมวัฒนธรรม
3. การสังคมสงเคราะห์ อันรวมทั้งการสาธารณูปการและการประกันสังคมด้วย
4. การป้องกันโรค การบำบัดโรค และการจัดตั้งและบำรุงสถานพยาบาล
5. การจัดให้มีและบำรุงทางน้ำ ทางบก และการชลประทานราษฎร์
6. การรักษาความสะอาดของถนน ทางเดิน และที่สาธารณะ รวมทั้งการกำจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล
7. การจัดให้มีน้ำสะอาดและการประปา
8. การจัดให้มีตลาด และท่าเทียบเรือ
9. การจัดให้มีและบำรุงการไฟฟ้า หรือแสงสว่าง โดยวิธีอื่น
10. การจัดให้มีฌาปนสถาน
11. การจัดให้มีและบำรุงสถานที่สำหรับการกีฬา การพักผ่อนหย่อนใจ สวนสาธารณะ สวนสัตว์ ตลอดจนสถานที่ประชุมอบรมราษฎร
12. การบำรุงและส่งเสริมการทำมาหากินของราษฎร
13. แบ่งสรรเงินซึ่งตามกฎหมายจะต้องแบ่งให้เทศบาลและสุขาภิบาล
14. การจัดการคุ้มครอง ดูแล และหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินส่วนจังหวัด
15. การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยต่างๆ
16. กิจการอื่น ๆ ซึ่งจำเป็นเพื่อประโยชน์ของราษฎรและท้องถิ่น หรือหน้าที่อื่นซึ่งกฎหมายบัญญัติให้เป็นหน้าที่กิจการส่วนจังหวัด

การประกาศใช้พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2498

ในวันเดียวกันกับที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ.2498 ในราชกิจจานุเบกษา ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2498[7] ด้วย โดยกฎหมายฉบับดังกล่าวนี้ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายฉบับก่อนหน้านั้น โดยมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้

1. การแก้ไขคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ได้แก่
1.1 เดิมพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด พ.ศ.2482 กำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่บิดาเป็นคนต่างประเทศ (กฎหมายใหม่เรียกว่าคนต่างด้าว) ต้องเป็นผู้ที่ได้เรียนภาษาไทยจนได้รับประกาศนียบัตรไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาปีที่ 3[8] กฎหมายใหม่กำหนดให้ต้องเป็นผู้ที่เรียนภาษาไทยจนได้รับประกาศนียบัตรไม่ต่ำกว่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6[9]
1.2 การเปลี่ยนลักษณะผู้ขาดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จากเดิม บุคคลหูหนวกและเป็นใบ้ซึ่งไม่สามารถอ่านและเขียนหนังสือได้[10] แก้ไขเป็น บุคคลหูหนวก หรือเป็นใบ้ หรือบุคคลซึ่งตาบอดทั้งสองข้าง[11] นั่นหมายความว่า ผู้ที่หนวกหรือเป็นใบ้แต่อ่านและเขียนหนังสือได้ และคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง จากเดิมที่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด ก็จะถูกตัดสิทธิไม่สามารถไปใช้สิทธิเลิกตั้งได้ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายฉบับนี้
2. การแก้ไขคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง โดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2498 ได้ยกเลิกมาตรา 19, 20, และ 21 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด พ.ศ.2482 เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และได้บัญญัติมาตรา 19, 20, และ 21 เสียใหม่ โดยมีสาระสำคัญ สามารถเปรียบเทียบได้ดังนี้ [12]


