เกษตรมหาชน (พ.ศ.2541)

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:43, 5 ตุลาคม 2554 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง รองศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


พรรคเกษตรมหาชน

พรรคเกษตรมหาชนได้เข้าจดแจ้งจัดตั้งพรรคการเมืองต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 ไว้ในทะเบียนพรรคการเมืองเลขที่ 11/2541 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2541 โดยมีนายบุญนาค หมีเทศ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค

พรรคเกษตรมหาชนถือได้ว่าเป็นพรรคการเมืองที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งมิใช่ในประเด็นความเป็นพรรคใหญ่หรือเป็นตัวเก็งในการลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะพรรคเกษตรมหาชนนั้นเป็นพรรคการเมืองที่มีการเปลี่ยนชื่อพรรคหลายครั้งกล่าวคือ มีการเปลี่ยนจาก “พรรคเกษตรมหาชน” ไปเป็น “พรรคคนขอปลดหนี้” และเปลี่ยนเป็น “พรรคไทเป็นไท” ซึ่งเป็นชื่อพรรคที่ใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้นโยบายของพรรคที่ค่อนข้างแหวกแนวก็ทำให้พรรคเกษตรมหาชนเรียกความสนใจต่อประชาชนได้พอสมควร ซึ่งจากการประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2547 (ภายหลังจากที่เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคคนขอปลดหนี้แล้ว) พบว่า พรรคเกษตรมหาชน (คนขอปลดหนี้) มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 535,989 คน ซึ่งมีจำนวนสมาชิกพรรคสูงเป็นลำดับที่ 6 ของจำนวนพรรคการเมืองทั้งหมดที่จดทะเบียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งในขณะนั้น และอีกประการหนึ่งก็คือ ความน่าสนใจของตัวหัวหน้าพรรคซึ่งเคยเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคกิจสังคม ซึ่งหัวหัวหน้าพรรคนั้นจะมีการเปลี่ยนชื่อและ/หรือนามสกุลทุกครั้งที่ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

นโยบายที่น่าสนใจของพรรคเกษตรมหาชนนั้น คือ นโยบายขจัดความยากจนของคนในชาติ และลดช่องว่างในสังคม โดยจะยกเลิกหนี้สินให้แก่เกษตรกร ซึ่งเป็นหนี้สินที่เป็นหนี้สินที่เกิดจากการทำการเกษตร ปล่อยกู้ให้แก่ข้าราชการชั้นผู้น้อยโดยเฉพาะข้าราชการครูและพนักงานของรัฐ จัดตั้งกระทรวงข้าวและยางพารา กระทรวงปศุสัตว์ กระทรวงที่ดิน กระทรวงสหกรณ์ และกระทรวงโยธาธิการ จำกัดการถือครองที่ดินโดยให้ผู้ที่ถือครองที่ดินเกินอัตราที่กำหนดจะต้องปลูกไม้ยืนต้น 1 ต้น/ไร่

นอกจากนี้ พรรคเกษตรมหาชนยังได้กำหนดนโยบายของพรรคอีกหลายประการ อาทิเช่น นโยบายการเพิ่มการจ้างงาน 2,000,000 อัตราด้วยงบประมาณของรัฐ นโยบายขุดคอคอดกระ ฯลฯ ซึ่งเป็นที่น่า สงสัยว่าฐานะทางการคลังของรัฐบาลนั้นจะสามารถดำเนินนโยบายทั้งหมดที่ตั้งไว้ได้หรือไม่ นอกจากนี้ ก็ยังมีนโยบายอีกบางข้อที่ติดอยู่กับความเป็นชาตินิยม เช่น นโยบายงดการนำเข้ารถยนต์และเครื่องจักรเป็นเวลา 5 ปี รณรงค์การใช้ของไทย กินของไทย เป็นต้น

นโยบายที่ค่อนข้างประหลาดและดูเหมือนจะไม่สามารถทำความเข้าใจได้ของพรรคเกษตรมหาชน คือ การประกาศยกเลิกรูปแบบเงินธนบัตรของรัฐบาลไทย ราคา 100 บาท 500 บาท และ 1,000 บาท โดยที่มิได้มีกาให้รายละเอียด ผลดี ผลเสีย ของการยกเลิกธนบัตรดังกล่าว

พรรคเกษตรมหาชนได้สรุปกรอบแนวทางปฏิบัติของพรรค คือ นโยบาย 4 ต้อง 3 ไม่ ซึ่งประกอบด้วย


4 ต้อง

1. ต้องสร้างประเทศให้เป็นมหาอำนาจทางอาหารของโลก

2. ต้องยกเลิกหนี้สินเกษตรกร

3. ต้องสร้างงาน 2 ล้านตำแหน่งโดยเร็ว

4. ต้องสร้างวินัยและคุณธรรมคนในชาติ


3 ไม่

1. ไม่ซื้อ และไม่ขายเสียง

2. ไม่ลังเลในการทำนโยบายให้เป็นจริง

3. ไม่ชักช้าในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน

ในด้านความน่าสนใจของตัวหัวหน้าพรรคนั้น นายบุญนาค หมีเทศ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุโขทัย พรรคกิจสังคม และพรรคความหวังใหม่ ได้มีการเปลี่ยนชื่ออีกหลายครั้งด้วยกัน ซึ่งปัจจุบันได้ใช้ชื่อสกุลว่า “นายชูชาติ ประธานธรรม” ชื่อเดิม “นายกุศล หมีเทศ” หรือ "นายปราบสะดา หมีเทศ" หรือ "นายกุศล หมีเทศทอง" หรือ "นายดารัณ หมีเทศ" ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่ามีการเปลี่ยนชื่อสกุลเพื่อความเป็นสิริมงคลทุกครั้งที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ส่วนด้านกิจกรรมทางการเมืองนั้น พรรคเกษตรมหาชนได้ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ.2544 โดยส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้สมัครแบบแบ่งเขตเป็นจำนวนทั้งสิ้น 135 คน และแบบบัญชีรายชื่อรวมทั้งสิ้น 35 คน โดยได้รับหมายเลขประจำพรรคเป็นหมายเลข 35 ซึ่งผลการเลือกตั้งปรากฏว่าพรรคเกษตรมหาชนนั้น ไม่มีสมาชิกได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งแบบแบ่งเขตและระบบบัญชีรายชื่อ

ในที่สุด “พรรคเกษตรมหาชน” ได้เปลี่ยนชื่อพรรคเป็น “พรรคคนขอปลดหนี้” เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2549 และได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายส่วนใหญ่ของพรรคด้วย


ที่มา

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนพิเศษ 130 ง หน้า 46-104

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนพิเศษ 46 ง หน้า 140-145

สยามจดหมายเหตุ ปีที่ 25 ฉบับที่ 47 พ.ศ.2543 หน้า 1303

สยามจดหมายเหตุ ปีที่ 29 พ.ศ.2547 หน้า 1021-1022