การพัฒนาระบบราชการ/การบริหารราชการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
ผู้เรียบเรียง: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายภัทระ คำพิทักษ์
การพัฒนาระบบราชการ/การบริหารราชการแผ่นดินตามราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
จากการที่ประเทศไทยมีการกำหนดนโยบายปรับเปลี่ยนระบบราชการเข้าสู่ยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0
โดยหลักการทำงานต้องยึดหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน (Better Governance, Happier Citizens) อันเป็นยุทธศาสตร์ชาติที่สำคัญประการหนึ่ง ประเทศไทยจึงต้องดำเนินการปรับสมดุลและการพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐให้เกิดความเหมาะสมกับบทบาทภารกิจเพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงาน ทั้งเป็นการกระจายบทบาทภารกิจการทำงานไปสู่ท้องถิ่นอย่างเหมาะสมและมีธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง ดังนั้น การพัฒนาระบบราชการหรือการบริหารราชการแผ่นดินจึงต้องมีการวางระบบและวิธีการทำงานใหม่โดยต้องยึดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในการบริหารงานภาครัฐหรือหลักการบริหารราชการแผ่นดินที่ดีเพื่อให้ภาครัฐมีความเปิดกว้างและเชื่อมโยงกัน และการดำเนินงานต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการบริการและเข้าถึงความต้องการในระดับปัจเจกชน นอกจากนี้ภาครัฐต้องมีการปรับเปลี่ยนตนเองเป็นภาครัฐที่มีความอัจฉริยะในการดำเนินงาน อันเป็นการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรในการทำงานใหม่ ทั้งเป็นการจัดระเบียบโครงสร้างของหน่วยงานใหม่ เพื่อสร้างความสมดุลและจัดการความสัมพันธ์ระหว่างกลไกภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคส่วนอื่น ๆ ให้การดำเนินงานมีความประสานสอดคล้องกัน ก่อให้เกิดความกระชับและไม่เกิดความซับซ้อนในการดำเนินงานดังกล่าว อย่างไรก็ดี สาเหตุที่ต้องมีการพัฒนาระบบราชการหรือการบริหารราชการแผ่นดินนั้น เกิดทั้งจากตัวระบบราชการเองและเกิดจากตัวบุคคลผู้ทำงาน โดยสามารถสรุปสาเหตุหลัก ๆ ได้ดังต่อไปนี้
1) ปัญหาการบริหารงานราชการโดยภาพรวมเกิดความล้มเหลวทำให้ไม่ได้รับความเชื่อมั่นและยอมรับจากภาคประชาชนและภาคธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เช่น
(1) การทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ
(2) เจ้าหน้าที่ของรัฐมุ่งหาประโยชน์ส่วนตน
(3) การบริหารงานขาดความโปร่งใสและขาดธรรมาภิบาล
(4) ระบบการทำงานที่ล่าช้า
2) ปัญหาเรื่องขนาดของระบบราชการที่มีโครงสร้างขนาดใหญ่และมีความสลับซับซ้อนเกินจำเป็นจำเป็น เช่น
(1) มีส่วนราชการและข้าราชการในส่วนกลางเป็นจำนวนมาก
(2) มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ในการดำเนินงานที่ไม่ชัดเจนและมีหลายการบังคับบัญชาในการกำกับดูแลหลายชั้นหลายขั้นตอน เกิดความซ้ำซ้อนไม่คล่องตัวในการดำเนินงานและเกิดความสิ้นเปลืองงบประมาณเกินความจำเป็น
(3) มีค่าใช้จ่ายของหน่วยงานหรือบุคคลกรที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงมากขึ้นทุกปีแต่ไม่ได้สัดส่วนกับการดำเนินงานหรือผลผลิตของงานที่ออกมา
3) ปัญหาการรวมศูนย์อำนาจการปกครองไว้ที่ราชการบริหารส่วนกลาง แม้จะมีการกระจายอำนาจไปสู่ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น แต่อำนาจสั่งการหรือการตัดสินใจส่วนใหญ่ยังขาดความอิสระในการตัดสินใจเพราะต้องยึดนโยบายจากส่วนกลางเป็นหลัก ทั้งทรัพยากรในการบริหารจัดการส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับส่วนกลาง