ลำดับ พระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาจังหวัด พ.ศ.2482 พระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2498
1. ต้องมิใช่เป็นผู้เคยต้องคำพิพากษาให้กักกันหรือจำคุกตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป โดยพ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปีในวันเลือกตั้ง ยกเลิก
2. มีความรู้สอบไล่ได้ไม่ต่ำกว่าชั้นประถมศึกษาสามัญตามหลักสูตรของกระทรวงธรรมการ เป็นผู้ที่เรียนภาษาไทยจนได้รับประกาศนียบัตรไม่ต่ำกว่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ
3. มีอายุไม่ต่ำกว่า 23 ปีบริบูรณ์ หรือมีความรู้ที่กระทรวงธรรมการรับรองว่าเทียบเท่าได้ไม่ต่ำกว่านั้น มีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปีบริบูรณ์ หรือ มีความรู้ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการรับรองว่าเทียบเท่าได้ไม่ต่ำกว่านั้น หรือเป็นข้าราชการประจำ หรือพนังกานเทศบาลประจำตั้งแต่ชั้นตรีขึ้นไป หรือมีชื่ออย่างอื่นซึ่งคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนหรือคณะกรรมการพนักงานเทศบาลแล้วแต่กรณี รับรองว่าเทียบเท่าได้ไม่ต่ำกว่าชั้นตรีขึ้นไป หรือเคยเป็นข้าราชการ หรือพนักงานเทศบาลดังกล่าวข้างต้น และมิได้ถูกไล่ออก หรือปลดออก โดยมิได้รับบำเหน็จบำนาญ
4. -ไม่มี- บิดามีสัญชาติไทย
5. ไม่เป็นผู้อยู่ในฐานะเหนือการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ยกเลิก
6. ไม่เป็นบุคคลหูหนวกและเป็นใบ้ซึ่งไม่สามารถอ่านและเขียนหนังสือได้ ไม่เป็นบุคคลหูหนวก หรือเป็นใบ้ หรือบุคคลซึ่งตาบอดทั้งสองข้าง
7. -ไม่มี- ไม่เป็นผู้รับโทษหรือเคยรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่มีกำหนดโทษชั้นลหุโทษ หรือความผิดอันได้กระทำโดยประมาท
8. การห้ามพนักงานเทศบาล ครูประชาบาลเป็นสมาชิกสภาจังหวัด

8.1 ได้ยกเลิกการห้ามครูประชาบาลเป็นสมาชิกสภาจังหวัด

8.2 การห้ามพนักงานเทศบาลเป็นสมาชิกสภาจังหวัดยังคงไว้

8.3 ได้เพิ่มการห้ามพนักงานสุขาภิบาล ลูกจ้างหรือคนของรัฐบาลซึ่งมีเงินเดือนและประจำจังหวัดสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาจังหวัด

8.4 นอกจากนี้เดิมในกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2485 ได้กำหนดให้ข้าราชการการเมืองเมื่อได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาจังหวัดไม่จำเป็นต้องลาออกจากตำแหน่งที่ตนเองดำรง แต่ในกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2498 นี้ได้ตัดข้อความดังกล่าวออกไป

ที่มา

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด พุทธศักราช 2482, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 56 วันที่ 10 พฤศจิกายน 2482, น.1604-1636.

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉะบับที่ 2) พุทธศักราช 2485, ราชกิจจานุเบกษา วันที่ 12 พฤษภาคม 2485 เล่มที่ 59 ตอนที่ 32 น.1041-1043.

พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2498, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 72 ตอนที่ 11 วันที่ 8 กุมภาพันธ์, น.200-207.

พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ.2498, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 72 ตอนที่ 11 วันที่ 8 กุมภาพันธ์, น.196-199.

สุวัสดี โภชน์พันธุ์. “เทศบาลและผลกระทบต่ออำนาจท้องถิ่น พ.ศ. 2476-2500.” วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2543.

อ้างอิง

  1. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ.2498, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 72 ตอนที่ 11 วันที่ 8 กุมภาพันธ์, น.196-199.
  2. ประยุทธ ปรีชาภรณ์, “การพัฒนาการปกครองส่วนท้องถิ่นของไทยระหว่าง พ.ศ.2475 – 2500” วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, 2522 หน้า 76. อ้างใน สุวัสดี โภชน์พันธุ์. “เทศบาลและผลกระทบต่ออำนาจท้องถิ่น พ.ศ. 2476 – 2500.” วิทยานิพนธ์ มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2543.น.144.
  3. เพิ่งอ้าง, น.179-180. ม.7.
  4. เพิ่งอ้าง, น180. ม.8.
  5. เพิ่งอ้าง, น187. ม.29.
  6. เพิ่งอ้าง, น189-191. ม.31.
  7. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2498, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 72 ตอนที่ 11 วันที่ 8 กุมภาพันธ์, น.200-207.
  8. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด พุทธศักราช 2482, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 56 วันที่ 10 พฤศจิกายน 2482, น.1609. มาตรา 16(1).
  9. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2498 (อ้างแล้ว) , น.202 มาตรา 4.
  10. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด พุทธศักราช 2482 (อ้างแล้ว) , น.1610 มาตรา 17(2).
  11. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2498 (อ้างแล้ว) , น.203 มาตรา 5.
  12. พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด พุทธศักราช 2482, อ้างแล้ว, น.1610-1612. มาตรา 19, 20 และ 21. , พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉะบับที่ ๒) พุทธศักราช 2485, ราชกิจจานุเบกษา วันที่ 12 พฤษภาคม 2485 เล่มที่ 59 ตอนที่ 32 น.1042-1043. ม.3. และ พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2498 (อ้างแล้ว) ,น.203 มาตรา 7, 8 และ 9.