4) ปัญหาการบริหารงานและแนวทางการดำเนินงานขาดความทันสมัย เช่น
(1) กฎ ระเบียบ กฎหมายที่มีอยู่เป็นจำนวนมากเป็นปัญหาอุปสรรคต่อการดำเนินงาน
(2) การขาดเทคโนโลยีที่นำมาใช้ประกอบในการทำงาน หรือเทคโนโลยีที่ขาดความทันสมัยเมื่อเทียบกับการดำเนินงานของภาคเอกชน
(3) การบริหารที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับกระบวนการมากกว่าเป้าหมายจึงทำให้การดำเนินงานขาดความคล่องตัวและไม่ได้ผลตรงเป้าหมายที่แท้จริงที่กำหนดไว้
5) ปัญหาของวัฒนธรรมการทำงานแบบดั้งเดิม ที่ทำให้การทำงานของข้าราชการขาดความกระตือรือร้น ขาดการแข่งขันในการทำงาน เคยชินกับการปฏิบัติงานตามกฎ ระเบียบและข้อบังคับเดิม ๆ จึงขาดการสร้างสรรค์หรือมีความคิดริเริ่มใหม่ ๆ ทั้งการทำงานยังยึดระบบอุปถัมภ์ต้องเคารพระบบอาวุโสทำให้คนทำงานรุ่นใหม่ จึงเป็นทัศนคติดั้งเดิมที่ไม่เปิดโอกาสให้คนเก่ง คนดี คนที่มีความรู้ความสามารถได้ศักยภาพในการทำงานได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการยึดมุมมองที่ข้าราชการยังเป็นนายของประชาชนจึงขาดจิตสำนึกในการให้บริการแก่ประชาชน
6) ปัญหาด้านอัตรากำลังคนและด้านค่าตอบแทน
(1) กำลังคนในภาครัฐที่มีอยู่ในระบบราชการส่วนใหญ่ยังขาดคุณภาพและมีการทำงานยึดติดกับระบบเดิม ๆ
(2) ข้าราชการเป็นกลุ่มบุคคลที่มีรายได้และค่าตอบแทนค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับบุคคลกลุ่มอื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานในภาคต่าง ๆ จึงไม่สัมพันธ์กับค่าครองชีพในปัจจุบัน
สาระสำคัญด้านการพัฒนาระบบราชการ/การบริหารราชการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
ด้วยสภาพของการดำเนินงานหรือระบบราชการที่เกิดเป็นปัญหาเรื้อรังและสะสมมาอย่างยาวนาน เมื่อเข้าสู่ในยุคไทยแลนด์ 4.0 จึงได้มีการกำหนดวางยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารภาครัฐ ยึดหลัก “ภาครัฐของประชาชนเพื่อประชาชนและประโยชน์ส่วนรวม” รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มีจึงกำหนดให้มีการปฏิรูปประเทศขึ้นใน 7 ด้านด้วยกันโดยมีความมุ่งหมายให้เกิดความสงบเรียบร้อยของประเทศ สังคมมีความสงบสุข ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างโอกาสที่เท่าเทียมกัน เพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำอันเป็นการพัฒนาประเทศอย่างมีศักยภาพนั่นเอง
สำหรับการปฏิรูประบบราชการหรือการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ในมาตรา 258
ข. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมีเนื้อหาสาระสำคัญดังนี้
(1) ให้มีการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินและมีการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน
(2) ให้มีการบูรณาการฐานข้อมูลของหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานเข้าด้วยกันเพื่อให้เป็นระบบข้อมูลเพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและการบริการประชาชน
(3) ให้มีการปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างและระบบการบริหารงานของรัฐและแผนกำลังคนภาครัฐให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ ๆ โดยต้องดำเนินการให้เหมาะสมกับภารกิจของหน่วยงานแต่ละหน่วยงานที่แตกต่างกัน
(4) ให้มีการปรับปรุงและพัฒนาการบริหารงานบุคคลภาครัฐเพื่อจูงใจให้ผู้มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงเข้ามาทำงานในหน่วยงานของรัฐ และสมารถเจริญก้าวหน้าได้ตามความสามารถและผลสัมฤทธิ์ของงานของแต่ละบุคคล มีความซื่อสัตย์สุจริต กล้าตัดสินใจและกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง โดยคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว มีความคิดสร้างสรรค์และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้การปฏิบัติราชการและการบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีมาตรการคุ้มครองป้องกันบุคลากรภาครัฐจากการใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรมของผู้บังคับบัญชา
(5) ให้มีการปรับปรุงระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้มีความคล่องตัว เปิดเผย ตรวจสอบได้และมีกลไกในการป้องกันการทุจริตทุกขั้นตอน
การพัฒนาระบบราชการหรือการบริหารราชการแผ่นดินด้วยการกำหนดเป็นวาระแห่งการปฏิรูปไว้ในรัฐธรรมนูญนี้เพื่อให้องค์กรหน่วยงานของภาครัฐนำไปปฏิบัตินั้นถือเป็นจุดมุ่งหมายหรือเหตุผลที่มีความสำคัญสูงสุดเป็นความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อไป ดังนั้น มีเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่จะต้องดำเนินการตามที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้ โดยความคาดหวังของประชาชนในประเทศนั้น มุ่งหวังว่าเพื่อมีการพัฒนาระบบราชการหรือการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะทำให้ระบบราชการหรือการบริหารแผ่นดิน เกิดผลในหลาย ๆ ประการ อาทิ
(1) โครงสร้างของระบบราชการที่มีขนาดเล็กลงเพื่อสะดวกต่อการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(2) มีการกระจายอำนาจอย่างแท้จริงสู่ภาคส่วน ๆ อื่น ที่เกี่ยวข้อง
(3) การจัดสรรงบประมาณเป็นไปอย่างโปร่งใส เหมาะสมกับการบริหารจัดการของส่วนราชการอย่างแท้จริง
(4) การปฏิบัติงานของข้าราชการเกิดความโปร่งใส มีความแข็งแรงในการดำเนินงานปราศจากการแทรกแซงจากข้าราชการฝ่ายเมืองหรือผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าในทางที่มิชอบ ส่งผลให้ข้าราชการมีขวัญกำลังใจในการทำงาน ทั้งมีจิตสำนึกในการให้บริการต่อประชาชน เกิดความกระตือรือร้นในการทำงาน และข้าราชการหรือบุคลากรผู้ปฏิบัติงานได้รับการส่งเสริมพัฒนาด้านศักยภาพเต็มกำลังความสามารถอย่างรอบด้านและจริงจัง
(5) การทำงานของระบบราชการเน้นการทำงานในเชิงรุกมากขึ้นและสอดคล้องต่อความต้องการของประชาชน
(6) มีระบบการทำงานที่ทันสมัยสอดคล้องและทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีการปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง
(7) มีการปรับปรุง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับให้สอดคล้องกับการทำงานและลดขั้นตอนการทำงานให้มีความกระชับ รวดเร็ว
(8) ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดตามหลักยุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งเน้นประชาชนเป็นสำคัญ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนส่วนรวม
(9) ฯลฯ
บรรณานุกรม
คณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อคืนความสุขให้คคนในชาติ.สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม. กรอบความเห็นร่วม
ปฏิรูปประเทศไทยด้านการบริหารราชการแผ่นดิน.2557.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 260.
พิธุวรรณ กิติคุณ.การปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฏร. มิถุนายน 2560. (ออนไลน์) https//ibrary2.parliament.go.th/ebook/content-
issue/2560/hi2560-043pdf.
Kisstena vasspagk. ปัญหาของการบริหารราชการไทยและแนวทางการแก้ไข.(ออนไลน์).GotoKnow.
หนังสือ/เอกสารอ่านเพิ่มเติม
บุญร่วม เทียมจันทร์และศรัญญา วิชชาธรรม.ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) พร้อมหัวข้อเรื่องทุกมาตรา ฉบับสมบูรณ์. สำนักพิมพ์ สำนักพิมพ์ THE LAW GROUP กรุงเทพฯ.2562.